บทที่ 127 จางจิงหรงสืบข่าว
หยางเสี่ยวเทียนเผยยิ้มให้ตนเอง ด้วยพึงพอใจในผลลัพธ์การหลอมโอสถที่เป็นไปตามต้องการ ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องกงวลเรื่องผลข้างเคียงเวลาใช้โอสถช่วยในการบ่มเพาะ เพราะความบริสุทธิ์ระดับนี้ ส่งผลเสียน้อยกว่า
เขาเก็บโอสถเม็ดแรกไว้ในขวดหยก และยังคงเปิดเตาหลอม หลอมโอสถวิญญาณสี่ประการระดับนิรันดร์เม็ดที่สองต่อ เมื่อเห็นว่าหลัวชิงกับอีกสองคนยังไม่กลับมา จึงใช้เวลานี้ ฝึกฝนตนให้คล่องแคล่วมากยิ่งขึ้นไปอีก
ด้วยประสบการณ์ในการหลอมโอสถวิญญาณสี่ประการระดับนิรันดร์ตอนนี้ ทำให้หยางเสี่ยวเทียนสามารถหลอมมันได้ง่ายและใช้เวลาน้อยลง เพราะทักษะเริ่มมีความเชี่ยวชาญขึ้นมากกว่าครั้งแรกนัก
ไม่นานหลังจากนั้น โอสถวิญญาณสี่ประการระดับนิรันดร์เม็ดที่สอง ก็หลอมเสร็จสมบูรณ์
แม้การหลอมโอสถระดับนิรันดร์จะไม่เป็นปัญหาสำหรับเขา แต่สมุนไพรที่นำมาใช้หลอมโอสถระดับนี้ กลับเริ่มเป็นที่กังวลด้วยความหายากและราคาที่สูงขึ้น ซึ่งหากต้องการ เขาอาจต้องส่งคนออกหาซื้อตามเมืองห่างไกลอื่นๆ
หยางเสี่ยวเทียนถอนหายใจ แต่กระนั้น เขาก็ยังเผยยิ้มให้กับผลสำเร็จโดยรวมต่างๆ ของเขาในเพลานี้
ขณะที่หยางเสี่ยวเทียนกำลังหลอมโอสถภายในลานฝึกสีหน้ามุ่งมั่น
ณ อีกด้านหนึ่งทางฝั่งของเรือนพัก
จางจิงหรงกลับทำตัวลับๆ ล่อๆ ขณะปีนเข้าหน้าต่าง เรือนพักของเลี่ยวคุนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เลี่ยวคุนผู้กำลังนั่งรอนางอยู่พร้อมคนอื่นๆ ที่ออกมารวมตัวกันในเรือนเขา เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับหยางเสี่ยวเทียน เด็กน้อยผู้เป็นทั้งเจ้าจวนและผู้มีพระคุณในเวลาเดียวกัน
ระหว่างทาง หลัวชิงให้ความเคารพ กระทั่งนับถือหยางเสี่ยวเทียน ปฎิบัติตนราวกับคนใช้ ซึ่งสถานการณ์ในตอนนั้นทำเลี่ยวคุน และจางจิงหรงรู้สึกอึดอัดไม่น้อย
หลัวชิงเคยเป็นถึงอาจารย์และเจ้าสำนักผู้ยิ่งใหญ่ มีตำแหน่งน่าเคารพนับถือต่อพวกเขาอยู่เสมอ ซึ่งเขาเป็นวิญญาจารย์ขั้นราชันยุทธ์ระดับสิบ
ดังนั้น หลังจากมาถึงเมืองเสินเจี้ยนแล้ว จางจิงหรงก็อดไม่ได้ที่จะออกไปสืบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของหยางเสี่ยวเทียน
“เจ้าไปสืบมา ได้ความเช่นไรบ้าง” เลี่ยวคุนถามจางจิงหรงทันทีที่เห็นนางกลับมา
ใบหน้าของจางจิงหรงขณะได้ยินเขาถามเรื่องนี้ กลับแสดงออกมาอย่างซับซ้อน ก่อนน้ำเสียงหนักแน่นที่นางเอ่ยขึ้น จะพานทำพวกเขาขมวดคิ้วสงสัย
“หยางเสี่ยวเทียนคนนี้มีเบื้องหลังไม่ธรรมดา เขาพิเศษมาก!”
