ตอนที่ 2
ตอนที่ 2
ท่านพ่อดูเหมือนคนธรรมดาทั่วไปในโลกนี้ ใบหน้าของเขาธรรมดา ผมยาวพาดลงมาด้านหลัง มีปมเล็กน้อยเหนือศีรษะ และมีเส้นผมสีขาวจางๆแซมอยู่บริเวณขมับ
สิ่งเดียวที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนคือคู่ดวงตาของเขาที่ราวกับว่าเต็มไปด้วยดวงดาว เพียงมองแวบเดียวก็ทำให้แม้แต่ผู้คุ้มกันนิกายรู้สึกราวกับว่าวิญญาณถูกแช่แข็ง
ต้องรู้ก่อนว่าเต๋าซุนนั้นแท้จริงเป็นถึงยอดฝีมือที่สูงส่งกลับชาติมาเกิด แต่เขาก็ยังรู้สึกสั่นสะท้านเมื่ออยู่ต่อหน้าดวงตาคู่นี้ !
“เจ้าโตแล้วสินะ” เต๋าเสี่ยวโม่กล่าวอย่างมีความสุข
เต๋าเสี่ยวโม่ รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นลูกชายของเขาสามารถสงบนิ่งได้เป็นเวลานาน ยอดฝีมือที่แท้จริงย่อมต้องสงบนิ่งได้เพื่อรอโอกาส!
“ท่านเองก็ชราขึ้น” เต๋าซุนพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเมื่อมองไปยังเส้นผมสีขาวบนขมับของท่านพ่อ
ทันใดนั้นอารมณ์ทั้งหมดก็ราวกับไหลทะลักออกมา ในชีวิตก่อน เขาได้ทำข้อตกลงสามปีกับตัวเอก เย่เฉิน ในการประลองที่สายธารมังกร และเขาก็พ่ายแพ้จนจมลงไปในใต้สายธารแห่งนั้น
เพื่อล้างแค้นให้ตัวเขา พ่อของเขาถึงขนาดใช้พลังทั้งหมดเพื่อตามล่าเย่เฉิน แต่ใครจะไปรู้ เย่เฉินกลับเติบโตอย่างรวดเร็วโดยไม่คาดคิด
เย่เฉินรอดพ้นจากการถูกไล่ล่าครั้งแล้วครั้งเล่าและจากนั้นก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดเขาก็บุกมาทำลายนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ด้วยดาบสีเขียวยาวสามฟุต
เขาได้ยินมาว่าตอนนั้นก่อนเมฆถึงขนาดแตกกระจายไปทั่วทุกทิศ ท้องฟ้ากลายเป็นมืดมน และโลกทั้งใบก็ราวกับตกอยู่ในยุคมืด ภูเขาและแม่น้ำทุกสายพังทลายลง
ท่านพ่อพ่ายแพ้ให้กับดาบของเย่เฉินในที่สุด หากไม่ใช่เพราะท่านหัวหน้านิกายปรากฏตัวช่วยเหลือได้ทันและยุติเหตุการณ์นั้นไว้ ชีวิตพ่อของเขาคงตกอยู่ในอันตรายแล้ว !
แต่เพราะเหตุการณ์นั้น ท่านพอจึงได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่งผลให้เส้นผมของเขาทั้งศีรษะเปลี่ยนเป็นสีขาวหงอกในชั่วข้ามคืน และทำได้เพียงปลีกตัวเขาสู่ภูเขาป่าไม้ไม่มีใครพบเห็นอีกเลยตั้งแต่นั้นมา
แต่ใครจะไปคิด ตอนที่เขาตกลงไปในสายธารมังกร เขากลับไม่ได้ตกตาย และฟื้นกลับมาพร้อมกับโอกาสบางอย่าง
ในเวลานั้น ตัวเขาเองก็ได้เริ่มฝึกฝนอย่างจริงจังและกระตือรือร้นที่จะเพิ่มความแข็งแกร่ง
ในที่สุด เขาก็ได้ทะลวงไปถึงระดับที่ 8 และต้องการจะแก้แค้นเย่เฉิน
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เพราะเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเย่เฉินจริงๆ ตัวเขานั้นกลับไม่มีโอกาสที่จะชนะแม้แต่น้อย เย่เฉินมีไพ่ตายอยู่ในมือมากเกินไป และการต่อสู้ครั้งนั้นก็ได้ทำลายความภาคภูมิใจทั้งหมดของเต๋าซุนจนหมดสิ้น
…………
เมื่อเปลี่ยนความคิดกลับมาที่ปัจจุบัน เต๋าเสี่ยวโม่ก็ได้มอบเหรียญตราให้กับเต๋าซุน และพูดเบาๆ "เจ้าถึงวัยที่จะฝึกฝนแล้ว ดังนั้นไปที่ตำหนักคัมภีร์ซะ และเลือกวิชาที่เหมาะสมกับเจ้า!
