ตอนที่ 79: มีเพียงแค่ต้องคุกเข่าเท่านั้น!
“เจ้านิกายกู่ซู สง่างามมาก!”
เมื่อทุกคนเงียบ เสียงชายหนุ่มคนหนึ่งก็ดังขึ้นที่ประตู
บุรุษคนหนึ่งในเสื้อคลุมสีแดงโลหิต ได้เดินเข้ามาในประตูภายใต้สายตาจดจ้องมองของทุกคน
“เขาคือเจ้านิกายซิวลี่!,ซั่งเฟิง”
ผู้คนรอบ ๆ ที่รู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมาทันที.
นิกายซิวลี่ของซั่งเฟิง และนิกายเฟิงฉีของกู่ซูจิง อยู่ เป็นสองนิกายใหญ่ที่รองลงมา ตามหลังนิกายโหยวลั่ว.
มีผู้ฝึกตนปิศาจหลายแสนคนภายใต้นิกายดังกล่าว และเต็มไปด้วยผู้มีความสามารถ.
กล่าวได้ว่าหลังจากนิกายโหยวลั่วหายไป ทั้งสองนิกายก็คว้าตำแหน่งนิกายที่แข็งแกร่งที่สุดไปในทันที.
ไม่น่าแปลกใจ หลังจากกู่ซูจิงปรากฏ ไม่นานหลังจากนั้นซั่งเฟิงก็ตามมา
เมื่อเอ่ยถึงความแค้นระหว่างสองนิกาย ซึ่งมีมาตั้งแต่ก่อตั้งนิกายซิวลี่และนิกายเฟิงฉีแล้ว.
ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจหากซั่งเฟิงจะกล่าวเยาะเย้ย กู่ซูจิงในทันที.
กู่ซูจิงจ้องมองซั่งเฟยด้วยสายตาเย็นชา“เจ้านิกายซั่ง เจ้าต้องการแข่งขันกับข้าอย่างงั้นรึ?”
ซั่งเฟิงกล่าวเย้ย“ถูกต้อง หากเจ้าต้องการเป็นผู้นำยุทธภพอาณาจักรหมื่นปิศาจ เจ้าต้องถามข้าก่อนว่าเห็นด้วยหรือไม่?”
“ชิ วาจาใหญ่โต!”ในเวลานั้นพระจันทร์ปิศาจที่กลางหน้าผากของกู่ซูจิงก็ฉายแสงที่น่าเกรงขามออกมา.
ทันใดนั้น เจตนาสังหารอันน่าสะพรึงกลัวก็ปกคลุมทั่วทั้งภูเขาปีศาจศักดิ์สิทธิ์.
ทำให้ทุกคนที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็สั่นสะท้านไปตาม ๆ กัน.
ซั่งเฟิงยังคงจ้องมองใบหน้าของกู่ซูจิงโดยที่ไม่ได้รู้สึกหวั่นเกรงใด ๆ.
แก่นแท้ทั่วร่างกายของเขาแผ่แสงสีดำที่ลึกล้ำไร้ขอบเขตออกมา“ให้ข้าได้เห็นว่า อาคมเวทเทียนเช่อ เป็นเช่นไร!”
หลังจากเอ่ยจบ มือขวาของเขาก็ดึงดาบวิเศษไป๋จางออกมาและฟันมันออกไป ปล่อยรัศมีที่ดุร้ายพุ่งออกไป.
เมื่อทุกคนเห็นสิ่งนี้ ก็พากันหวาดกลัว
ซั่งเฟิงมีชื่อเสียงที่สุดในฐานะ“ดาบผ่าปิศาจเสวียนจื่อ”
มีข่าวลือว่าพลังฟันของเขานั้นสามารถเฉือนมิติได้ถึงหนึ่งลี้.
เมื่อเห็นภาพดังกล่าว ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าสมกับชื่อเสียงจริง ๆ!
กู่ซูจิงไม่กล้าประมาทเช่นกัน กระตุ้นแก่นแท้ใช้พลังทั้งหมด พร้อมกับสร้างเขตแดนเวทขึ้นมาทันที.
เมื่อเขตแดนเวทถูกสร้างขึ้น ความแข็งแกร่งของเขาก็เพิ่มขึ้นมาทันทีเช่นกัน ก่อนจะฟันกระบี่วิเศษออกไปเช่นกัน.
