บทที่ 316: ปลูกข้าวหลวงเสียงสุ่ยได้จริง ๆ เหรอ? แถมยังคุณภาพดีกว่าด้วย?
ผู้ที่มาเที่ยวชมบ้านไร่ชิงหลินจะได้เห็นนาข้าวเมื่อเดินผ่านพื้นที่เข้าชมสะพานลอยน้ำและทะเลดอกไม้รวม
มีนักท่องเที่ยวหลายคนสับสน เพราะว่าการที่ในสถานที่ท่องเที่ยวอย่างบ้านไร่ชิงหลินมีทุ่งนาแบบนี้มันดูจะแปลกไปซักหน่อย
ประเด็นสำคัญคือทุ่งนานี่ดันมีรั้วกั้นแบบแน่นหนา และไม่เพียงแค่รั้วกั้นเท่านั้น แต่ยังมีแถบเตือนด้านนอกอีกด้วย อย่างกับว่าทุ่งนาแห่งนี้มันต้องมีความพิเศษมาก ๆ
ตอนนี้นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวบ้านไร่ในทุก ๆ วันจะได้เห็นทุ่งนาสีทองอร่าม และด้วยรวงข้าวที่อุดมสมบูรณ์จนต้นข้าวต้นใหญ่ต้องงองุ้มซึ่งบ่งบอกว่ารวงข้าวแต่ละรวงต้องนักมากแน่นอน
วันต่อมา
ฉินหลินกับหลี่ไข่มาถึงที่นี่อย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับอวี้สุ่ยและคนงานจากแผนกเพาะปลูก โดยทั้งหมดมาที่นี่เพื่อจะช่วยเกี่ยวข้าว
แม้แต่เฉินต้าเป่ยเองก็มาแต่เช้า
เขาได้พับขากางเกงเตรียมพร้อมกับการเกี่ยวข้าวในครั้งนี้ด้วย
“ขอดูก่อนแป๊บ” หลี่ไข่ลงไปในนาเป็นคนแรกและนั่งยอง ๆ อยู่หน้าต้นข้าวกอหนึ่ง จากนั้นก็เด็ดเมล็ดข้าวออกมานิดหน่อยและแกะเปลือกมันออก
หลังจากนั้นไม่นานข้าวสารซึ่งมีสีเขียวราวกับหยกแต่มีความใสก็ได้เผยตัวออกมาในมือของเขา
ลักษณะของเมล็ดข้าวนี้เหมือนกับข้าวหลวงเสียงสุ่ยที่น้องฉินนำออกมาก่อนหน้านี้เลย
หลี่ไข่ที่เห็นแบบนี้ก็มีดวงตาเป็นประกาย จากนั้นก็เอาเม็ดเข้าสารเหล่านั้นเข้าปาก
แล้วรสหวานก็ได้ทะลักล้นอยู่ในปากทันที
แม้ว่าจะเป็นเพียงข้าวสารก็ตาม แต่หลี่ไข่ก็สามารถตัดสินได้ในทันทีเลยว่าข้าวหลวงเสียงสุ่ยครั้งนี้ปลูกสำเร็จแล้ว
เขารีบหันมาบอกกับฉินหลินอย่างตื่นเต้นยินดี “สำเร็จแล้วน้องฉิน สำเร็จแล้ว ปลูกข้าวหลวงเสียงสุ่ยสำเร็จแล้วววววววววว เด๋วเราเอาไปตรวจสอบกันว่าคุณภาพจะเป็นยังไง!”
แน่นอนว่าฉินหลินรู้อยู่แล้วว่าปลูกสำเร็จ แต่พอเห็นหลี่ไข่ที่ตื่นเต้นแบบนั้นก็ต้องสับสวิตช์เข้าสู่โหมดฉินหลินการละครและแสดงสีหน้าตื่นเต้นตามไปด้วย “จริงเหรอ!”
