ตอนที่ 3
ตอนที่ 3
รากฐานที่จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามทิ้งไว้ให้กับนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์นั้นได้นำพานิกายสู่ยุครุ่งเรืองอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
แต่ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนมีกฎแห่งการความก้าว เมื่อเจริญรุ่งเรืองก็ต้องเสื่อมถอย !
ในช่วงหลายหมื่นปีต่อจากนั้น นิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่เคยให้กำเนิดจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่อีกต่อไป
ถึงแม้จะยังเป็นกองกำลังยักษ์ใหญ่ แต่ทุกๆปีก็เริ่มเสื่อมถอยลงจากยุครุ่งเรืองอย่างไม่อาจเลี่ยงได้
จนกระทั่งสามพันปีก่อน การปรากฏตัวของหญิงสาวคนหนึ่งก็ได้ทำลายฟันเฟืองแห่งการเสื่อมถอยลงในที่สุด
หญิงสาวผู้นี้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ธรรมดาท่ามกลางภูเขาและแม่น้ำยาวหลายพันไมล์ที่อยู่ภายใต้การปกครองของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์
นางได้ชีวิตธรรมดา 15 ปี จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่ยอดฝีมือสองคนกำลังต่อสู้กัน พวกเขาก็ได้บินผ่านเหนือท้องฟ้าที่หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง และก็ได้พบกับหญิงสาวนางนี้
เมล็ดพันธุ์แห่งประตูสู่โลกใหม่ได้ถูกปลูกไว้ในจิตใจของเด็กสาวคนนั้น
เด็กสาวมาที่นี่เพราะชื่อเสียงและต้องการเข้าร่วมนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ แต่ในขณะที่ทดสอบคุณสมบัติ นางก็ได้ถูกตัดสิทธิ์เนื่องจากมีความสามารถเพียงแค่ระดับปานกลาง
แต่หญิงสาวกลับไม่ยอมแพ้ นางได้นั่งคุกเข่าลงที่เชิงบันไดหินนอกนิกาย และคงอยู่ในท่านั้นเป็นเวลาเจ็ดวัน
สายลมพัดผ่าน สายฝนร่วงโรย แสงแดดแผดเผา นางจะไร้ซึ่งน้ำสักหยดตกถึงริมฝีปาก และแม้แต่ความหิวก็ยังต้องประทังด้วยอากาศ
ตอนนั้นนางเป็นเพียงคนธรรมดา แต่กลับสามารถรอดชีวิตจากการทดสอบนี้ได้
ทั้งร่างเหลือเพียงสติครุมเครือเท่านั้น แต่ทว่ากลับเต็มไปด้วยความน่าประทับใจอย่างยิ่ง
ต่อมา ภายในนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ ผู้อาวุโสนิกายสายนอกก็ตระหนักได้ถึงความน่าสงสารจากนาง จึงยอมรับนางให้เข้ามาเป็นศิษย์
ตัวนางนั้นเป็นเหมือนกับกบที่อยู่ก้นบ่อ ชอบกระโดดขึ้นเหนือผิวน้ำอยู่เสมอ และไม่ยินยอมหยุดนิ่งจมอยู่ข้างใต้
นางเป็นเหมือนกับมดที่พยายามไต่ขึ้นสู่สวรรค์อย่างไม่ย่อท้อแม้จะต้องหมอบคลาน
จนกระทั่งวันหนึ่ง จู่ๆ มดตัวนี้ก็ได้ส่องประกายขึ้น ตอนนั้นเอง ผู้คนก็ได้ค้นพบว่ามดตัวนี้ได้เติบโตจึงสูงเทียบเท่าท้องฟ้าเสียแล้ว
ในยุคของเด็กสาว มีอัจฉริยะที่น่าทึ่งปรากฏมากมายเกินไป
แต่สุดท้ายแล้วกลับไม่มีใครคิดเลยว่าหญิงสาวที่มีคุณสมบัติปานกลางจะเป็นผู้ก้าวกระโดดเหนือยุคสมัยในตอนนั้น
“จักรพรรดินีหงเทียน!”