ด้วยเรื่องราวที่นางได้รับมา มันค่อนข้างอธิบายยาก เพราะเขาไม่ใช่เด็กธรรมดาทั่วไป จึงทำให้นางไม่รู้จะเอื้อนเอ่ยถึงเรื่องไหนก่อนดี
เดิมที ในความคิดของจางจิงหรง ต่อให้หยางเสี่ยวเทียนจะมีฝีมือมากแค่ไหน สุดท้ายเขายังเป็นเด็กเพียงแปดขวบ
แต่เมื่อนางได้รับหน้าที่ออกสืบถามเรื่องนี้ นางกลับได้พบเรื่องราวอันน่าตกใจ ที่ไม่เคยมีปรากฏต่อวิญญาจารย์อัจฉริยะใดในอาณาจักรนี้
ไม่ธรรมดางั้นรึ! เลี่ยวคุนพร้อมคนอื่นๆ ถึงกับหันมองหน้ากัน เมื่อเห็นการแสดงออกของจางจิงหรงดูหวั่นเกรง กับเด็กนามหยางเสี่ยวเทียนแปลกๆ
“เจ้าจะหมายความว่าอย่างไร” เฉินอี้ซานอดไม่ได้ที่จะถาม ด้วยเห็นว่านางยังไม่ตอบทันที ทำเขารู้สึกใจคอร้อนรนกับท่าทีประหวั่นตาม
“หยางเสี่ยวเทียนคนนี้ เขาเป็นผู้มีวิญญาณยุทธ์คู่ขั้นสูง!” จางจิงหรงเหลือบมองเลี่ยวคุนและคนอื่นๆ แล้วกล่าวด้วยท่าทางแลสีหน้าพิกลนัก
“อะไรนะ วิญญาณยุทธ์คู่ขั้นสูง!” เลี่ยวคุนและคนอื่นๆ อุทานขึ้นเกือบจะพร้อมกัน
วิญญาณยุทธ์ขั้นสูง แม้แต่ในอาณาจักรเทียนโต้ว บุคคลเช่นนั้นยังนับว่าเป็นอัจฉริยะผู้น่าทึ่งแลหาได้ยากยิ่ง
สำมะหาอะไรกับวิญญาณยุทธ์คู่ ทั้งยังเป็นวิญญาณยุทธ์คู่ขั้นสูงอีกต่างหาก ถ้าสำนักอื่นรู้จะไม่รีบเร่งแย่งตัวกันเลยหรือ
“มีเรื่องที่น่าตกใจกว่านั้น คือวิญญาณยุทธ์คู่ขั้นสูงของเขา ยังเป็นประเภทเติบโตได้อีกด้วย” จางจิงหรงกล่าวพลางเบิกตากว้างแสดงความน่าทึ่ง ทำดวงตากลมโตของนาง ยิ่งประกายงดงามทวียิ่งไปอีก
“คาดว่าในอนาคต วิญญาณยุทธ์ของเขาอาจเติบโตจนถึงระดับสิบสองขั้นสูง” นางเผยริมฝีปากบางกล่าวเสริม
“อะไรนะ วิญญาณยุทธ์ประเภทเติบโต!” เลี่ยวคุนและคนอื่นๆ ถึงกับสะดุ้งถลึงตาตกใจ
จางจิงหรงกล่าวต่อ “อีกเรื่องคือ เขายังเป็นอัจฉริยะด้านวรยุทธที่น่าหวั่นเกรงอีกด้วย แม้นวิญญาณยุทธ์ของเขาจะเพิ่งปลุกได้ไม่กี่เดือน แต่เขาสามารถฝึกฝนเพลงกระบี่ปีศาจจนบรรลุขั้นสมบูรณ์แบบ อีกทั้งเพลงกระบี่ชางไห่ ก็ฝึกฝนจนบรรลุขั้นวรยุทธไร้เทียมทานแล้วเช่นกัน”
“ไม่เพียงเท่านั้น เขายังสามารถหยั่งรู้ศิลากระบี่ของสำนักเสินเจี้ยน ได้มากถึงสามสิบเล่มเลยทีเดียว!” จิงหรงกล่าวต่อสีหน้าพลันชื่นชม
“อะไรนะ!” จากเสียงอุทานเพียงเบาๆ ก่อนหน้า เริ่มส่งเสียงกันลั่นขึ้น จนเรือนแทบกระเทือน
“ฝึกฝนเพลงกระบี่ชางไห่จนบรรลุถึงขั้นวรยุทธไร้เทียมทานแล้ว!”
