บทที่ 128 เขาไม่คู่ควรเป็นผู้อาวุโสของตำหนักกระบี่
จางจิงหรงกล่าวแทรกอย่างตื่นเต้น “เจ้าเมืองเสินเจี้ยนมั่นใจว่าหยางเสี่ยวเทียนผู้นี้ ต้องเป็นวิญญาจารย์อันดับหนึ่ง ของอาณาจักรเสินไห่ภายในเวลาสิบปีได้อย่างแน่นอน!”
แม้นางจะพยายามอย่างหนักเพื่อสงบสติอารมณ์แลควบคุมริมฝีปากบางอันสั่นไหว แต่ไม่ว่านางจะพยายามมากขนาดไหน ก็มิอาจอดกลั้นความรู้สึกชื่นชมในใจไว้ได้
“หยางเสี่ยวเทียนคนนี้น่าทึ่งมากจริงๆ” จางจิงหรงกล่าวด้วยสีหน้าและแววตาเปล่งประกาย
นางยกมือขึ้นประสานแนบแก้มซ้ายพลางกล่าวว่า “ไม่น่าแปลกใจเลยที่เจ้าสำนักจะเคารพเขาและเต็มใจที่จะติดตามเขา”
“เมื่อเป็นเช่นนี้ เราควรทำอย่างไรต่อไปดี” เฉินอี้ซานถามเลี่ยวคุน
ในบรรดาศิษย์สำนักดาบสีชาดที่ยังเหลือรอดห้าคน เลี่ยวคุนเป็นผู้แข็งแกร่งแลเป็นผู้ที่ทั้งสี่ให้ความนับถือมากสุด ทั้งยังมีความสามารถโดดเด่นกว่าใคร
หากสำนักดาบสีชาดไม่ถูกทำลาย เลี่ยวคุนผู้เป็นอัจฉริยะวัยเยาว์ มาตรว่าเขาต้องเป็นเจ้าสำนักคนต่อไปเป็นแน่
“เจ้าสำนักมีความเมตตาต่อข้าตั้งแต่ได้พบหน้า แล้วข้าเป็นเพียงผู้เดียวที่เจ้าสำนักไว้ใจมากที่สุด ในเมื่อเจ้าสำนักคิดเช่นไร ข้าก็ขอติดตามเจ้าสำนัก” เลี่ยวคุนพึมพำ
คนอื่นๆ อีกหลายคนก็พยักหน้าเช่นกัน
หลายปีนับจากนี้สืบไป เลี่ยวคุนและจางจิงหรง จะได้รู้ว่าการตัดสินใจของพวกเขาในวันนี้นั้นปราดเปรื่องมากแค่ไหน หากได้มองย้อนกลับมานึกถึงเรื่องราว ณ เพลานี้
อีกด้านหนึ่ง เมื่อหยางเสี่ยวเทียนหลอมโอสถวิญญาณสี่ประการระดับนิรันดร์เม็ดที่สามสำเร็จ หลัวชิง อัตและอาลี่ ก็ต่างเดินทางกันกลับมาทีละคน กระทั่งพร้อมหน้า
ทั้งสามทำตามความหวังของหยางเสี่ยวเทียนได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ โดยซื้อทาสกลับมาเป็นจำนวนหลายคน ซึ่งทาสเหล่านั้นล้วนอยู่ในขั้นนักยุทธ์ระดับสิบขั้นปลาย มีทั้งหมดสามสิบเจ็ดคน
หยางเสี่ยวเทียนใช้เงินเกือบแปดหมื่นเหรียญทอง ซื้อทาสเหล่านี้กลับมาได้ทั้งหมดสามสิบเจ็ดคน
ครั้นหยางเสี่ยวเทียนตรวจสอบทาสทั้งหมดสามสิบเจ็ดคนนี้โดยละเอียด สีหน้าเขาก็บ่งบอกถึงความพึงพอใจเป็นอย่างมาก