นี่คือตำแหน่งอันทรงเกียรติของหญิงสาวคนนั้นในตอนนี้
ในบรรดาจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ตลอดทุกยุคสมัย จักรพรรดินีหงเทียนเป็นจักรพรรดิที่น่าทึ่งที่สุดอย่างไม่เกินเลย
นางไม่เพียงแต่โดดเด่นที่สุดในยุคเท่านั้น แต่แม้กระทั่งยุคต่อๆมาก็ยังไม่อาจมีจักรพรรดิคนไหนเทียบเคียงได้เลย
จักรพรรดินีหงเทียนได้นำพานิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์เข้าสู่ยุครุ่งเรืองอีกครั้ง
…………
เมื่อนึกถึงประวัติศาสตร์ของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ ดวงตาของเขาเต๋าซุนก็กลายเป็นลึกซึ้ง เขาหวังว่าสักวันหนึ่งชื่อของเขาจะปรากฏท่ามกลางหมู่ดาวกว้างใหญ่บนท้องฟ้าเช่นกัน
…………
ตำหนักคัมภีร์นั้นตั้งอยู่ตรงกลางนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ มันเต็มไปด้วยบันทึกของวิชาบ่มเพาะทั้งหมดนับตั้งแต่นิกายก่อตั้งมา
แตกต่างจากทิวทัศน์อันงดงามตระการตาที่คนทั่วไปจินตนาการ บรรยากาศรอบๆตำหนักคัมภีร์นี้เต็มไปด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย
มีต้นไม้โบราณปกคลุมท้องฟ้า หญ้าศักดิ์สิทธิ์ปูพรมพื้นดิน ดอกไม้เกสรแข่งขันกันงดงาม ผีเสื้อหลากสีเริงระบำ วิหคหายากบินเริงร่าบริเวณรอบ พื้นดินเต็มไปด้วยแมลงที่กำลังจับปุ๋ยใส่ดอกไม้จิตวิญญาณ
ตำหนักคัมภีร์นั้นมีทั้งหมด 18 ชั้น เมื่อยืนอยู่ที่ประตูก็จะสัมผัสได้ถึงการต้อนรับที่เรียบง่าย เพียงแค่ยืนอยู่เงียบๆ ก็ตระหนักได้ถึงกลิ่นอายของประวัติศาสตร์นับหมื่นปี
สีของห้องใต้หลังคาเป็นสีเขียวขุ่นผสมกับสีเหลืองอ่อน มีระเบียงหยก กระเบื้องสีเขียว และชายคาสีแดง
ชายคาทั้งสองข้างแกะสลักรูปสัตว์หายากนานาชนิด
มีนกอินทรีกางปีก นกนางแอ่นที่บินอยู่บนท้องฟ้า เสือที่กำลังร้องคำราม และสิงโตเจ้าป่าที่มีคู่ดวงตาเกรี้ยวกราด
ไม่มีใครอยู่เฝ้าตำหนักคัมภีร์แห่งนี้ก็จริง แต่เต๋าซุนกลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ยากจะหยั่งถึงในบริเวณโดยรอบ กลิ่นอายนี้ทำให้เขาใจสั่นเล็กน้อย
มีอาคมขั้นสูงถูกสร้างขึ้นที่นี่ เมื่อพบเจอผู้บุกรุก อาคมจะถูกเปิดใช้งาน ถึงตอนนั้น แม้แต่ยอดฝีมือระดับ 8 ก็ไม่อาจหลีกหนีไปได้ง่ายๆ
…………
เต๋าซุนหย่อนเหรียญตราที่ท่านพ่อของเขามอบไว้ให้ลงไปในช่องว่างตรงประตู จากนั้นผู้อาวุโสที่ดูแลตำหนักก็จะนำเหรียญตรานั้นไปและมอบบัตรผ่านเข้าสู่ภายในมาให้
ม่านแสงที่ประตูหายไป และ เต๋าซุนก็เดินเข้าไปในตำหนักคัมภีร์
ระเบียงคัมภีร์ที่ชั้นหนึ่งนั้นดูเรียบง่าย มีตู้หนังสือมากมายหลายหมื่นเล่มถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ
วิชาบ่มเพาะและวิชาฝึกฝนร่างกายที่วางอยู่บนตู้หนังสือเหล่านี้ล้วนแต่ถูกปกคลุมด้วยม่านแสงจางๆ
ด้านหน้าตู้หนังสือจะมีป้ายเล็กๆ ระบุชื่อ ความสามารถ และระดับของวิชาเหล่านี้ไว้
เต๋าซุสังเกตอยู่ไม่นาน เขาก็เดินขึ้นไปบนชั้นสูงสุดของตำหนักคัมภีร์ ซึ่งก็คือชั้นที่ 18
แสงบนชั้นที่ 18 ดูสลัวเล็กน้อย และมีเพียงรูปปั้นสี่ร่างเท่านั้น
รูปปั้นทั้งสี่นี้ราวกับอยู่เดียวดายในพื้นที่พิเศษของตัวเอง
เต๋าซุน ยืนอยู่หน้ารูปปั้น มองจากซ้ายไปขวา