“ทั้งเขายังสามารถหยั่งรู้ศิลากระบี่ของสำนักเสินเจี้ยน ได้มากถึงสามสิบเล่มเชียวรึ!”
เลี่ยวคุน เฉินอี้ซาน และคนอื่นๆ ต่างเหลียวซ้ายแลขวามองหน้ากันด้วยเหลือจะเชื่อ
แน่นอนว่าพวกเขารู้เกี่ยวกับสำนักเสินเจี้ยน และเข้าใจความหมายของศิลากระบี่สามสิบเล่มของสำนักเสินเจี้ยนเป็นอย่างดี
“เช่นนั้น เขามิกลายเป็นผู้อาวุโสของตำหนักกระบี่แห่งสำนักเสินเจี้ยนไปแล้วหรือ” เลี่ยวคุนเริ่มสงสัยสถานะของเด็กคนนี้มากยิ่งขึ้น
เด็กอายุเพียงแปดขวบ จะกลายเป็นผู้อาวุโสของตำหนักกระบี่แห่งสำนักเสินเจี้ยน เรื่องพิสดารเช่นนี้สามารถเป็นไปได้จริงงั้นหรือ
หากเรื่องนี้ไม่ได้ออกจากปากของจางจิงหรง พวกเขาคงไม่เชื่อว่าเด็กอายุแปดขวบจะกลายเป็นผู้อาวุโสของตำหนักกระบี่แห่งสำนักเสินเจี้ยนได้
ตำหนักกระบี่แห่งสำนักเสินเจี้ยน นับว่ามีสถานะสูงส่ง ต่อให้นับรวมทุกอาณาจักรโดยรอบก็ตาม
การเป็นผู้อาวุโสของตำหนักกระบี่แห่งสำนักเสินเจี้ยน นับว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ไฉนเด็กอายุแปดขวบคนนี้กลับสามารถทำได้
“ยังไม่จบๆ พวกเจ้ารู้กันหรือไม่ ว่าเขาใช้เวลาเพียงเจ็ดวันในการหยั่งรู้ศิลากระบี่ครบทั้งสามสิบเล่ม” จางจิงหรงกล่าว
ทั้งที่นางเองก็ได้รับรู้เรื่องราวนี้มาแล้ว แต่ขณะกล่าว ไฉนนางถึงยังอดกลั้นความรู้สึกครั่นครามนี้ไม่ไหว กระทั่งเผลอไผลแสดงอาการสั่นเทาออกมา
หยั่งรู้ศิลากระบี่สามสิบเล่มของสำนักเสินเจี้ยน เพียงเจ็ดวัน!
นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว!
เลี่ยวคุน เฉินอี้ซาน และคนอื่นๆ ถึงกับกล่าวอะไรไม่ออก พวกเขานิ่งอึ้งอยู่อย่างนั้นไปนานสองนาน
“เจ็ดวัน! เจ้าหนูนี่ยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า” เลี่ยวคุนเปิดปากที่แห้งผากเป็นเวลานานเอ่ยขึ้น