บทที่ 129 เป็นกบฏต่อสำนัก!
ดวงตาหูซิงแดงก่ำ พลางเปลี่ยนเป็นเย็นชาด้วยใคร่สังหารคนนามนี้นัก “เราปลุกระดมให้ศิษย์คนอื่นๆ ในสำนัก สนับสนุนเรื่องถอดหยางเสี่ยวเทียนออกจากตำแหน่งผู้อาวุโสของตำหนักกระบี่ ดีหรือไม่”
“ข้าไม่เชื่อว่าผู้อาวุโสทั้งสี่ และเฉินฉางชิงจะไม่จริงจังกับเรื่องนี้!” หูซิงกล่าว
ครึ่งวันต่อมา
หูซิง เฉิงเป้ยเป้ย และหยางจง รวบรวมบรรดาศิษย์หลายสิบคน ที่ต่างมีความริษยาหยางเสี่ยวเทียน พวกเขานัดหมายให้มายืนรออยู่ ณ ลานเรือนของหลินหยง เพื่อคัดค้านขอปลดตำแหน่งอันมิคู่ควรต่อคนๆ นั้น
จากนั้น หูซิงผู้เป็นศิษย์พี่ใหญ่จึงอธิบายเหตุผลของการนำศิษย์มาประท้วงในครานี้ ให้เจ้าสำนักหลินหยงฟังโดยละเอียด ว่าเหตุใด คนอย่างหยางเสี่ยวเทียนจึงมิมีคุณสมบัติได้รับตำแหน่งอันทรงเกียรติ ที่สำนักเสินเจี้ยนปฏิบัติกันมาช้านาน
ทันทีที่ หลินหยงได้ฟังเหตุผลเหล่านั้น เขาก็บันดาลโทสะประดุจราชสีห์พร้อมตวาดด้วยความโกรธ จนบรรดาศิษย์ผู้ถูกปลุกปั่นมาถึงกับตัวสั่นเทา ด้วยหวาดหวั่นอยู่ก่อนแล้ว
“ไร้สาระอะไรเช่นนี้!”
เขาเหลือบมอง หูซิง เฉิงเป้ยเป้ย หยางจง และคนอื่นๆ “นี่เป็นกฎที่บรรพบุรุษตั้งไว้สมัยก่อตั้งสำนักใหม่ๆ แม้ผ่านมาหลายร้อยปีก็มิอาจเปลี่ยนแปลง ใครก็ตามที่หยั่งรู้ศิลากระบี่สามสิบเล่มได้ จะกลายเป็นผู้อาวุโสของตำหนักกระบี่”
หลินหยงสูดหายใจ แล้วกล่าวต่อ “ฮึ! ในเมื่อพวกเจ้าทนไม่ได้ ที่เห็นหยางเสี่ยวเทียนเป็นผู้อาวุโสของตำหนักกระบี่ เช่นนั้น ก็ไปหยั่งรู้ศิลากระบี่ให้ครบสามสิบเล่มเสีย จะได้เป็นผู้อาวุโสเฉกเช่นเสี่ยวเทียน หากพวกเจ้าคิดว่าตนมีความสามารถจริง เว้นเสียแต่พวกเจ้าจะไร้ความสามารถ”
เมื่อได้ฟังวาจาแลเห็นสีหน้าเดือดพล่านของหลินหยงผู้เคร่งขรึมตลอดเวลา บรรดาศิษย์คนอื่นๆ ที่หูซิงและเฉิงเป้ยเป้ยเรียกมา ต่างพากันเงียบสงัดมิปริปากแม้แต่น้อย ด้วยรู้ว่าสิ่งที่เจ้าสำนักหลินกล่าวมานั้น ล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น
ครั้นรับรู้ว่าพวกเขาคงมิมีสิ่งใดจะเอื้อนเอ่ย หลินหยงจึงชี้หน้ากราด “อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้ากำลังวางแผนอะไรอยู่ในใจ!”
“พวกเจ้าไม่อิจฉาพรสวรรค์ด้านกระบี่ของหยางเสี่ยวเทียนหรืออย่างไร แทนที่จะเอาเวลาคิดเหลวไหลพรรค์นี้ กลับไปหมั่นฝึกฝนให้ได้เหมือนเขา แบบนั้นจะไม่ดีกว่าหรืออย่างไร” หลินหยงยังคงโกรธจัด
“มีผู้ใดในบรรดาพวกเจ้าอีกหรือไม่ ที่กล้าคัดค้านวาจาของข้า หากมีก็จงเอ่ยมันออกมา! จะได้ไม่ตำหนิว่าข้ามิสนใจความเห็นของพวกเจ้า” เขาแผดเสียงตะโกนถามด้วยความโมโห
สีหน้าบรรดาศิษย์เหล่านั้นซีดเผือด ด้วยไม่มีใครคาดคิดว่าหลินหยงจะฉุนเฉียวได้มากถึงเพียงนี้ พวกเขาต่างปิดปากเงียบพลางก้มหน้า มิกล้าเปิดปากเอ่ยสิ่งใด
เฉิงเป้ยเป้ยเหลือบมองศิษย์เหล่านั้น ที่เอาแต่ก้มหน้าปิดปาก มิเป็นไปอย่างที่เตรียมการณ์ไว้ หากยังรอให้เจ้าสำนักว่ากล่าวเช่นนี้ต่อไป นางในฐานะองค์หญิงสี่ ก็มิมีใครให้ความเคารพนับถืออีกแล้ว
“ท่านเจ้าสำนักหลิน ข้าแค่ไม่ยอมรับความจริง ที่ว่าหยางเสี่ยวเทียนเป็นเพียงวิญญาจารย์ขั้นนักยุทธ์ แต่กลับสามารถกลายเป็นผู้อาวุโสของตำหนักกระบี่ได้ ก็เท่านั้นเอง” เฉิงเป้ยเป้ยอาศัยฐานันดรในฐานะองค์หญิงกล่าวแย้งอย่างถือดี
หลินหยงเปลี่ยนสายตาเป็นเย็นชาทันที “ถ้าเจ้าไม่ยอมรับในตัวเขา นั่นมันเป็นเรื่องของเจ้า แต่หากเจ้าไม่ยอมรับกฎของสำนัก ก็เชิญออกจากสำนักเสินเจี้ยนของเราได้ ข้าหาคิดตำหนิไม่”
ออกจากสำนักเสินเจี้ยนงั้นรึ?
