บทที่ 126 โอสถวิญญาณสี่ประการระดับนิรันดร์
“เจ้าสำนัก มิใช่ว่าตันเถียนของท่านถูกทำลายไปแล้วงั้นหรือ” เลี่ยวคุนยามนี้ก็สับสนฉงนใจมิแพ้กัน
เพราะในวันนั้น เขาเห็นกับตาตนเองว่าตันเถียนของเจ้าสำนักหลัวชิงถูกทำลายไปอย่างมิสามารถรักษาได้แล้ว
“นายน้อยเป็นผู้ฟื้นฟูตันเถียนและฐานการบ่มเพาะของข้า” หลัวชิงบอกกล่าวกับเลี่ยวคุนพร้อมศิษย์คนอื่นๆ จากนั้นจึงแนะนำหยางเสี่ยวเทียนให้รู้จักกับพวกเขาทุกคน
เลี่ยวคุนและจางจิงหรง ต่างประหลาดใจเมื่อรู้ว่าหยางเสี่ยวเทียน เป็นเด็กอายุเพียงแปดขวบ แต่กลับสามารถฟื้นฟูตันเถียนและฐานการบ่มเพาะของหลัวชิงให้กลับมาเป็นปกติได้ดังเดิม ทั้งเขายังดูแข็งแกร่งมากกว่าครั้งก่อนนัก
พวกเขารับรู้เป็นอย่างดี ว่าการฟื้นตัวหลังจากตันเถียนของบุคคลนั้นถูกทำลายนั้นยากเพียงใด มันแทบไม่มีหวังฟื้นตัวได้เลยด้วยซ้ำ แต่เด็กอย่างหยางเสี่ยวเทียน กลับสามารถช่วยให้เจ้าสำนักพวกเขาเป็นปกติได้ เป็นไปได้อย่างไรกัน
“ขอบคุณนายน้อย ที่ช่วยเหลือเจ้าสำนักไว้” เลี่ยวคุน จางจิงหรง และคนอื่นๆ คำนับขณะยกมือกำหมัดแน่น แสดงความขอบคุณต่อหยางเสี่ยวเทียน
หยางเสี่ยวเทียนเพียงส่ายศีรษะและบอกว่ายินดี จากนั้นหันหน้าไปกล่าวกับหลัวชิง “รีบไปจากที่นี่ก่อนเถอะ”
เนื่องจากการสังหารวิญญาจารย์ของสำนักถัวหลัว อาจทำให้กองกำลังกลุ่มที่เหลือตามมาเสริมอีกในไม่ช้า ดังนั้นจึงไม่ควรอยู่ที่นี่ให้นานนัก
หลัวชิงพยักหน้าแล้วตอบน้ำเสียงอย่างพินอบพิเทา ทำบรรดาศิษย์เขาถึงกับแปลกใจ แต่ยังมิกล้าเอ่ยถามไถ่อะไรมากมาย
พวกเขาทั้งหมดเร่งเก็บข้าวของ ออกเดินทางต่อไปยังเมืองเสินเจี้ยนทันที เพราะที่นี่ไม่ปลอยภัยหรือเหมาะให้พักต่อแล้ว
ขณะเดินทาง ด้วยความสงสัยค้างคาในใจ หยางเสี่ยวเทียนจึงเอ่ยถามหลัวชิง เกี่ยวกับสถานการณ์ระหว่างสำนักเขากับสำนักถัวหลัว
หลัวชิงจึงเล่าให้เขาฟัง ถึงเรื่องราวประมาณปีที่แล้ว สำนักดาบสีชาดของเขา ถูกสำนักถัวหลัวบุกมาทำลาย อีกทั้งสำนักถัวหลัวยังมีวิญญาจารย์ขั้นบรรพจารย์ยุทธ์ไม่ต่ำกว่าสิบคน
หยางเสี่ยวเทียนขมวดคิ้วหลังได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด
วิญญาจารย์ขั้นบรรพจารย์ยุทธ์ไม่ต่ำกว่าสิบคนเลยงั้นหรือ!