รูปปั้นแรกเป็นชายผมยาวห้อยลงมาที่ไหล่ ชายผู้นี้สง่างาม ดวงตาของเขาล้ำลึกราวกับทะเล และการดำรงอยู่ของเขาก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายที่ผู้คนต้องเคารพ
คนผู้นี้คือคนที่ใช้ก้าวข้ามภูเขาและแม่น้ำ และเปิดประตูยุคจักรพรรดิสู่โลกนั้นเอง
รูปปั้นที่สองก็เป็นผู้ชายเช่นกัน และเขาให้ความรู้สึกสุดเป็นธรรมชาติผู้คน ราวกับว่าเขาได้ละทิ้งทุกสิ่งเพียงเพื่อไล่ตามจุดจบของบางสิ่งบางอย่าง
โดดเดี่ยวและไม่รุนแรง เขาถือดาบยาวแปลกๆ สามเล่มไว้บนหลัง
ทันทีที่เห็นดาบนี้ เจ้าก็จะเข้าใจได้ทันทีว่าเขาคือยอดมือดาบที่อุตสาหะมาตลอดทั้งชีวิตเพื่อขึ้นสูงจุดสูงสุดแห่งศาสตร์เพลงดาบ
"ดาบอยู่คนอยู่ ดาบเสียคนตาย "
รูปปั้นที่สามให้ความรู้สึกมีเหมือนไม่มี มันไม่โดดเด่น และแม้จะรู้สึกว่าอยู่ตรงหน้า แต่กลับให้ความรู้สึกว่าอยู่ห่างไกลออกไปยังเส้นขอบฟ้าในเวลาเดียวกัน
ตัวตนนี้คาบเกี่ยวระหว่างความเป็นจริงและความว่างเปล่า เขาอยู่เพียงเพื่อไล่ตามจุดสูงสุดของความเร็ว
รูปปั้นที่สี่เป็นของหญิงสาว ผมยาวสยายไปด้านหลัง และมีผ้าปิดบังใบหน้าอันมากล้นเสน่ห์ของนางไว้
การแต่งตัวของนางนั้นให้ความรู้สึกหลากหลาย เมื่อมองแวบแรกก็จะรู้สึกว่านางนั้นไร้เดียงสามีชีวิตชีวา ทำให้นึกถึงหญิงสาวชาวบ้านที่ไว้ผมหางม้าที่บ่ายวันหนึ่งกำลังไปพบเจอกับหนุ่มรักแรกพบ
เมื่อมองแวบที่สอง นางก็ราวกับเป็นนางฟ้าธิดาสวรรค์ผู้งดงาม
เมื่อมองแวบที่สาม นางกลับดูราวกับเทพธิดาสงครามผู้สามารถสังหารทุกสรรพสิ่งได้ไม่พริบตา นางเต็มไปด้วยจิตใจที่หนักแน่นและเด็ดขาดอย่างหาใครเทียบไม่ได้
เมื่อมองแวบที่สี่ นางก็ดูราวกับเป็นจักรพรรดินีผู้ครอบครองทุกสิ่ง ราวกับว่าทุกสิ่งมีชีวิตทั้งหมดเป็นเพียงมดปลวกเท่านั้นเมื่ออยู่ต่อหน้านาง และยิ่งเมื่อสังเกตให้ดี จะตระหนักได้ว่ายุคสมัยที่รุ่งเรืองทั้งหมดที่ผ่านมานั้นไม่อาจควรค่าแก่การกล่าวถึงเลยเมื่ออยู่ต่อหน้านาง
…………
เต๋าซุน มองไปยังรูปปั้นของสี่จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ ด้วยความรู้สึกนับถือในใจ
ในความเป็นจริง เขาไม่มีความตั้งใจที่จะฝึกฝนวิชาของคนอื่นแต่อย่างใด เพราะในช่วงชีวิตที่แล้วนั้น เขาได้ค้นพบเส้นทางการฝึกตนของตัวเองเรียบร้อยแล้ว
แต่เพื่อที่จะปกปิดและป้องกันไม่ให้ความลับของเขาถูกเปิดเผย เต๋าซุนจึงเลือกฝึกฝนวิชาของจักรพรรดิสามดาบ
เขาชื่นชมวิชาดาบขั้นสูงสุดของจักรพรรดิสามดาบเป็นอย่างยิ่ง และเขาก็ได้ใช้มันในช่วงชีวิตก่อนหน้านี้
เต๋าซุนวางมือลงบนรูปปั้น จากนั้นก็หลับตา เขาทำจิตใจให้ว่างเปล่าเพื่อพยายามทำความเข้าใจบางสิ่ง
เมื่อปรากฏหมอกสีขาวปกคลุม เต๋าซุน ก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าความทรงจำบางอย่างกำลังหลั่งไหลเข้ามาหลอมรวมเข้ากับร่างของเขา
นี่คือวิชา "กำเนิดนิพพาน" ที่จักรพรรดิสามดาบฝึกฝน
ทุกสิ่งเริ่มต้นจากการหยุดและการหยุดก็คือจุดสิ้นสุดของทุกสิ่ง!
เมื่อเริ่มจากนิพพานก็จะจบลงด้วยนิพพาน !
หลังจากได้รับวิชาที่ต้องการแล้ว เต๋าซุนก็พร้อมที่จะจากไป
แต่ก่อนที่เขาจะหันหลังกลับ เขาก็เหลือบมองไปยังมุมหนึ่งของตำหนักคัมภีร์โดยไม่รู้ตัว จากนั้นเขาก็ส่ายหัวและยิ้มอย่างลับๆ และตัดสินใจหันหลังจากไปด้วยความปีติยินดี