หลี่ไข่พยักหน้ารัว ๆ เหมือนสากที่ตำน้ำพริก จากนั้นก็เด็ดเมล็ดข้าวออกมาแกะเปลือกแล้วยื่นให้ถึงปาก “ลองดูได้เลย ทั้งหวานทั้งอร่อยตั้งแต่ยังไม่หุง”
หลังจากเม็ดข้าวเข้าปากแล้วฉินหลินก็สัมผัสได้ถึงความแห้งแต่ว่าหวานอร่อย ถ้าหุงสุกแล้วล่ะก็บอกเลยว่าอร่อยกว่านี้ชัวร์
เอาแค่นี้เขาก็รู้แล้วว่าเป็นข้าวหลวงเสียงสุ่ยเลเวล 1
แล้วหลี่ไข่ก็บอกพวกอวี้สุ่ยกับคนงานว่า “พวกคุณมาเกี่ยวกันได้เลย อย่าลืมคำนวณพื้นที่เป็นหมู่แล้วบันทึกปริมาณผลผลิตที่ได้ด้วยนะ”
“ครับศาสตราจารย์หลี่” อวี้สุ่ยรีบพยักหน้าตอบ จากนั้นก็เรียกคนงานให้ลงไปช่วยกันเกี่ยวข้าว
คนงานของแผนกเพาะปลูกนั้นส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่วัยรุ่น ซึ่งทุกคนล้วนผ่านงานการเป็นชาวนามาก่อนทั้งสิ้น ดังนั้นแค่งานเกี่ยวข้าวง่าย ๆ นี่ไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย
พวกอวี้สุ่ยใช้เวลาแค่ครึ่งวันก็จัดการเกี่ยวข้าวทั้งหมดแถมยังนวดข้าวให้เสร็จสรรพก่อนจะเอาข้าวเปลือกที่ได้ไปชั่งน้ำหนัก
“เป็นไงมั้ง” หลี่ไข่รีบมาถามทันทีที่เห็นว่าพวกอวี้สุ่ยชั่งน้ำหนักข้าวเปลือกเสร็จแล้ว
อวี้สุ่ยตอบด้วยสีหน้าแบบอึ้ง ๆ ว่า “ได้ผลผลิตหมู่ละพันห้าร้อยจินครับ”
คำพูดเหล่านี้ทำให้หลี่ไข่ตกใจ “อย่างเยอะ!”
เป็นปริมาณผลผลิตที่สูงจริงอะไรจริง
ตามข้อมูลที่เขารู้มาคือข้าวหลวงที่ปลูกที่เสียงสุ่ยนั้นได้ผลผลิตที่หมู่ละ 1,000 - 1,200 จิน คือที่นี่ได้มากกว่าถึง 300 จินกันเลยทีเดียว
หลี่ไข่ตื่นเต้นมากจนคว้าข้าวเปลือกขึ้นมากำใหญ่แล้วพูดว่า “น้องฉิน ฉันจะเอาไปตรวจที่ห้องแล็บก่อนนะ อยากรู้ว่ามันต่างจากข้าวที่ปลูกในเสียงสุ่ยมั้ย น่าจะได้ผลช่วงเที่ยง ๆ แหละ นายให้คนเอาข้าวไปสีก่อน แล้วตอนเที่ยงเราค่อยมากินดูกันว่ารสชาติเป็นไง”
ฉินหลินพยักหน้าเห็นด้วย และหลังจากที่หลี่ไข่จากไปแล้วเขาก็ให้อวี้สุ่ยนำข้าวหลวงเสียงสุ่ยเหล่านี้ไปสี ที่แผนกเพาะปลูกนั้นมีเครื่องสีข้าวตั้งรอไว้อยู่แล้ว
ฉินหลินให้อวี้สุ่ยเอาข้าวหลวงเสียงสุ่ยไปสีที่แผนกเพาะปลูก ส่วนตัวเองก็เอาข้าวสารที่ได้จากการสีถุงหนึ่งกลับไปที่ห้องทำงานด้วย
หลังจากล็อกประตูและเข้าสู่เกมแล้วเขาก็ได้อ่านข้อมูลรายละเอียดของข้าวหลวงเสียงสุ่ยที่ปลูกนอกเกมนี้