เรื่องนี้ทำเขารู้สึกกดดันไม่น้อย หลังรับรู้ว่าคนสำนักนี้ ก็ไม่ได้ต่างจากพวกอันธพาลข้างถนน ที่มักหาเรื่องคนสำนักอื่นสักเท่าไร
อีกอย่าง หลัวชิงที่เป็นเพียงผู้ที่แข็งแกร่งสุดของเขาในตอนนี้ กลับอยู่ในขั้นราชันยุทธ์ระดับสิบขั้นปลายเท่านั้น จึงมิใช่คู่ต่อสู้ของคนสำนักถัวหลัวที่เป็นถึงวิญญาจารย์ขั้นบรรพจารย์ยุทธ์
แต่ยังนับว่าโชคดี ที่สำนักถัวหลัวยังไม่ทราบถึงการฟื้นฟูตันเถียนของหลัวชิง จึงทำให้เขาพอมีเวลาเตรียมการอยู่บ้าง
ดูท่า ข้าคงต้องเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับบริวารข้างกายเสียแล้ว
หยางเสี่ยวเทียนคิดเรื่องนี้ในใจเงียบๆ
อันที่จริง เขามีความคิดนี้ตั้งแต่ออกจากป่าพระจันทร์แดงแล้ว และด้วยการปรากฏตัวของคนสำนักถัวหลัวในครานี้ ทำให้แผนการของเขาต้องเร่งด่วนมากขึ้น
ดังนั้น หยางเสี่ยวเทียนและพรรคพวกจึงไม่หยุดแวะพักระหว่างทางอีกต่อไป พวกเขาต้องเร่งฝีเท้ากลับไปยังเมืองเสินเจี้ยนให้เร็วที่สุด
ไม่ช้า พวกเขาทั้งหมดก็มาถึงเมืองเสินเจี้ยน หยางเสี่ยวเทียนรีบถ่ายทอดคำสั่งให้ หลัวชิง อัตและอาลี่ ไปยังตลาดค้าทาสประจำเมืองเสินเจี้ยน และเมืองอื่นๆ โดยรอบ เพื่อกว้านซื้อทาสจำนวนมากที่มีพลังยุทธ์อยู่ในขั้นนักยุทธ์ระดับสิบขั้นปลาย! มีเท่าไหร่ มีกี่คน ซื้อมาให้หมด
วิธีที่ง่ายและเร็วที่สุดในการเสริมความแข็งแกร่งให้เขาในตอนนี้ คือการซื้อทาสมาเพิ่มจำนวนมาก แม้ทาสขั้นเซียนสวรรค์จะหาได้ยากยิ่ง แต่ทาสในขั้นนักยุทธ์ระดับสิบก็ยังพอมีอยู่บ้าง
หากสามารถกว้านซื้อทาสขั้นนักยุทธ์ระดับสิบขั้นปลายมาได้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีโอกาสได้กองกำลังขั้นเซียนสวรรค์มากขึ้นเท่านั้น
แม้เป็นเรื่องยากสำหรับผู้อื่น ที่จะฝึกฝนเหล่าวิญญาจารย์ขั้นนักยุทธ์ระดับสิบขั้นปลายให้เข้าสู่ขั้นเซียนสวรรค์ แต่สำหรับหยางเสี่ยวเทียน มันหาใช่เรื่องยากแต่อย่างใด
เพราะเขามีโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์อยู่ในครอบครองอย่างไม่สิ้นสุด และเขาจะหลอมมันขึ้นมาที่ไหน หรือเมื่อไหร่ก็ได้หากต้องการ
หลังหลัวชิงและทั้งสองคนรับคำสั่ง พร้อมเร่งออกจากจวนมุ่งหน้าสู่ตลาดค้าทาสทันที