"ด้วยเหรียญตรานี้ เจ้าสามารถขึ้นไปบนชั้นสูงสุดของตำหนักคัมภีร์ที่เก็บคัมภีร์จักรพรรดิแท้จริงทั้งสี่ไว้ ส่วนเจ้าจะเลือกอันไหนก็ขึ้นอยู่กับเจ้า "
เต๋าซุนหยิบเหรียญตราและพยักหน้าอย่างมั่นคง อันที่จริงเขาเคยฝึกฝนวิชาจักรพรรดิแท้จริงทั้งสี่เล่มในชีวิตที่แล้วจนแตกฉานหมดแล้ว
แต่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่เขาจะแสดงออกมาให้คนอื่นรู้ และยิ่งเป็นไปไม่ได้อีกที่จะให้ใครรู้เรื่องที่เขากลับชาติมาเกิด
และที่สำคัญอีกอย่างคือเขายังไม่รู้วิธีใช้ลูกปัดอย่างแท้จริง
“ในฐานะพ่อของเจ้าแล้ว ข้าไม่อยากกดดันและยุ่งเรื่องการฝึกฝนของเจ้ามากเกินไป สำหรับวิชาที่เจ้าต้องการจะฝึกฝนนั้นก็เลือกด้วยตัวเองเถอะ เพราะแท้จริงแล้วทุกคนล้วนแต่ต้องค้นหาเส้นทางของตัวเอง” เต๋าเสี่ยวโม่เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็อธิบายต่อ: "เจ้าก็เป็นดั่งรถม้าที่ขับอยู่บนหน้าผา สิ่งที่ข้าทำได้คือคอยเตือนเจ้าว่าอย่าปล่อยให้รถม้าตกจากหน้าผาไปเท่านั้น ‘’
’’ ส่วนตรงหน้าของรถม้านั้น มันจะมุ่งไปทางตะวันออกหรือตะวันตก ใต้หรือเหนือ ทั้งหมดก็ล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้า "
เต๋าซุน พยักหน้า เขาเข้าใจสิ่งที่ท่านพ่อของเขาจะสื่อ
ในความเป็นจริง ท้ายที่สุดแล้วมันก็ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรเลยระหว่างวิชาบ่มเพาะของจักรพรรดิแท้จริงทั้งสี่ กับ วิชาบ่มเพาะทั่วไป
ในที่สุดทุกคนก็ต้องค้นหาเส้นทางการฝึกบ่มเพาะของตัวเอง ไม่ว่ามรดกที่ถูกทิ้งไว้จะแข็งแกร่งเพียงใด พวกมันก็เป็นได้แค่ของผู้อื่นและไม่อาจเหมาะสมกับเจ้าได้อย่างสมบูรณ์
“ไปเถอะ แม่ของเจ้าเพิ่งกลับมาจากบ้านปู่ของเจ้า ข้าได้ยินมาว่าผลสิบชีพจรนั้นกำลังจะสุกงอมแล้ว แม่ของเจ้าก็อยากจะนำมันมาให้เจ้า” เต๋าเสี่ยวโม่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฝึกฝนให้ดีและอย่าเกียจคร้าน อย่าได้ทำให้พ่อกับแม่ของเจ้าผิดหวัง”
“ท่านพ่อจะไม่ผิดหวังแน่นอน” เต๋าซุน บนแล้วพยักหน้าอย่างหนัก
ชาติที่แล้วเขาทำให้ท่านพ่อต้องผิดหวังมาแล้ว
อย่างน้อยก่อนที่เขาจะถูกเย่เฉินจัดการที่สายธารมังกร เขานั้นไม่มีความกระตือรือร้นที่จะฝึกบ่มเพาะแม้แต่น้อย
เขาเสพติดโลกหลากสีสันแห่งความเป็นจริง ทั้งดื่มสุราและเคล้านารี และยิ่งลุ่มหลงในอำนาจเข้าไปอีกเมื่อพบว่าฐานะผู้สืบทอดนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ของเขานั้นทำให้ผู้คนล้วนกระดิกหางเข้าหาเขาตลอดเวลา
ชีวิตก่อนเขาไม่ขาดแคลนสิ่งใดเลย แค่อยู่ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆก็มีความสุขแล้ว เหตุใดจะต้องฝึกฝนอย่างหนักกัน ?
ซึ่งทั้งหมดนี่คือความคิดของเขาในชาติก่อน
ต่อมาเขาก็ตระหนักได้ในไม่อีกปีว่าโลกนี้มีคนที่เขาทดแทนคุณอยู่
…………
หลังออกมาจากภูเขาเมฆา เต๋าซุนก็เดินตรงไปยังตำหนักคัมภีร์
เขามองดูรูปปั้นยักษ์ตัวหนึ่งที่ปกคลุมไปด้วยหมอก… นิกายนี้มีตำนานมากมายนัก
นิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่นิกายธรรมดา แต่เป็นนิกายจักรพรรดิที่มีจักรพรรดิมาแล้วทั้งหมดสี่คน
ในประวัติศาสตร์อันกว้างใหญ่นับหมื่นปีของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ พวกเขามีจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ด้วยกันทั้งสิ้นสี่คน
จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่คืออะไร?