บูม! - -
กระบี่วิเศษที่ทรงพลัง เข้าปะทะกับปราณดาบของซั่งเฟิงโดยตรง ทำให้ซั่งเฟิงถึงกับถอยออกไปหลายสิบก้าว.
ในเวลานี้มือขวาของซั่งเฟิงที่สั่นไปมาอย่างรุนแรง และมีโลหิตไหลออกมาที่มุมปากของเขา.
“เจ้าไม่แม้แต่ป้องกันการโจมตีของข้าได้!”กู่ซูจิงที่เผยยิ้มอย่างภาคภูมิใจ.
ซั่งเฟิงแค่นเสียง“เจ้านับว่าแข็งแกร่งมาก ดังนั้นข้าจึงไม่อาจรับมือได้ ทว่าคนที่จะรับมือกับเจ้าจริง ๆ ก็คือ บรรพบุรุษของพวกเราต่างหาก!”
หลังจากเอ่ยจบ ลำแสงโลหิตก็ล่วงหล่นตกลงมาจากบนท้องฟ้า
ปรากฏเป็นชายชราผมแดงแซมและมีกลิ่นคาวโลหิตฟุ้งกระจายไปทั่ว.
เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้น เหล่าผู้ฝึกตนปิศาจกว่าหนึ่งแสนคนก็สั่นสะท้านขึ้นมาทันที.
บรรพบุรุษโลหิต!
ผู้ก่อตั้งนิกายซิ่วลี่ มีฐานบ่มเพาะกว่า 56,000 ปี ตามข่าวลือ บรรพบุรุษนิกายซิ่วลี่นั้นไม่ได้เพิ่มพลังบ่มเพาะไปจนถึงจนถึงขอบเขตจ้าววิญญาณขั้นสูงสุด ทว่าเขานั้นยังเป็นผู้เชี่ยวชาญอาคมต่าง ๆ มากมาย.
และเวทที่เขาเชี่ยวชาญและทรงพลังที่สุดก็คือ “อาคมดูดซับโลหิต!”
นี่คืออาคมที่บังคับดูดโลหิตออกมาจากร่างศัตรูทำให้กลายเป็นศพแห้ง.
ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นอาคมดังกล่าวนี้ทรงพลังสามารถต่อสู้ข้ามอาณาจักรบ่มเพาะได้ด้วย.
กล่าวอีกนัยหนึ่ง แม้แต่ขอบเขตเสมือนจักรพรรดิ หากถูกอาคมดูดซับโลหิตของเขาแล้ว เกรงว่าคงจะโชคร้ายมากกว่าโชคดี.
เมื่อเห็นการปรากฏตัวของบรรพบุรุษซิ่วลี่ ท่าทางของกู่ซูจิง ก็เผยท่าทางเย็นยะเยือบขึ้นมาทันที.
บรรพบุรุษซิ่วลี่นั้นแข็งแกร่งมาก ก่อนหน้านี้ซุ่มซ่อนตัวอยู่แล้วปล่อยให้ซั่งเฟิงมาลองเชิงสู้กับเขาก่อนอย่างงั้นรึ?
นี่ไม่เพียงแค่แสดงให้เห็นว่าบรรพบุรุษซิ่วลี่ไม่เพียงแค่แข็งแกร่ง ทว่ายังระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก.
นับตั้งแต่เขาปรากฏตัวขึ้น แสดงว่าต้องเข้าใจมองเห็นจุดอ่อนของเขาแล้ว.
เมื่อคิดได้ดังนั้น กู่ซูจิงก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งเหงื่อที่เย็นยะเยือบออกมาอีกสองสามหยด.
“ทารกน้อยกู่ซู หากเจ้ายินยอมนำนิกายเฟิงฉีเข้าภัคดีต่อนิกายซิ่วลี่ ข้าสามารถไว้ชีวิตให้กับเจ้าได้.”
บรรพบุรุษซิ่วลี่ที่เต็มไปด้วยความอหังการเป็นอย่างมาก.
ภายใต้การสะกดข่มของเขา ไม่เพียงแค่กู่ซูจิงเท่านั้น แม้แต่ผู้คนรอบ ๆ ยังสัมผัสได้ถึงความตายด้วยเช่นกัน.