[ข้าวหลวงเสียงสุ่ย (สามารถเปลี่ยนชื่อได้): เลเวล 1]
[ข้าวที่ปลูกเป็นพิเศษ หายากมากและมีคุณค่าทางอาหารเยอะ อุดมไปด้วยสารอาหาร +1, รสสัมผัส +1, กลมกล่อม +1, อร่อย +1, และวิตามิน VPP ชะลอวัย +1]
แน่นอนว่าอันเดียวกันกับข้าวหลวงเสียงสุ่ยที่ปลูกในเกม
และนี่ยังเป็นครั้งแรกที่เกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น
เพราะโดยปกติแล้วเมื่อนำเมล็ดพันธุ์จากเกมาออกมาปลูกนอกเกมมันจะทำให้ผลผลิตเสื่อมคุณภาพลง
แต่ว่าเมล็ดพันธุ์ของข้าวหลวงเสียงสุ่ยนั้นมีเลเวล 1 ทว่าหลังจากที่ปลูกแล้วผลผลิตกลับยังคงอยู่ที่เลเวล 1 อยู่ไม่ได้เสื่อมถอย
ถ้าให้เดาล่ะก็คงจะเกี่ยวข้องกับที่บอกว่าเมล็ดพันธุ์จากเกมมีโอกาสที่จะกลายพันธุ์และปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปได้
ในตอนแรกเนื่องจากเมล็ดพันธุ์ข้าวหลวงเสียงสุ่ยไม่สามารถปลูกในที่อื่น ๆ ได้เลยเขาจึงใช้ดินวิเศษเพื่อกระตุ้นโอกาสให้เกิดการกลายพันธุ์และปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของบ้านไร่ชิงหลินขึ้น
ดังนั้นเมื่อมันได้ปรับตัวแล้วจึงเป็นธรรมดาที่คุณภาพไม่เสื่อมถอยลง
อย่างไรก็ตามกลับมีเพียงเมล็ดพันธุ์จากเกมเท่านั้นที่สามารถมีโอกาสเกิดการกลายพันธุ์และปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ (บทที่ 49)
เขาเลยยังไม่รู้ว่าเมล็ดพันธุ์ที่เก็บจากผลผลิตที่ปลูกในบ้านไร่นี้จะสามารถนำไปปลูกต่อที่อื่นได้หรือไม่
เพราะถึงยังไงมันก็ยังคงเป็นถึงข้าวหลวงเสียงสุ่ยที่มีเงื่อนไขด้านสภาพแวดล้อมในการปลูกเข้มงวดมาก ๆ อยู่ดี
ฉินหลินออกจากเกมพร้อมกับถุงข้าวหลวงเสียงสุ่ย จากนั้นก็เอาถุงข้าวดังกล่าวไปยื่นให้กับอาจารย์หลิน
............................................................................................
ตอนเที่ยง
ในร้านอาหารของคฤหาสน์ หลี่หยวนชื่อ ศาสตราจารย์เหริน และพวกหลินหลิ่วต่างก็มาที่ร้านอาหาร โดยที่ทุกคนดูจะอยากรู้อยากเห็นกันเล็กน้อย
เพราะพนักงานได้แจ้งให้ทราบว่าเถ้าแก่ฉินต้องการเชิญทุกคนให้มาลองชิมข้าวที่บ้านไร่ชิงหลินปลูกเองในมื้อเที่ยงของวันนี้
ดังนั้นทุกคนเลยมีอาการแบบนี้
หลินหลิ่วกับถังหว่านพูดคุยกันด้วยความอย่างสงสัย
“เธอว่าข้าวที่เถ้าแก่ฉินจะเลี้ยงคือข้าวหลวงเสียงสุ่ยป๊ะ”
