บทที่ 130 เจ้าได้ยินองค์หญิงคนนี้พูดกับเจ้าหรือไม่!
“ข้าได้ยินมาว่า เมื่อเช้านี้ ศิษย์พี่หูซิง องค์หญิงเฉิง หยางจง นำขบวนศิษย์จำนวนมากไปหาเจ้าสำนักที่เรือนเพื่อประท้วง เหตุผลคือหยางเสี่ยวเทียน ผู้เป็นเพียงวิญญาจารย์ในขั้นนักยุทธ์ ไม่สมควรเป็นผู้อาวุโสของตำหนักกระบี่ จึงร้องเรียนให้เจ้าสำนัก ขอผู้อาวุโสเฉินฉางชิง ถอดหยางเสี่ยวเทียนออกจากตำแหน่งผู้อาวุโส” ศิษย์อีกคนเล่าเปลี่ยนเรื่อง
“เรื่องหลังจากนั้นเป็นอย่างไร หยางเสี่ยวเทียนถูกปลดหรือไม่” ศิษย์ที่ฟังอยู่รีบเอ่ยถาม
ศิษย์ที่เล่าเมื่อครู่กล่าวว่า “ต่อมา ท่านเจ้าสำนักก็โกรธและบอกว่านี่เป็นกฎของสำนักที่มีมาหลายร้อยปี หากผู้ใดไม่เคารพจะถูกไล่ออกจากสำนักเสินเจี้ยนแทน”
ถอดถอนข้าออกจากตำแหน่งผู้อาวุโสของตำหนักกระบี่งั้นรึ?
หลังได้ยินเรื่องเช่นนี้ แววตาของหยางเสี่ยวเทียนก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา ไม่คิดว่าหลังเขากลายเป็นผู้อาวุโสของตำหนักกระบี่ สามคนนี้ยังมาตามสร้างปัญหาให้เขาไม่ลดละ
หูซิง เฉิงเป้ยเป้ย และหยางจง กระโดดเคลื่อนที่ราวกับตั๊กแตนในฤดูใบไม้ร่วง ระหว่างกำลังวิ่งผ่านทางหอคัมภีร์ ขณะหูซิงมุ่งหน้าไปต่อ เฉิงเป้ยเป้ยกับหยางจงกลับหยุดเพื่อรอดู ว่าจะพบหยางเสี่ยวเทียนแถวนี้หรือไม่
ไม่ช้า ก็ปรากฏเห็นร่างอันคุ้นตาเดินกรายมาดั่งที่นางคาดไว้ ขณะที่หยางเสี่ยวเทียนกำลังจะไปถึงหอคัมภีร์ เฉิงเป้ยเป้ยและหยางจงกลับเดินเข้ามาขวางทันที
หยางเสี่ยวเทียนไม่ต้องการสนทนากับทั้งสองคน จึงพยายามเดินเลี่ยงออกไป แต่เฉิงเป้ยเป้ยกลับพุ่งตัวเข้ามายืนกั้นทางเบื้องหน้า แล้วหยุดหยางเสี่ยวเทียนเอาไว้
ก่อนริมฝีปากบางนั้น จะพลันเผยอเอ่ย “หยางเสี่ยวเทียน เจ้าคิดว่าตนผู้มีความแข็งแกร่งเพียงขั้นนักยุทธ์ จะมีคุณสมบัติเป็นผู้อาวุโสของตำหนักกระบี่แห่งสำนักเสินเจี้ยนงั้นหรือ”
“เจ้าบอกว่าข้าไม่มีคุณสมบัติ แล้วเจ้าคิดว่าตนเองมีคุณสมบัติงั้นรึ” หยางเสี่ยวเทียนเอ่ยโต้กลับ น้ำเสียงเย็นชา
เฉิงเป้ยเป้ยถึงกับสำลัก ก่อนตั้งสติตะคอกใส่หยางเสี่ยวเทียน “หยางเสี่ยวเทียน เจ้าอยู่ในขั้นนักยุทธ์และฝีมือก็ไม่เทียบเท่าข้า แต่กลับเป็นถึงผู้อาวุโสของตำหนักกระบี่ เจ้าไม่ละอายใจบ้างหรืออย่างไร”
