ตอนที่ 194 แสดงเทคนิคการวาดภาพอันยอดเยี่ยมอีกครั้ง
“อืมม.. ผมไม่ต้องการเงิน ทำไมเหรอครับ?”
ซูเหวิน สับสนเล็กน้อยแล้ว
ประธานเหลย ส่ายศีรษะ แล้วรีบพูดว่า : “ประธานซู คุณรู้ไหมว่าภาพวาดของคุณนั้นมันล้ำค่าแค่ไหน?”
“แม้ว่าการพูดแบบนี้อาจจะดูหมิ่นอาจารย์จางไปหน่อย แต่ก็ต้องบอกว่าภาพวาดที่วาดด้วยเทคนิคการวาดภาพของคุณนั้น เมื่อเทียบกับอาจารย์จางแล้วสูงกว่าอย่างแน่นอน”
“ปัจจุบันภาพวาดหนึ่งของอาจารย์จางอย่างน้อยหลักล้าน หรือแม้กระทั่งหลายล้าน หรือหลายสิบล้านก็เป็นไปได้ แต่คุณกับต้องการวาดภาพให้ฉันฟรีๆ?”
ประธานเหลย รู้สึกงุนงงเล็กน้อย อีกทั้งรู้สึกไม่จริงเล็กน้อยเช่นกัน
“มันเป็นแค่ภาพวาดภาพเดียวเท่านั้นเอง, ไม่สำคัญที่ว่ามันจะมีราคาเป็นล้าน หรือหลายสิบล้าน”
“การที่ผมวาดภาพก็ด้วยความรู้สึกว่ามันน่าสนใจล้วนๆ ส่วนในเรื่องเงินนั้นไม่สำคัญ..”
ซูเหวิน กล่าวอย่างสงบ
เขาไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติเลย
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา..
ไม่ได้เฉพาะเพียง ประธานเหลย เท่านั้น แต่ทุกคนรอบตัวต่างสั่นเทิ้มแทบจะทันที
พวกเขามองไปที่ ซูเหวิน และสายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความเคารพนับถืออย่างยิ่ง
พระเจ้า!
นี่ ประธานซู เขาเป็นเทพมาจากไหนกันแน่?
หลักล้าน หลักสิบล้าน บอกว่าไม่เอาก็ไม่เอา
นี่มัน.. คือความกล้าหาญแบบนี้ แล้วไหนจะระดับความคิดนี้?
แม้แต่ รองประธานเจียง จากบริษัทภาพยนตร์ และโทรทัศน์ จงเซี่ยน ที่เพิ่งวิพากษ์วิจารณ์ ซูเหวิน ก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ กับความใจกว้างของชายหนุ่มคนนี้
“ฮ่าฮ่าๆ โอเค ดี ดียิ่งนัก!”
“ประธานซู ฉัน ประธานเหลย วันนี้รู้สึกเลื่อมใสคุณอย่างยิ่ง คุณช่างกล้าหาญ และเป็นคนตรงไปตรงมา เช่นนี้แล้วฉัน เหลยจง จะไม่ตระหนี่อีกต่อไป”
“ฉันตัดสินใจแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป บริษัทภาพยนตร์ และโทรทัศน์ จงเซี่ยน จะบรรลุความร่วมมือระยะยาวกับ เทียนอี้ หวังว่าเราจะร่วมมือกันอย่างมีความสุข คุณคิดว่าไง?”