ส่วนทางฝั่งของหยางเสี่ยวเทียน เขาก็ออกไปยังลานฝึกยุทธ์แล้วหลอมโอสถวิญญาณสี่ประการ เพื่อเตรียมไว้รอหลัวชิงหลังกลับมา
ตอนนี้เขามีเปลวไฟอัสนีแห่งทัณฑ์สวรรค์แล้ว มาตรว่าคงสามารถหลอมโอสถวิญญาณสี่ประการระดับนิรันดร์ได้
พลังยุทธ์ของหลัวชิงในตอนนี้ อยู่ห่างจากขั้นบรรพจารย์ยุทธ์เพียงกระดาษแผ่นบางๆ กั้นเท่านัั้นตราบใดที่หยางเสี่ยวเทียนสามารถหลอมโอสถวิญญาณสี่ประการระดับนิรันดร์ให้หลัวชิงใช้บ่มเพาะได้ ไม่นาน เขาคงทะลวงกระดาษบางๆ แผ่นนั้นไปได้แน่
ณ ลานฝึกยุทธ์ หยางเสี่ยวเทียนสัมผัสได้ถึงเปลวไฟอัสนีแห่งทัณฑ์สวรรค์ในตันเถียนของเขา และพร้อมปลดปล่อยมันออกมา ด้วยทักษะควบคุมไฟแห่งสวรรค์และโลก
ทันใดนั้น เปลวไฟอัสนีแห่งทัณฑ์สวรรค์พร้อมปราณแท้ ก็หลั่งไหลออกมาตามเส้นลมปราณแล้วปรากฏบนฝ่ามือเขา เป็นลูกไฟดวงเล็กๆ แต่ทรงพลังกว่าไฟแห่งสวรรค์และโลกที่เขามีอยู่มากนัก
ทำอุณหภูมิภายในลานฝึกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
หยางเสี่ยวเทียนเริ่มฝึกควบคุมความร้อนจากเปลวไฟอัสนีแห่งทัณฑ์สวรรค์บนฝ่ามือไปเรื่อยๆ มิหยุดพัก
เขาฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่นาน เขาก็สามารถควบคุมเปลวไฟอัสนีแห่งทัณฑ์สวรรค์ให้เป็นไปตามใจนึกได้อย่างชำนาญ
เมื่อมั่นใจแล้ว เขาจึงหยิบสมุนไพรออกมาเพื่อหลอมโอสถวิญญาณสี่ประการ เริ่มโยนสมุนไพรลงในเตาหลอมทีละชนิด พร้อมกับควบคุมเปลวไฟอัสนีแห่งทัณฑ์สวรรค์ไปพลาง
เนื่องจากครานี้ เขาใช้ไฟศักดิ์สิทธิ์ จึงทำให้เวลาในการหลอมโอสถวิญญาณสี่ประการสั้นลงอย่างมาก
เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป กลิ่นหอมเย้ายวนชวนหลงไหล ก็ลอยโชยออกมาจากเตาหลอมโอสถ
แต่กลิ่นหอมอันรัญจวนนี้ แตกต่างจากโอสถวิญญาณสี่ประการระดับสวรรค์ก่อนหน้าราวฟ้ากับเหว ทันทีที่มันหลอมเข้าด้วยกัน ก็มีเส้นแสงเปล่งประกายออกมาจากโอสถเม็ดนั้น
ครั้นเปลวไฟเริ่มผ่อนปรนจนหายสิ้น หยางเสี่ยวเทียนถึงได้ก้มหน้าลงมองผลงานตนในเตาหลอม ปรากฏเม็ดโอสถวิญญาณสี่ประการ อันมีกลิ่มหอมเย้ายวนตรงหน้า ทำเขาถึงกับแสดงรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ ด้วยในที่สุด โอสถวิญญาณสี่ประการระดับนิรันดร์ก็เสร็จสมบูรณ์!