ใบหน้างามของเฉิงเป้ยเป้ยยามนี้ ดูน่าเกลียดยิ่ง ทันทีที่ประโยคนั้นหลุดจากปากหลินหยง
หลินหยงกล้าขับไล่นางผู้เป็นถึงองค์หญิง เพียงเพราะต้องการปกป้องหยางเสี่ยวเทียนกระนั้นหรือ
“หากหมดธุระ ก็เชิญพวกเจ้าก็กลับไปได้” หลินหยงโบกมือขณะกล่าวด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
“ตอนนี้เสี่ยวเทียนเป็นผู้อาวุโสของตำหนักกระบี่ ใครก็ตามที่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ผู้อาวุโสของตำหนักกระบี่ในทางเสียหาย ผู้นั้นจะถูกลงโทษด้วยข้อหาเป็นกบฏต่อสำนัก!” เขากล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
วาจาและสีหน้าที่เด็ดขาดของหลินหยง ทำเอาบรรดาศิษย์คนอื่นๆ ไม่กล้าอยู่อีกต่อไป พวกเขาต่างพากันเร่งแยกย้ายในทันที
แม้แต่หูซิง เฉิงเป้ยเป้ย และหยางจงก็จากไปพร้อมกับฝูงชนที่หนาแน่น รวมทั้งแบกรับความเจ็บแค้นแลอับอายจากวาจาเหล่านั้นของหลินหยงกลับไปด้วย
ระหว่างกำลังเดินกลับ เฉิงเป้ยเป้ยก็เปิดริมฝีปากบางพลางกล่าวอย่างขมขื่น “เจ้าบื้อหยางเสี่ยวเทียน ข้าไม่จบกับเจ้าเพียงเท่านี้แน่!”
หูซิงผู้เดินอยู่ด้านข้างมิกล่าวสิ่งใด ด้วยกำลังนึกถึงเติ้งอี้ ที่เขาส่งไปลอบสังหารหยางเสี่ยวเทียน แล้วหายไปตั้งแต่ตอนนั้น ทำเขารู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง
เพราะนี่มันก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว ไฉนเติ้งอี้ยังไม่กลับมารายงานว่าเกิดอะไรขึ้น แม้แต่ข่าวคราวของเขาก็ไม่ทราบด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด ไยจึงหายไปเฉยๆ เช่นนี้
หลังหยางเสี่ยวเทียนให้หลัวชิงกลืนโอสถวิญญาณสี่ประการระดับนิรันดร์แล้วฝึกฝน ตัวเขาก็รุดหน้าไปยังหอคัมภีร์ของสำนัก เพื่อค้นหาบันทึกที่เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับเผ่ามังกร
ขณะอยู่ที่ป่าพระจันทร์แดง เขาบังเอิญได้กริชมังกรจากพรรคดาบโลหิต ซึ่งบนตัวกริชนั้น มีอักขระแปลกๆ จารึกอยู่ เขาจึงต้องการรู้ให้ได้ว่าตัวอักขระของเผ่ามังกรบนกริชเล่มนี้หมายถึงอะไร
เมื่อหยางเสี่ยวเทียนเดินพ้นประตูสำนักเข้ามา ก็พลันได้ยินเสียงสนทนาจากบรรดาศิษย์หลายคนในสำนัก เกี่ยวกับข่าวคราวของซูหลี่
“ข้าได้ยินข่าว ว่าซูหลี่จากสำนักเสินไห่หายตัวไปในป่าพระจันทร์แดง” หนึ่งในนั้นกล่าว
“ไม่เพียงซูหลี่เท่านั้น แต่ยังมีอาจารย์อีกสองคนจากสำนักเสินไห่ที่หายไปด้วย พวกเขาอาจถูกลอบสังหารแล้วทำลายศพทิ้งจนไร้ซึ่งร่องรอย!”
“ซูหลี่เป็นอัจฉริยะขั้นสุดยอดของสำนักเสินไห่ และเขายังเป็นถึงหลานชายของจักรพรรดิ ผู้ที่กล้าสังหารซูหลี่ นับได้ว่ามีความกล้าหาญดุจดั่งพยัคฆ์!”
“ได้ยินว่าองค์จักรพรรดิโกรธมาก ถึงกับส่งวิญญาจารย์ผู้มีฝีมือสูงส่งจำนวนหลายคนไปยังป่าพระจันทร์แดง โดยสาบานจะตามหาซูหลี่และคนอื่นๆ ให้พบ แล้วติดตามมือสังหารคนนั้นด้วย!”
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ใบหน้าของหยางเสี่ยวเทียนกลับยังคงเพิกเฉยแลมีท่าทีเช่นเคย
แต่ทว่า เรื่องต่อมาที่บรรดาศิษย์เหล่านั้นกล่าวถึง กลับดึงดูดความสนใจของเขายิ่งกว่านัก