อย่างไรก็ตาม กู่ซูจิงก็เป็นคนที่หยิ่งผยองเช่นกัน เขาจะทำเรื่องน่าอับอายเช่นนั้นได้อย่างไร?
เขาคำรามลั่น“บรรพบุรุษโลหิต แม้นว่าเจ้าจะเหนือกว่าข้า แต่อย่าคิดว่าจะจัดการข้าได้ง่าย ๆ!”
เขาที่ใช้พลังแก่นแท้ไปจนถึงขีดสุด เขตแดนอาคมเวทของเขาที่ระเบิดออกมาหลายสิบครั้ง แม้แต่เริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเสมือนจักรพรรดิของเขาได้แล้ว.
บรรพบุรุษซิวลี่เผยยิ้ม“เสมือนจักรพรรดิแล้วอย่างไร ข้าก็ยังสามารถสังหารเจ้าได้!”
ซั่งเฟิงกล่าวเยาะเย้ยและเอ่ยออกมาว่า "หลังจากที่บรรพบุรุษสังหารเจ้าแล้ว นิกายเฟิงฉีก็จะถูกวาดล้างออกไป จากอาณาจักรหมื่นปิศาจ"
เมื่อทุกคนได้ยินสิ่งนี้ แผ่นหลังของพวกเขาก็รู้สึกหนาวสั่น
ดูเหมือนว่าไม่เพียงแค่จะมีการต่อสู้ ทว่าโลกยุทธของอาณาจักรปิศาจเกรงว่าคงจะประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นกัน.
ในเวลานั้น ร่าง ๆ หนึ่งก็เร่งรีบก้าวเข้ามา.
ซั่งเฟิงหันหน้ากลับไป พบว่าเป็นอู๋ถิง อาวุโสใหญ่นิกายของเขานั่นเอง.
“บรรพบุรุษ ผู้นำนิกาย โปรดเลื่อนการโจมตีนิกายเฟิงฉีไปก่อน เพื่อไม่ให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายโดยไม่จำเป็น”อู๋ถิงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง.
บรรรพบุรุษซิวลี่และซั่งเฟิง ขมวดคิ้วปมา“เกิดอะไรขึ้น?”
อู๋ถิงเอ่ยออกมาทันที“ข้าเพิ่งได้รับข่าวสำคัญ มียอดฝีมือที่ไม่รู้จักช่วยเหลือธิดาศักดิ์สิทธิ์นิกายโหยวลั่ว!”
“อาวุโสอู๋จินเทาแดนศักดิ์สิทธิ์โหลวหยาง ถูกบดขยี้เพียงการโจมตีเดียว และคนที่เหลือที่มาพร้อมกับพวกเขาร้อยคน ทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์จิ่วโหยวและแดนศักดิ์สิทธิ์หานซิ่วล้วนตกตายกันไปทั้งหมด!”
“ในเวลานี้เซิ่งจู่แดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสาม ต่างก็พยายามอย่างดีที่สุดที่จะติดตามร่องรอยของยอดฝีมือคนนั้น!”
แฮก ๆ~
คำพูดดังกล่าวทำให้ทุกคนหายใจไม่ทั่วท้อง.
กู่ซู่จิง ซั่งเฟิง แม้แต่บรรพบุรุษโลหิตล้วนตื่นตะลึง!
แดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามที่มีชื่อก้องไปทั่วโลกยุทธภพ แม้แต่อาณาจักรหมื่นปิศาจก็ยังได้ยินเช่นกัน.
พวกเขามีทักษะอาคมและวิชาต้องห้ามมากมาย ยืนหยัดมานับล้านปีแล้ว ไม่จำเป็นต้องบอกว่าพวกเขาแข็งแกร่งขนาดไหน.
กระทั่งเซิ่งจู่ทั้งสามยังหวาดกลัว ไต่ถามค้นหายอดฝีมือผู้นั้น แล้วยอดฝีมือผู้นั้นต้องแข็งแกร่งขนาดไหนกัน?
ทันใดนั้นบรรพบุรุษโลหิตก็ครุ่นคิดทันที.
เซิ่งจู่ จูเทียนหยูของแดนศักดิ์สิทธิ์โหลวหยางนั้น เป็นผู้ฝึกตนปิศาจที่มีความสามารถ และมีชื่อเสียงในการฝึกฝนวิชาจิตวิญญาณ.