ทันใดนั้น ประธานเหลย พลันหัวเราะ และพูดจาเสียงดังขึ้น
ฟังจากน้ำเสียงของเขาดูจะแฮปปี้มาก
ทั้งนี้ดูเหมือนว่าเขาจะประทับใจกับบรรยากาศของ ซูเหวิน เช่นกัน
และคําพูดของเขาก็ทําให้คนอื่นอิจฉาแทบจะทันที
ทุกคนเวลานี้เรียกได้ว่าอิจฉาริษยามาก
บริษัท จงเซี่ยน ภาพยนตร์ และโทรทัศน์ ซึ่งเป็นบริษัทภาพยนตร์ และโทรทัศน์ที่มีอิทธิพลมากที่สุดในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และโทรทัศน์ในปัจจุบัน
ผลงานของบริษัทมีชื่อเสียงในด้านคุณภาพ และได้รับความนิยมไปอย่างล้นหลาม
ช่างวิเศษแค่ไหนหากได้มีโอกาสร่วมงานกับบริษัท จงเซี่ยน ภาพยนตร์ และโทรทัศน์ในระยะยาว!
ทุกคนกล่าวแสดงความยินดีกับ ซูเหวิน ทันที
แต่พวกเขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่า ซูเหวิน มีบริษัทขนาดใหญ่มากกว่าสิบแห่งในครอบครอง
และอันที่จริงแล้ว ผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ นี้มันมีความหมายอะไร สําหรับเขา?
แต่ต้องบอกว่าในเมื่ออีกฝ่ายได้แสดงความจริงใจอย่างที่ดีที่สุดแล้ว เขาเองก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธผลประโยชน์ที่อีกฝ่ายยินดีเสนอให้..
และหากสามารถบรรลุความร่วมมือระยะยาวกับ จงเซี่ยน ได้จริงๆ
สำหรับ เทียนอี้ แล้วมันก็มีแต่ข้อดี และนับว่าไม่มีอันตรายใดๆ ซึ่ง.. เขาเองไม่ควรปฏิเสธ
ดังนั้น ซูเหวิน จึงยกยิ้มขึ้นอย่างสงบ แล้วพูดว่า : “เช่นนี้ก็ต้องขอบคุณ ประธานเหลย แล้ว และหวังว่าเราจะร่วมมือกันอย่างมีความสุข”
ทันทีที่เขาพูดจบ รองประธานโจว และคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างๆ ซูเหวิน ก็พูดขึ้นอย่างมีความสุขเช่นกัน
“โอ้ งั้นเช่นนี้เราก็ต้องขอบคุณ ประธานเหลย มาก สำหรับความเมตตานี้ พวกเรา เทียนอี้ รู้สึกซาบซึ้งใจมากจริงๆ ครับ!”
“ใช่ใช่ ใช่ เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับบริษัทภาพยนตร์ และโทรทัศน์ จงเซี่ยน มาก…”
พวกเขาพูดไปพลางประจบ ประธานเหลย ด้วย
ดูๆ ไปแล้ว พวกเขาไม่อาจปิดซ่อนความตื่นเต้นในใจได้มากนัก
พวกเขาคาดไม่ถึงว่า ประธานเหลย จะเสนอความร่วมมือกับ เทียนอี้ ด้วยตัวเอง และยังคงเป็นความร่วมมือระยะยาว ใครเล่าจะกล้าเชื่อ?
นี่ราวกับอยู่ในความฝันเข้าให้จริงๆ!
หากพวกเขาคว้า จงเซี่ยน มาไว้ในมือได้แล้ว ทางบริษัท เทียนอี้ วิดีโอ เน็ตเวิร์ค ของพวกเขาในอนาคต ไม่ว่าความนิยม หรือคุณภาพของผลงานของพวกเขาก็มั่นใจได้ว่าจะได้รับการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น ..อย่างแน่นอน
นี่นับว่าเป็นเรื่องที่มีความสุขอย่างยิ่ง!
ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็กล่าวชื่นชม ซูเหวิน อยู่ในใจ
ถ้าไม่ใช่เพราะ ประธานซู..