ก็คือตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคไง!
ว่ากันว่าในทุกยุคทุกสมัย ชะตาสวรรค์จะให้กำเนิดบุคคลที่โดดเด่นเหนือผู้คนหลายสิบล้านขึ้น และคนๆนั้นก็จะแบกรับโชคชะตาแห่งจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่เอาไว้
…………
หนึ่งแสนปีก่อน ทวีป A ยังอยู่ในยุครกร้าง เป็นยุคที่มนุษย์ไม่ต่างอะไรไปจากมดตัวเล็กๆเท่าเม็ดทราย ถูกกดขี่จนแทบตาย
ในวันนั้น ชายคนหนึ่งชื่อเจิ้นหวู่ก็ได้ออกท่องโลกด้วยดาบในมือ หลังจากที่ชีวิตของเขาเกือบสิ้น เขาก็ได้จุดเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา และสถาปนาบัลลังก์จักรพรรดิขึ้นเพื่อแบกรับโชคชะตา
ในท้ายที่สุด ชายคนนั้นก็ตะโกนใส่เบื้องบนว่า "ข้าคนนี้จะเป็นผู้แบกรับโชคชะตาทั้งหมดเอง !!!"
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ยุคแห่งความรกร้างก็สิ้นสุดลง และมนุษยชาติก็ได้นำเข้าสู่ยุคจักรพรรดิที่ไม่เคยมีมาก่อน
จักรพรรดิเจิ้นหวู่เป็นจักรพรรดิคนแรกในยุคสมัยจักรพรรดิ และเขาก็คือผู้ที่เปิดม่านเข้าสู่ยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ของจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่
“คำนับท่านผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกล่า!! ” ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนตะโกนเสียงดัง พวกเขาคุกเข่าลงบนพื้นภายใต้อำนาจของจักรพรรดิเจิ้นหวู่
…………
จักรพรรดิเจิ้นหวู่ผู้แบกรับชะตากรรม ในที่สุดเขาก็มาที่ทางตะวันตกไกลของทวีปตะวันออกและก่อตั้งนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ขึ้น
ในวันที่นิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ถูกก่อตั้งขึ้น ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกก็เข้ามาแสดงความยินดีและสักการะจากทั่วทุกมุมโลก ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนแต่ปรารถนาที่จะเข้าร่วมกับนิกาย
มีหลายนิกายจนนับไม่ถ้วนต่างก็แข่งขันเพื่อที่จะได้เข้ามาเป็นเครือข่ายของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ภูเขาและแม่น้ำหลายพันไมล์ทางตะวันตกไกลก็ถูกปกครองภายใต้การควบคุมของ นิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ จวบจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้
…………
หลังจากเหตุการณ์นี้หลายพันปีต่อมา ก็ได้มีชายอีกคนหนึ่งก้าวออกมาจากนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์
โลกได้ลืมเลือนชื่อของชายคนนี้ไปนานแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนสั่นสะท้านไปถึงส่วนลึกของจิตวิญญาณนั้นมีเพียงดาบเล่มยาวสามเล่มของชายคนนั้น
“สังหารอมตะ สังหารปีศาจ และเผยตัวตนแท้จริง”
ชายคนนั้นถือดาบยาวทั้งสามเล่มสร้างยุคสมัยของเขาขึ้นมา
เขาเป็นจักรพรรดิคนที่เจ็ดในยุคสมัยจักรพรรดิและเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่คนที่สองของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์
“จักรพรรดิสามดาบ!”
…………
อีก 10,000 ปีผ่านมา จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่คนที่สามก็ปรากฏตัวในนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์
“จักรพรรดิเทพบาทา”
ในบรรดาจักรพรรดิผู้มีอำนาจมากมายตลอดทุกยุคสมัยจักรพรรดิ เขาคนนี้แม้จะไม่ใช่คนที่น่าทึ่งที่สุด
แต่ความเร็วของเขานั้นคือหนึ่งในใต้หล้าอย่างแท้จริง
ในตอนท้ายของยุคสมัยจักรพรรดิ ก่อนที่ชายคนนี้จะหายไปยังจุดสิ้นสุดของโลก
เขาได้พูดประโยคหนึ่งว่า "ข้าจักใช้เท้าของข้าข้ามผ่านภูเขาและแม่น้ำกว้างใหญ่ พบเห็นซึ่งความเจริญรุ่งเรืองของทุกสรรพสิ่งชีวิต จนกระทั่งแหวกว่ายไปสู่จุดสิ้นสุดของตะวันและจันทรา "
จากนั้นเขาก็จากไป และสิ่งเดียวที่เขาทิ้งไว้ให้กับโลกนี้ก็คือเงาหลังที่แบกตำนานไว้มากมาย