“น่าจะใช่นะ ศาสตราจารย์หลี่ไข่กับเถ้าแก่ฉินพยายามปลูกข้าวนี่ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วหนิ ใช่มะ”
“ใช่ ๆ เห็นหลี่ชิงเล่าให้ฟังว่าตอนปลูกช่วงแรก ๆ มันไม่งอกแม้แต่เม็ดเดียวด้วยซ้ำ”
สามสาวนี้ที่ได้มาเที่ยวบ้านไร่ตั้งแต่เปิดใหม่ ๆ ได้รู้เรื่องต้นกล้าของข้าวที่สวนหลังบ้านของห้องโถงเดิม สำคัญคือเฉินเชิ่งเฟย, หม่าเลี่ยเหวิน และหลี่ชิงนั้นมาเยือนบ้านไร่บ่อยครั้งมาก โดยเฉพาะหลี่ชิงนี่แทบจะย้ายบ้านมาอยู่นี่เลยจึงรู้เรื่องค่อนข้างเยอะ และที่แน่ ๆ คือรู้ว่าฉินหลินกับหลี่ไข่กำลังขยายพันธุ์ข้าวหลวงเสียงสุ่ยกันอยู่
ยิ่งกว่านั้นคือพวกเธอรู้ดีว่าข้าวหลวงเสียงสุ่ยคืออะไร และหายากแค่ไหน อีกทั้งยังได้ยินมาว่าแม้แต่ผู้อาวุโสหยวนก็ยังล้มเหลวในงานนี้
พวกเธอเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าบ้านไร่ชิงหลินปลูกข้าวหลวงเสียงสุ่ยได้สำเร็จแล้วจริงมั้ย
แต่บทสนทนาของพวกเธอกลับทำให้หลี่หยวนชื่อกับศาสตราจารย์เหรินได้ยินแล้วต้องหูผึ่ง
ทั้งสองมองหน้ากัน
ศาสตราจารย์หลี่ไข่ปลูกข้าวหลวงเสียงสุ่ยด้วยเหรอ?
นี่หมายความว่าข้าวที่บ้านไร่ปลูกเองที่เถ้าแก่ฉินเชิญมาชิมก็คือข้าวหลวงเสียงสุ่ยน่ะสิ ใช่มั้ย?
ทันใดนั้นผู้เฒ่าทั้งสองก็เริ่มจะอยู่ไม่เป็นสุข
เพราะนี่มันคือข้าวหลวงเสียงสุ่ยเลยเชียวนะ!
เนื่องมันเป็นข้าวที่อุดมไปด้วยสารอาหารและสารช่วยชะลอวัยจึงทำให้มันถูกเลือกให้เป็นโครงการวิจัยสำคัญโดยสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ และผู้นำโครงการในช่วงแรกก็คือผู้อาวุโสหยวน
และก็เป็นอย่างที่รู้ ๆ กันคือโครงการนี้ไม่ประสบความสำเร็จและสุดท้ายแล้วก็ต้องพับไปเนื่องจากต้นทุนในการวิจัยเริ่มจะบานปลาย
ข้าวหลวงเสียงสุ่ยนั้นมีปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมที่จะกระทบต่อการปลูกและเจริญเติบโตหนักมาก
สภาพแวดล้อมในสถานที่อื่นไม่สามารถเข้าเงื่อนไขได้เลย ในพื้นที่ทดลองส่วนใหญ่แล้วเมล็ดไม่งอกเลยด้วยซ้ำ แม้ว่าบางที่จะงอกและสามารถเติบโตจนออกรวงได้ก็ตาม แต่มันกลับผลิตสารที่มีรสขมอีกทั้งยังมีสารอาหารเพียงแค่เล็กน้อยจนทำให้กินไม่ได้
แล้วจะมาบอกว่าตอนนี้บ้านไร่ชิงหลินปลูกข้าวหลวงเสียงสุ่ยได้สำเร็จเนี่ยนะ! ถามจริง!