“แม้เจ้าไม่รู้สึกละอายใจ แต่ข้ากลับรู้สึกละอายใจแทนเจ้า!” นางชี้หน้าพลางกล่าวอย่างโมโห
หยางเสี่ยวเทียนทำเหมือนไม่ได้ยินแล้วเดินผ่านนาง มุ่งไปยังหอคัมภีร์ราวกับเห็นนางเป็นเพียงอากาศธาตุ มิมีค่าพอให้มองแลสนใจ
เมื่อเฉิงเป้ยเป้ยเห็นท่าทางเพิกเฉยของหยางเสี่ยวเทียน นางผู้เป็นถึงองค์หญิง กลับถูกคนซื่อบื้อนี่เมินซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะให้นางทนการกระทำเช่นนี้ได้อย่างไร
วันนี้นางมิอาจเก็บความรู้สึกเกลียดชังนั้นได้อีกต่อไป ครั้นอารมณ์เริ่มบันดาลโทสะ ร่างเล็กนั้นก็พลันระเบิดพลังขั้นนักยุทธ์ระดับสิบออกมาทันที
นางชักกระบี่ออกมา พุ่งตัวเข้าหาหยางเสี่ยวเทียนทางด้านหลัง หมายแทงเขาด้วยกระบี่ในมือ ขณะแผดเสียงเล็กแหลมว่ากล่าวจวนแสบหู
“หยางเสี่ยวเทียน เจ้ากล้าดียังไงถึงหันหลังให้ข้า เจ้าได้ยินองค์หญิงคนนี้พูดกับเจ้าหรือไม่!”
ระหว่างที่กระบี่ของเฉิงเป้ยเป้ย กำลังจะบรรลุถึงหลังหยางเสี่ยวเทียน ทันใดนั้น เขาพลันหันกลับมา เอียงตัวหลบคมกระบี่จากนาง จึงได้สบตาเย็นเฉียบหยางเสี่ยวเทียนด้วยแววตาตกตะลึง
ขณะที่หยางเสี่ยวเทียนถอยขาข้างหนึ่งไปข้างหลัง แล้วเหวี่ยงกลับมาเตะเฉิงเป้ยเป้ยในทันที
บูม!
ด้วยแรงเตะจากหยางเสี่ยวเทียน ส่งร่างเล็กของเฉิงเป้ยเป้ยลอยลิ่วออกไป ก่อนกระแทกเข้ากับเสาหินที่อยู่ด้านหลัง เสียงดังสนั่นพร้อมเศษหินดินทรายจะฟุ้งกระจายกลบหน้าใบงาม
หยางจงเบิกตาตะลึงจวนหุบยิ้มแทบไม่ทัน หลังประสบเห็นเหตุการณ์อันมิควรเกิดขึ้น กับนางผู้ถึงองค์หญิง
“นักยุทธ์ระดับสิบ!” ปากบางชมพูของเฉิงเป้ยเป้ย ปรากฏมีเลือดซึมออกขณะอุทาน ดวงตาคู่งามช้อนขึ้นมองด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
ลูกเตะของหยางเสี่ยวเทียนเมื่อครู่ เขาใช้พลังขั้นนักยุทธ์ระดับสิบ
มัน มันจะเป็นไปได้ยังไง!
หยางจงผู้คอยยุยง กลับมองด้วยความไม่อยากเชื่อเช่นกัน เขายืนนิ่งตะลึงลานพลางเบิกตากว้างราวกับคนโง่เขลา
หยางเสี่ยวเทียนเพิ่งปลุกวิญญาณยุทธ์ให้ตื่นขึ้น พร้อมกับเขาไม่ถึงห้าเดือนก่อน แต่ตอนนี้เขาทะลวงไปถึงขั้นนักยุทธ์ระดับสิบได้อย่างไร
“หากมีครั้งต่อไปอีกนะองค์หญิง ข้าจะเตะเจ้าให้ตาย!”