แม้ทาสทั้งสามสิบเจ็ดคนตรงหน้า จะไม่อาจเทียบเท่าอัต อาลี่ และหลัวชิงได้ แต่ก็มีคนที่มีรากฐานการฝึกฝนไม่เลว ทั้งในด้านวิญญาณยุทธ์และวรยุทธ ต่อให้ผู้มีฝีมือน้อยมากก็ยังนับว่าคุ้มค่า
จากนั้น หยางเสี่ยวเทียนก็หยิบคัมภีร์เคล็ดวิชาหลายเล่มที่ได้มาจากถ้ำหงเฟิง ส่งต่อให้กับคนสามสิบเจ็ด เพื่อให้พวกเขานำไปฝึกฝน
พร้อมกับได้มอบโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์ส่วนหนึ่ง ให้แก่คนทั้งสามสิบเจ็ดเหล่านั้น
ซึ่งแน่นอน ว่าก่อนที่หยางเสี่ยวเทียนจะมอบคัมภีร์เคล็ดวิชาพร้อมกับโอสถแก่คนเหล่านั้น เขาก็ยังไม่ลืม ที่จะให้คนทั้งสามสิบเจ็ดกลืนยาพิษควบคุม
นั่นเพราะว่าตอนนี้ หยางเสี่ยวเทียนมีความลับมากเกินไป จึงมีเพียงวิธีเดียวที่จะสามารถควบคุมให้ผู้คนเหล่านั้นจงรักภักดี และเพื่อสอดส่องดูแลได้สะดวก
หลังทาสเหล่านั้นกลืนโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์เพื่อฝึกฝน หยางเสี่ยวเทียนก็เรียก หลัวชิงไปพบที่จวนหลัก
ไม่นานจากนั้นหลัวชิงก็มาถึง หยางเสี่ยวเทียนไม่รีรอพลันหยิบโอสถวิญญาณสี่ประการระดับนิรันดร์ออกมากางบนฝ่ามือทันที
“โอสถวิญญาณสี่ประการระดับนิรันดร์!” หลัวชิงอุทานด้วยความตกใจ เมื่อเห็นโอสถที่ส่องประกายอยู่ในมือหยางเสี่ยวเทียน
“ถูกต้อง มันคือโอสถวิญญาณสี่ประการระดับนิรันดร์” หยางเสี่ยวเทียนกล่าวด้วยรอยยิ้มแล้วยื่นมันให้หลัวชิง
จากนั้นเขากล่าวว่า “เจ้าจงกลืนมันลงไปแล้วฝึกฝน ข้าอยากรู้ว่าเจ้าจะสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นบรรพจารย์ยุทธ์ได้หรือไม่”
หลัวชิงมองดูโอสถวิญญาณสี่ประการระดับนิรันดร์ในมือเขา ขณะหัวใจพลางเต้นระรัว ด้วยคาดไม่ถึงพร้อมตะลึงไปกับใจกว้างของเขา โอสถอันล้ำค่านี้ นายน้อยเตรียมไว้ให้เขากลืนเพื่อฝึกฝนจริงๆ นะหรือ
เขามองไปยังหยางเสี่ยวเทียน แล้วโค้งคำนับด้วยความซึ้งใจเป็นที่สุด “นายน้อยไม่ต้องกังวล ด้วยโอสถเม็ดนี้ ข้าต้องสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นบรรพจารย์ยุทธ์ได้อย่างแน่นอน”
อย่างไรก็ตาม แม้เขาจะไม่มีโอสถวิญญาณสี่ประการระดับนิรันดร์ เขาก็ยังสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นบรรพจารย์ยุทธ์ได้ภายในหนึ่งเดือนอย่างแน่นอน แต่เมื่อเขามีโอสถเม็ดนี้ เขาก็มั่นใจในการทะลวงครั้งนี้มากขึ้น