แม้เรื่องนี้อาจจะดูเพ้อเจ้อก็ตาม แต่พอมานึกถึงฝีมือการเพาะปลูกพืชของศาสตราจารย์หลี่ไข่แล้วก็ดูเหมือนไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้
จนสุดท้ายแล้วหลี่หยวนชื่อก็ไม่ทนและถามกับทั้งสามสาวว่า “พวกคุณสามคน เมื่อกี๊บอกว่าศาสตราจารย์หลี่ไข่กำลังปลูกข้าวหลวงเสียงสุ่ยอยู่เหรอ”
พวกหลินหลิ่วทั้งสามพักฟื้นที่คฤหาสน์แห่งนี้มานานพอ ๆ กันและได้รู้จักตัวตนของหลี่หยวนชื่อกับศาสตราจารย์เหริน
เมื่อได้ยินคำถามของหลี่หยวนชื่อหลินหลิ่วก็ตอบด้วยความเคารพ “ใช่แล้วค่ะหลี่หยวนชื่อ ถึงจะไม่แน่ใจว่าที่จะได้กินนั่นใช่มั้ย แต่รู้มาว่าพวกเถ้าแก่ฉินเคยปลูกข้าวหลวงเสียงสุ่ยมาก่อนจริง ๆ ซึ่งตอนนั้นก็ยังเป็นต้นกล้าอยู่เลยน่ะค่ะ”
เป็นคำตอบที่ทำให้หลี่หยวนชื่อกับศาสตราจารย์เหรินต้องมองหน้ากันอีกครั้ง
และเห็นว่าในแววตาของอีกฝ่ายกำลังแฝงไว้ด้วยความคาดหวังแบบไม่ต้องอธิบายเป็นคำพูดอยู่
หากบ้านไร่ชิงหลินสามารถขยายพันธุ์ข้าวหลวงเสียงสุ่ยได้จริง ๆ ล่ะก็มันจะกลายเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากและพลิกผันอุตสาหกรรมนี้ไปอีกตลบใหญ่
ในที่สุดเวลาที่รอคอยก็มาถึง ฉินหลินให้พนักงานเอาอาหารไปเสิร์ฟ นอกจากอาหารโอสถธรรมดาซึ่งมีให้กินทุกวันแล้ว ครั้งนี้ที่ดึงดูดความสนใจของพวกหลี่หยวนชื่อมากที่สุดก็คือชามข้าวนั่นเอง
หลี่หยวนชื่อกับศาสตราจารย์เหรินแทบจะรอไม่ไหวแล้ว ทั้งคู่รีบลุกขึ้นทักทายฉินหลินทันทีพร้อมกับหยิบชามข้าวมาดูด้วยความสงสัย
หลี่หยวนชื่อรีบถามอย่างร้อนรน “เถ้าแก่ฉิน นี่คือข้าวที่บ้านไร่ของคุณปลูกใช่มั้ย แล้วใช่ข้าวหลวงเสียงสุ่ยรึเปล่า”
“หลี่หยวนชื่อรู้ด้วยเหรอครับว่านี่คือข้าวหลวงเสียงสุ่ย?” ฉินหลินพยักหน้าและถามกลับ
ซึ่งคำถามกลับเป็นคำตอบและยังเป็นคำตอบที่ทำให้หลี่หยวนชื่อตื่นเต้นมากด้วย “ข้าวหลวงเสียงสุ่ยจริง ๆ เหรอเนี่ย!”
“คุณปลูกเจ้านี่สำเร็จแล้วจริง ๆ เหรอ!” ศาสตราจารย์เหรินพูดบ้าง จากนั้นก็รีบหยิบตะเกียบมาพุ้ยข้าวใส่ปากอย่างไว
แล้วก็ต้องอึ้งกับรสชาติ
เพราะข้าวหลวงเสียงสุ่ยธรรมดานั้นก็อร่อยกว่าข้าวทั่วไปแล้ว
ยิ่งข้าวหลวงเสียงสุ่ยเลเวล 1 นั้นมีโบนัสคุณสมบัติอร่อย +1 และรสสัมผัส +1 ด้วยเนี่ย เป็นอะไรที่แบบธรรมดาไม่มีทางเทียบติดเลย