หยางเสี่ยวเทียนเหลือบมองเฉิงเป้ยเป้ยอย่างเย็นชา วาจาเมื่อครู่หมายถึงการลอบโจมตีของนาง หลังกล่าวจบ เขาก็เดินผ่านนางเข้าไปในหอคัมภีร์ โดยไม่หันมาเหลียวแลแต่อย่างใด
เฉิงเป้ยเป้ยที่ได้ยินคำนั้น น้ำตาก็พลันไหลร่วงทันที นางร้องไห้แล้วคร่ำครวญว่า “หยางเสี่ยวเทียน ข้าเป็นถึงองค์หญิง เจ้ากล้าเตะข้าได้อย่างไร ข้าจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องเสด็จพ่อ ให้เขาลากเจ้าออกมาประหารต่อหน้าธารกำนัลเสีย ฮือ…”
หยางเสี่ยวเทียนเพิกเฉยต่อคำพูดของนาง และยังคงเดินผ่านประตูเข้าหอคัมภีร์ไป เริ่มค้นหาคัมภีร์เกี่ยวกับอักขระมังกรโบราณ
ไม่นานนัก เขาก็พบคัมภีร์เล่มหนึ่ง ที่บันทึกเกี่ยวกับเผ่ามังกรโบราณ บนชั้นสูงสุดในหอคัมภีร์
เขาเปรียบเทียบอักขระมังกรโบราณบนกริชทีละตัว ก่อนจะใช้เวลาแปลความหมายของมันเพียงไม่นาน
ปรากฎว่ากริชเล่มนี้ นี้เรียกขานว่ากริชเทียนหลง มีด้วยกันสองเล่ม หากรวมทั้งสองเล่มเข้าด้วยกัน มันจะกลายเป็นกุญแจนำทางสู่สมบัติของเผ่ามังกรสวรรค์
ซึ่งสมบัตินี้ถูกทิ้งไว้โดยผู้แข็งแกร่งแห่งอาณาจักรมังกรโบราณ ส่วนผู้แข็งแกร่งของเผ่ามังกรคือใคร ไม่มีข้อบ่งชี้ใดๆ บนกริชบอกไว้ แต่เนื่องจากสมบัติที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง เป็นของวิญญาจารย์ขั้นจักรพรรดิยุทธ์ จึงทำให้หยางเสี่ยวเทียนรู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
เหนือวิญญาจารย์ขั้นเซียนสวรรค์คือราชันยุทธ์ เหนือขั้นราชันยุทธ์คือบรรพจารย์ยุทธ์ แต่ขั้นจักรพรรดิยุทธ์นั้น กลับทรงพลังยิ่งกว่าวิญญาจารย์ขั้นบรรพจารย์ยุทธ์มากนัก!
“กริชเทียนหลง” หยางเสี่ยวเทียนอ่าน
ส่วนอีกเล่มหนึ่ง อาจมีอยู่ในครอบครองของใครคนหนึ่งในพรรคดาบโลหิตก็เป็นได้
ดูเหมือนว่าภายภาคหน้า เขาคงต้องลองไปเยี่ยมเยือนที่พรรคดาบโลหิตเสียหน่อยแล้ว
ระหว่างหยางเสี่ยวเทียนมุ่งแปลความหมายตัวอักขระมังกรในหอคัมภีร์ ทางด้านหลินหยงและเฉินหยวน ก็ได้ทราบเรื่องที่เฉิงเป้ยเป้ย ถูกหยางเสี่ยวเทียนเตะลอยออกไป
“ขั้นนักยุทธ์ระดับสิบงั้นรึ” หลินหยงตกใจและยิ้มอย่างขมขื่นขณะมองเฉินหยวน “ดูเหมือนว่าเจ้าตัวน้อยคนนี้ จะมีความลับเก็บไว้ไม่น้อย”
เฉินหยวนส่ายศีรษะพร้อมรอยยิ้ม “บางที ในอีกสองปีข้างหน้า เขาจะสามารถเอาชนะหูซิงได้จริงๆ ก็เป็นได้”
ครั้นนึกถึงเรื่องเมื่อสองเดือนก่อน หยางเสี่ยวเทียนเคยกล่าวว่าเขาจะเอาชนะหูซิงให้ได้ภายในสองปี ทำหลินหยงตอนนี้ เริ่มรู้สึกซับซ้อนขึ้นมาบ้างแล้ว