แม้แต่เขาก็ยังหวาดกลัวอย่างงั้นรึ?
นี่แสดงว่าคนที่ช่วยธิดาศักดิ์สิทธิ์โหลวลั่วนั้น มีความเป็นไปได้ที่จะมีพลังจิตวิญญาณระดับจักรพรรดิ.
หากเป็นเช่นนี้ ก็กล่าวได้ว่าแม้แต่บรรพบุรุษโลหิต ก็มีแต่ต้องคุกเข่าให้กับคนผู้นี้.
“แย่แล้ว นิกายโหยวลั่วมีต้นไม้ใหญ่เทียมฟ้าเสียแล้ว!”
“ไม่รู้ว่าผู้ศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นใคร แข็งแกร่งขนาดนั้นเลยรึ?”
“ดูเหมือนว่าผู้ชนะวันนี้อาจไม่ใช่ทั้งนิกายเฟิงฉีและนิกายซิ่วลี่ แต่ยังคงเป็นนิกายโหยวลั่ว!”
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยอารมณ์
หากมีผู้มีอำนาจที่น่าเกรงขามช่วยเหลือธิดาศักดิ์สิทธิ์โหยวลั่ว ใครจะมีคุณสมบัติต่อสู้กับนางกัน?
ใครยังกล้าต่อต้านนาง?
ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงของเด็กน้อยน่ารักส่งเสียงดังขึ้นมาจากด้านนอก.
ทุกคนหันไปมองที่ประตู
บุรุษในชุดขาว พร้อมกับตุ๊กตาน้อยน่ารักสี่ร่าง พร้อมกับสาวงามในชุดสีน้ำเงินที่มีรอยแผลไปทั่วร่าง
คนที่รู้จักต่างก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา“สตรีในชุดน้ำเงิน ก็คือ ธิดาศักดิ์สิทธิ์ของนิกายโหยวลั่ว!”
หวึ่ง ๆ!
ผู้คนทั้งหมดหันไปมองหลินซวนที่อยู่ข้าง ๆ เซียวเย่หราน และเอ่ยอุทานเป็นระยะ ๆ
“เมื่อธิดาศักดิ์สิทธิ์นิกายโหยวลั่วปรากฏ ไม่ได้หมายความว่าบุรุษในชุดขาวข้าง ๆ นางก็คือคนจัดการอาวุโสของแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามหรอกรึ?”
“ท่าทางลักษณะของบุรุษชุดขาวดูพิเศษมาก จะต้องมีภูมิหลังที่ยอดเยี่ยมแน่นอน.”
“ใช่! การที่สามารถเดินทางร่วมกับธิดาศักดิ์สิทธินิกายโหยวลั่วได้ ต้องไม่เป็นคนธรรมดาอยู่แล้ว!”
โดยไม่ได้สนใจการพูดคุยของผู้คนรอบ ๆ บรรพบุรุษซิวลี่หรี่ตาจ้องมองหลินซวนเงียบ ๆ พักหนึ่ง.
เขาตัดสินใจว่าต้องเข้าใจตัวตนของหลินซวนก่อน ค่อยวางแผนต่อไป.
เขาเป็นคนแรกที่ก้าวเข้าไป พร้อมกับเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ผู้ยอดเยี่ยม ไม่รู้ว่ามาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ใดของแดนอมตะเก้าสวรรค์อย่างงั้นรึ?”
เมื่อไม่พบว่าอีกฝ่ายมีพลังปิศาจ หลินซวนก็คาดเดาว่าอีกฝ่ายควรมาจากแดนอมตะเก้าสวรรค์.
เซียวเย่หรานที่อยู่ข้าง ๆ เต็มไปด้วยความชื่นชมและเคารพ นางเป็นคนเอ่ยออกมาแทน“นี่คือพระสวามีของจักรพรรดินิเป่ยเสวียนเทียน.”
“กลายเป็นจักรพรรดิเป่ยเสวียนเทียนนี่เอง!”
ในเวลานี้ บรรพบุรุษโลหิตและคนอื่น ๆ ต่างก็เผยความหวาดกลัวอย่างแท้จริงออกมา.