ศาสตราจารย์เหรินได้สติแล้วก็รีบบอกว่า “ถึงข้าวนี่จะไม่อร่อยเท่าข้าวที่เถ้าแก่ฉินนำออกมาก่อนหน้านี้ก็ตาม แต่ก็เกือบ ๆ จะเหมือนกับที่มีตามปกติล่ะนะ”
แน่นอนว่าต้องเทียบไม่ติดอยู่แล้ว เพราะข้าวหลวงเสียงสุ่ยที่ทำให้กินก่อนหน้านี้คือเลเวล 2 ซึ่งทำโดยใช้สูตรอาหารโอสถจนเติมความอร่อยเข้าไปอีกขั้นหนึ่ง
ทว่านี่เป็นแค่ข้าวหลวงเสียงสุ่ยเลเวล 1 หุงสุกธรรมดาแล้วมันจะไปสู้ได้ยังไงเล่า
แน่นอนว่าเจ้าตัวไม่ได้รู้ว่าถ้าเอาข้าวหลวงเสียงสุ่ยธรรมดาตั้งไว้เป็นเกณฑ์ล่ะก็ เลเวล 1 จะสูงกว่าข้าวธรรมดาหนึ่งอยู่ 1 ขั้น และเลเวล 2 ก็สูงกว่า 2 ขั้น
เมื่อหลี่หยวนชื่อได้ยินดังนั้นก็หยิบตะเกียบขึ้นมาพุ้ยกินไป 2 คำ และก็รู้สึกถึงความอร่อยและรสสัมผัสของมันอย่างชัดเจน
เขารีบถามทันที “เถ้าแก่ฉิน คุณได้เอาข้าวหลวงเสียงสุ่ยนี่ไปตรวจสอบแล้วยัง”
ถึงความอร่อยและรสสัมผัสจะเป็นไปตามมารตฐานแล้วก็ตาม แต่เหตุผลหลักที่ว่าทำไมข้าวหลวงเสียงสุ่ยถึงเป็น ‘ข้าวหลวง’ นั้นกลับไม่ใช่เพราะมีรสชาติดี
เพราะอันที่จริงมันมีข้าวมากมายหลายสายพันธุ์ที่อร่อยกว่าข้าวหลวงเสียงสุ่ย
ส่วนสาเหตุดังกล่าวก็เพราะมันอุดมไปด้วยสารอาหาร สารช่วยชะลอวัยและวิตามิน VPP
เฉพาะข้าวที่ปลูกที่เสียงสุ่ยที่ครอบครองสิ่งเหล่านี้เท่านั้นถึงจะเรียกว่าข้าวหลวงเสียงสุ่ยตัวจริง
ไม่งั้นล่ะก็ต่อให้รสชาติจะดีกว่ายังไงแต่ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ก็ถือว่าล้มเหลวอยู่ดี
“พี่หลี่ได้เอาไปทดสอบแล้วครับ แล้วจะมีการเปรียบเทียบผลการทดสอบกับข้าวหลวงเสียงสุ่ยปกติด้วย คิดว่าน่าจะได้ผลเร็ว ๆ นี้แหละครับ” ฉินหลินอธิบาย
ส่วนสามสาวนั้นไม่สนใจเรื่องยาก ๆ พวกนี้ พวกเธอลงมือกินกันอย่างเอร็ดอร่อยในทันทีที่พนักงานมาเสิร์ฟ
สำหรับพวกเธอแล้วแค่มันอร่อยและมีประโยชน์ก็ถือว่าจบไม่ต้องไปไกลกว่านี้ให้ชีวิตมันยุ่งยาก
เอาตามปกติแล้วพวกเธอจะหาซื้อข้าวหลวงเสียงสุ่ยมากินยังยากเลย ตอนไปซื้อที่ร้านของหรูหยกทองของหลี่เฟยนี่สุดแสนจะลำบาก เพราะงั้นเรื่องข้าวหลวงเสียงสุ่ยเลเวล 1 ไม่ต้องนับ ถ้าสามีไม่ได้ขอแบ่งจากเถ้าแก่ฉินล่ะก็รับรองว่าหาไหนไม่ได้แน่นอน
ที่หนักเลยก็คือพวกเธอตัดสินไปแล้วว่าหลี่เฟยได้ใช้สินค้ามีตำหนิมาหลอกขายพวกเธอ ไม่ว่าจะเป็นด้านความอร่อยหรือรสสัมผัสล้วนห่วยแตกกว่าที่พวกเธอกำลังกินอยู่นี่เยอะ