มันเป็นไปไม่ได้เลยที่บริษัท เทียนอี้ วิดีโอ เน็ตเวิร์ค ของพวกเขาจะบรรลุความร่วมมือกับ จงเซี่ยน ได้
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ รองประธานโจว และคนอื่นๆ ก็รีบยกแก้วไวน์ขึ้น
เพื่อดื่มอวยพรให้แก่ ซูเหวิน ประธานเหลย และคนอื่นๆ เพื่อแสดงความเคารพ
หลังจากดื่มไวน์แก้วนี้แล้ว ทุกคนก็ถือว่ารู้จักกันอย่างถ่องแท้แล้ว
เมื่อเวลาผ่านไป 1-2 ชั่วโมง
ซูเหวิน ได้รู้จักคนมากขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากเพื่อนร่วมงานในบริษัทวิดีโอเดียวกันแล้ว เขายังได้รู้จักผู้บริหารระดับสูง และประธานของบริษัทภาพยนตร์ และโทรทัศน์อีกหลายคน
และการที่ ซูเหวิน เป็นประธานคนใหม่ของ เทียนอี้
บวกกับหลังจากที่ทุกคนรู้ถึงเทคนิคการวาดภาพที่ไม่ธรรมดาของเขาแล้ว
หลายคนจึงเริ่มสนใจ ซูเหวิน และต้องการเพิ่มเพื่อนกับเขา
แม้แต่ เสิ่น ฉางชุน ผู้จัดงานเลี้ยงพบปะสังสรรค์ครั้งนี้ และประธานของบริษัทภาพยนตร์ และโทรทัศน์ เจี๋ยฮว๋า ก็ไม่มีข้อยกเว้น
ในเรื่องนี้ ซูเหวิน รู้สึกปวดหัวเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
รายชื่อติดต่อในโทรศัพท์มือถือของเขามีคนจํานวนมากแล้ว ใน VX เองก็เช่นกัน
การเพิ่มเพื่อน ไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ..
ดังนั้นขณะที่ ซูเหวิน กำลังคิด เขาจึงเปิดกลุ่มใหม่ใน VX และดึงผู้ที่ต้องการเพิ่มเพื่อนเข้าไปทั้งหมด
แบบนี้จะสะดวกกว่ามาก และไม่เปลืองพื้นที่ใน VX
แต่สิ่งที่ซูเหวินไม่รู้ก็คือ เมื่อวันเวลาผ่านไป…
ในงานเลี้ยงพบปะสังสรรค์ครั้งต่อไป เขากลับดึงดูดคนเกือบ 20 คนโดยไม่รู้ตัว
อย่ามองว่าเพียงคน 20 กว่าคนเท่านั้น แต่ทั้งหมดนั่นเป็นผู้บริหารระดับสูง และประธานบริษัทในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และโทรทัศน์ แต่ละคนมีฐานะที่ไม่ธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ..ประธานเหลย
เครือข่ายในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และโทรทัศน์ จึงได้ถูกควบคุมโดยเขา เช่นนี้...
เวลามาถึง 11 โมงอย่างรวดเร็ว
งานเลี้ยงพบปะสังสรรค์ครั้งนี้จึงถือว่าสิ้นสุดลงในที่สุด
ประธานเสิ่น จากบริษัทภาพยนตร์ และโทรทัศน์ เจี๋ยฮว๋า ก็ได้ตั้งใจจัดงานเลี้ยงอาหารให้กับทุกคนเป็นพิเศษ
หลังจากช่วงบ่ายจึงแยกย้ายกันไป…
ซูเหวิน ยังคงถูกล้อมรอบไปด้วยคนกลุ่มใหญ่ และเขาได้กล่าวลาก่อนจะเดินออกจากโรงแรม และกลับไปที่มหาลัย
หลังจากงานเลี้ยงพบปะสังสรรค์ครั้งนี้ ซูเหวิน ได้ช่วงชิงผลประโยชน์มากมายให้กับบริษัท
รองประธานโจว และคนอื่นๆ ถือว่ายอมรับในตัวของเขาแล้ว
ส่วนภาพวาดของ ประธานเหลย นั้น ซูเหวิน ได้ตกลงกับ ประธานเหลย ไว้แล้วว่าจะวาดให้กับเขาในวันพรุ่งนี้
ในส่วนสถานที่ก็คือ โรงน้ำชา เซียนเฮ่อ
และซูเหวิน รู้ดีว่าอาจารย์จางก็ต้องการดูภาพวาดของเขาด้วยเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงแจ้งให้เขาทราบเรื่องนี้ด้วย
ดังนั้นในวันรุ่งขึ้น..