“ดีมาก!” หยางเสี่ยวเทียนพยักหน้าขณะแย้มยิ้ม
ก่อนหลัวชิงจากไป หยางเสี่ยวเทียนได้หยิบยาพิษควบคุมออกมาห้าเม็ดแล้วยื่นให้เขา โดยกล่าวว่า “เจ้ามอบยาทั้งห้าเม็ดนี้ให้กับเลี่ยวคุน และอีกสี่คน หากพวกเขาทั้งห้าเต็มใจยอมติดตามข้า ก็ให้พวกเขากลืนยา แต่หากไม่ข้าก็มิได้บังคับฝืนใจ”
หลัวชิงพลางมีสีเคร่งเครียดด้วยกังวล เกรงว่ากลุ่มของเลี่ยวคุนอาจตัดสินใจพลาดหากไม่ขอติดตามนายน้อย เขาใคร่ครวญอยู่ครู่ แล้วตอบกลับด้วยเคารพ
“ไม่ต้องกังวลนายน้อย ข้าจะพยายามโน้มน้าวเลี่ยวคุน และคนอื่นๆ ให้ตัดสินใจแลกลืนมันด้วยความเต็มใจได้แน่นอน” หลังจบประโยคเขาก็ถอยกลับออกไปทันที
ณ สำนักเสินเจี้ยน
เวลานี้เอง หยางจงวิ่งปรี่ขณะร้องไห้เข้าหาเฉิงเป้ยเป้ยและหูซิง ซึ่งทั้งคู่กำลังสนทนากันยังลานฝึกที่เรือนพักของหูซิง
“ศิษย์พี่หญิง ศิษย์พี่ใหญ่หู หยางเสี่ยวเทียนช่างเหิมเกริมยิ่งนัก”
เขาสูดหายใจเก็บกลั้นอารมณ์อยู่ครู่ แล้วเล่าเรื่องราวต่อ “เขาใช้กำลังทำตามอำเภอใจ บุกเข้าไปในหมู่บ้านสกุลหยาง แล้วทำร้ายพ่อของข้าจนบาดเจ็บสาหัส ทั้งที่พ่อข้าเป็นลุงแท้ๆ ของเขา”
“จริงๆ แล้วข้ารับรู้มาโดยตลอดว่าเขาเป็นคนโหดเหี้ยมมาก แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะทำการชั่วร้ายได้ถึงเพียงนี้!”
“ศิษย์พี่หญิง ศิษย์พี่ใหญ่หู ได้โปรดทวงความเป็นธรรมให้ข้าผู้นี้ด้วย”
ครั้นได้ยินสิ่งนี้ สีหน้าหูซิงก็พลันมืดลง “เจ้าคนต่ำช้านั่น มันไม่คู่ควรเป็นผู้อาวุโสของตำหนักกระบี่แม้แต่น้อย!”
“ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าทางสำนักตั้งกฎเช่นนี้ขึ้นมาตั้งแต่แรกได้อย่างไร ผู้ที่หยั่งรู้ศิลากระบี่ได้มากถึงสามสิบเล่ม จะได้รับตำแหน่งเป็นผู้อาวุโสของตำหนักกระบี่ กฎเกณฑ์เช่นนี้เหลวไหลสิ้นดี”
น้ำเสียงเฉิงเป้ยเป้ยก็ดูจะไม่พอใจเช่นกัน “เจ้าซื่อบื้อหยางเสี่ยวเทียน เป็นแค่วิญญาจารย์ขั้นนักยุทธ์ ไม่สามารถเอาชนะข้าได้ด้วยซ้ำ แล้วเขามีคุณสมบัติอะไรมารับตำแหน่งผู้อาวุโสของตำหนักกระบี่”
เฉิงเป้ยเป้ยมีความสามารถเป็นอันดับหนึ่งของศิษย์ชั้นปีหนึ่ง ทั้งพลังยุทธ์ของนางยังอยู่ในขั้นนักยุทธ์ระดับสิบขั้นปลายอีกต่างหาก
ด้วยสถานะเช่นนี้ นางย่อมมีสิทธิ์โอหังเป็นธรรมดา