แล้วถ้าหากเถ้าแก่ฉินสามารถปลูกข้าวหลวงเสียงสุ่ยเองได้ล่ะก็พวกเธอจะสามารถหาซื้อได้ง่ายอย่างแน่นอน ในอนาคตก็จะได้กินข้าวหลวงเสียงสุ่ยเป็นอาหารหลักทุกวัน นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่ภรรยาเศรษฐีโนหนึ่งอย่างพวกเธอก็ยังไม่เคยคิดฝันมาก่อน
ส่วนตอนนี้หลี่หยวนชื่อกับศาสตราจารย์เหรินกลับสูญเสียความอยากอาหารไปโดยสิ้นเชิง
เพราะมัวแต่ตั้งหน้าตั้งตารอผลการทดสอบของหลี่ไข่ ถึงขนาดที่หลี่หยวนชื่อคอยกระตุ้นยิก ๆ ให้ฉินหลินโทรจิกหลี่ไข่
ก็ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะเป็นแบบนี้
เพราะในฐานะนักวิจัยทางวิทยาศาสตร์แล้วไม่มีอะไรที่พวกเขาตั้งตารอมากไปกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้
จนในที่สุด
เข้าช่วงบ่าย หลี่ไข่ก็ทดสอบเสร็จและนำผลการทดสอบมายังคฤหาสน์
ทันทีที่หลี่ไข่เห็นฉินหลินก็รีบบอกด้วยอาการตื่นเต้นสุดขีด “ลองเดาผลดูซิน้องฉิน คาดหวังว่างาย ผมการทดสอบข้าวหลวงเสียงสุ่ยฝีมือบ้านไร่ชิงหลินนี่~”
เมื่อฉินหลินเห็นว่าหลี่ไข่กำลังแสดงเขาก็กำลังจะตบมุก แต่ว่าหลี่หยวนชื่อที่ทนไม่ไหวกลับตัดหน้าซะก่อน “เลิกอมพะนำซักทีศาสตราจารย์หลี่ไข่ รีบ ๆ บอกมาได้แล้วว่าผลเป็นยังไง!”
เมื่อหลี่ไข่เจอหลี่หยวนชื่อจี้เข้าไปก็ต้องรีบตอบอย่างไว “ผะ ผมพาคนทดสอบข้าวหลวงเสียงสุ่ยที่บ้านไร่ชิงหลินปลูกแล้วเปรียบเที่ยบผลกับข้าวหลวงเสียงสุ่ยที่ปลูกที่เสียงสุ่ยมาแล้วครับ”
“ผลคือในแง่ของข้อมูลทางโภชนาการต่าง ๆ ตลอดจนปริมาณวิตามินวีพีพีที่ช่วยชะลอวัยในข้าวหลวงเสียงสุ่ยที่บ้านไร่ชิงหลินปลูกสูงกว่าข้าวหลวงเสียงสุ่ยที่ปลูกที่เสียงสุ่ยหลายเท่าครับ!”
ฉินหลินไม่แปลกใจกับผลลัพธ์นี้ เพราะเป็นเรื่องปกติของเลเวล 1 ซึ่งแน่นอนว่าข้าวหลวงเสียงสุ่ยเลเวล 1 ย่อมมีทุกสิ่งอย่างสูงกว่าข้าวหลวงเสียงสุ่ยปกติ
แต่คนที่ตกใจแน่นอนว่าต้องเป็นหลี่หยวนชื่อกับศาสตราจารย์เหรินได้ยินรายงานผล ทั้งคู่รีบลุกขึ้นไปดูผลการทดสอบในมือของหลี่ไข่อย่างไว
การปลูกข้าวหลวงเสียงสุ่ยเป็นเรื่องที่โคตรของความยาก แค่ปลูกให้ได้ผลผลิตก็ยังว่ายากแล้ว แต่การได้ผลผลิตที่ไม่มีข้อบกพร่องนั้นยิ่งยากกว่า แล้วจะบอกว่าบ้านไร่ชิงหลินสามารถปลูกแล้วได้ผลผลิตที่มีคุณภาพดีกว่าอีกงั้นเร้ออออออออออออ...