ซูเหวิน ได้ไปพบกับ ประธานเหลย และอาจารย์จางที่โรงน้ำชา เซียนเฮ่อ
และลูกศิษย์สาววัย 30 ปีต้นๆ ของอาจารย์จางก็มาด้วย
หลังจากหลายคนมาที่โรงน้ำชา เซียนเฮ่อ ซูเหวิน ก็เชิญพวกเขาดื่มชากันก่อน แล้วจึงช่วย ประธานเหลย วาดภาพ
ครั้งนี้ ซูเหวิน ไม่ได้เลือกที่จะวาด ‘ใบไม้ร่วงในฤดูใบไม้ร่วง’ อีกต่อไป
แต่เขากลับได้วาดภาพ ‘หมื่นอาชาทะยาน’ ตามบุคลิกของ ประธานเหลย
กว่าหลายชั่วโมงต่อมา ภาพวาดก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้น
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะยิ่งเขาได้ฝึกทักษะการวาดภาพนานเท่าไหร่ ทักษะของเขาก็ยิ่งดูสูงมากขึ้นเท่านั้น
ซูเหวิน พบว่าหลังจากเขาวาดภาพนี้เสร็จ และเมื่อมองดูภาพวาดนี้อีกครั้ง มันกลับช่างน่าดูหลงใหลยิ่งไปกว่าภาพวาด ‘ใบไม้ร่วงในฤดูใบไม้ร่วง’ ที่เขาวาดในสตูดิโอของ อาจารย์จาง ถึงสามส่วน
เมื่อมองไปที่ ประธานเหลย, อาจารย์จาง และลูกศิษย์หญิงของเขาดูเหมือนพวกเขาจะนิ่งงันไปแล้ว
พวกเขาต่างตกตะลึงไปกับฝีมือในการวาดภาพของ ซูเหวิน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาจารย์จาง ที่หัวใจเขาแทบสลาย
เขาได้แสดงความสามารถที่ไม่ธรรมดาในวงการจิตรกรรมมาตั้งแต่เด็ก..
เขายังถือว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะในวงการจิตรกรรมมาโดยตลอด
แต่ภาพ ‘หมื่นอาชาทะยาน’ ของ ซูเหวิน ในวันนี้ กลับทําให้ อาจารย์จาง รู้สึกได้ว่า สิ่งที่เรียกว่าพ่อมดแห่งวงการจิตรกรรมที่แท้จริงนั่นคืออะไร…
นี่มันไม่ใช่เทคนิคการวาดภาพที่เขา หรือจิตรกรชั้นนำในวงการ หรือใครก็ตามสามารถวาดได้แล้ว?
ความสามารถในการวาดภาพนี้ไม่มีใครเทียบได้แน่ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน หรือแม้แต่ ในอนาคต…
ภาพวาดนี้เต็มไปด้วยแรงผลักดันอันยิ่งใหญ่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอำนาจ ความสง่างาม และความน่าหลงใหลของมัน…
ท่าทางของม้าเหล่านั้นในภาพวาดเหมือนกําลังวิ่งอยู่จริงๆ ซึ่งทําให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะขึ้นควบม้ากระโจนข้ามผ่านทุ่งกว้าง
ระดับการวาดภาพของเขามันสูงส่งเกินขอบเขตจะบรรยายได้แล้ว
ไม่ต้องพูดถึงพวกเขาเลย ตอนนี้ลูกค้าบางคนที่มาดื่มชาก็ถูกดึงดูดด้วยภาพวาดของ ซูเหวิน พวกเขาหยุดยืนดูทีละคน และต่างชื่นชมกันอย่างไม่ขาดปาก…