บทที่ 125 วิญญาจารย์จากสำนักถัวหลัว
ไม่กี่วันต่อมา ก็ได้เวลาที่หยางเสี่ยวเทียนต้องเริ่มต้นการเดินทางของเขา เพื่อกลับไปทำหน้าที่ยังสำนักเสินเจี้ยนต่อ
แต่เมื่อหยางเสี่ยวเทียนกำลังจะจากไป หยางหลิงเอ๋อร์ก็เริ่มงอแง ด้วยมิอาจเต็มใจให้พี่ใหญ่ของนางห่างกายอีกหนที่สอง
“อีกไม่กี่เดือน เจ้าก็จะได้เข้าร่วมพิธีปลุกวิญญาณยุทธ์แล้ว เมื่อเวลานั้นเสร็จสิ้น ให้มาพี่ใหญ่ที่เมืองเสินเจี้ยน เจ้าเข้าใจใช่หรือไม่” หยางเสี่ยวเทียนพูดกับหยางหลิงเอ๋อ
“จากนั้น พี่ใหญ่จะพาเจ้าออกตระเวนหาของกินอร่อยๆ ในเมืองเสินเจี้ยน” เขากล่าวเสริมพลางลูบศีรษะของเด็กน้อยขี้แยคนนี้
จากใบหน้าอมชมพูที่เต็มไปด้วยน้ำตาของหยางหลิงเอ๋อร์เมื่อครู่ ก็พลันเปลี่ยนเป็นสดใสแล้วระเบิดเสียงหัวเราะอย่างชมชอบใจเป็นหนักหนา
ไม่กี่เดือนข้างหน้า หยางหลิงเอ๋อร์ก็จะอายุครบเจ็ดขวบ และนางจะต้องได้เข้าร่วมพิธีปลุกวิญญาณยุทธ์ให้ตื่นขึ้น
ด้วยความเป็นพี่ชาย หยางเสี่ยวเทียนจึงตั้งตารอ ว่าเด็กหญิงตัวน้อยจะปลุกวิญญาณยุทธ์แบบไหนให้ตื่นขึ้นกัน
“เสี่ยวเทียน เจ้าต้องระวังตัวให้มาก และดูแลตัวเองให้ดีระหว่างเดินทางไปยังสำนักเสินเจี้ยน เข้าใจที่แม่บอกใช่หรือไม่” หวงอิ๋งกอดหยางเสี่ยวเทียนพลางบอกกล่าวก่อนจะแยกจากกันไกลอีกครั้ง
“ขอรับท่านแม่” หยางเสี่ยวเทียนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม พลางโบกมือแล้วหันหลังไป
ขณะที่ หยางเฉา หวงอิ๋ง และหยางหลิงเอ๋อร์เฝ้าดูร่างของหยางเสี่ยวเทียนค่อยๆ หายไปบนถนนของเมืองซิงเยว่ ทั้งสามก็แทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่
หลังออกจากเมืองซิงเยว่ หยางเสี่ยวเทียนก็ไม่รีบร้อนที่จะกลับไปยังเมืองเสินเจี้ยนแต่อย่างใด ระหว่างทาง เขายังคงฝึกซ้อมขณะเดินไปตามถนน
เมื่อผ่านถึงเมืองบางแห่งในยามวิกาล พวกเขาจึงตัดสินใจหยุดพักที่โรงเตี๊ยมก่อนหนึ่งคืน รอให้เช้าแล้วค่อยเดินทางกันต่อ
ก่อนหน้านั้น ขณะที่อยู่ในเมืองซิงเยว่ หลัวชิงได้กลืนธารสายฟ้าแห่งทัณฑ์สวรรค์ หลังจากเปลี่ยนแปลงเส้นเอ็นและตัดต่อไขกระดูกแล้ว หลัวชิงก็เข้าใกล้ขั้นบรรพจารย์ยุทธ์มากขึ้น
เฉกเช่นเดียวกับเสี่ยวจิน หลังได้กลืนธารสายฟ้าแห่งทัณฑ์สวรรค์ เกล็ดสีทองของมันก็แวววาวยิ่งขึ้น และมีก้อนเล็กๆ งอกขึ้นมาบนหน้าผากของมันอีกต่างหาก
ครั้นหยางเสี่ยวเทียนมองดูภายในกระเป๋าใบเล็ก ที่มีเงินจำนวนเล็กน้อยพร้อมกับเสี่ยวจินอยู่ข้างใน เขาก็เห็นการเปลี่ยนแปลงของมัน แล้วเริ่มรู้สึกแปลกๆ พลางคิดว่าเจ้าตัวเล็กนี่กำลังจะงอกเขางั้นหรือ
เจ้าสัตว์วิญญาณเกราะทอง มีเขาด้วยหรือ
หากเป็นดังเขาคิดไว้ เสี่ยวจินต้องเป็นสัตว์วิญญาณเกราะทองเพียงตัวเดียวในโลก ที่มีเขาอย่างแน่นอน
ตกดึก หยางเสี่ยวเทียนพร้อมทั้งสอง ก็เข้าพักผ่อนในโรงเตี๊ยมแห่งนั้น แต่ระหว่างที่พวกเขากำลังจะหลับไหล จู่ๆ เสียงการต่อสู้ยังอีกฟากของถนนพลันดังเอะอะขี้น
“สำนักถัวหลัว ข้าเลี่ยวคุนขอสาบาน หากวันนี้สังหารพวกเจ้าไม่ได้ ข้าจะไม่ขอเป็นคน!” เสียงคำรามของใครบางคนดังลั่น
ระหว่างที่หลัวชิงกำลังจะพักผ่อน ก็พลันลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงนี้ เขารีบปรี่กระโดดลงจากเตียงแล้วผลักหน้าต่างเปิดออก
หยางเสี่ยวเทียนซึ่งกำลังเข้าฌานบ่มเพาะ ก็ได้ยินเสียงโครมครามมาจากห้องของหลัวชิง จึงลงจากเตียงย่างเท้ามุ่งหน้าไปยังที่นั่นทันที
“นายน้อย พวกเขาเป็นศิษย์จากสำนักข้า” หลัวชิงรู้สึกตื่นเต้น ประหลาดใจ พร้อมมีความสุขอย่างมาก ขณะบอกกล่าวกับหยางเสี่ยวเทียน
หยางเสี่ยวเทียนรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก จากนั้นเขาและหลัวชิงจึงกระโดดขึ้นไปในอากาศแล้วมุ่งหน้าไปยังทางต้นเสียง ก่อนทั้งสองจะพบเข้ากับร่างหลายร่าง ที่กำลังถูกคนกลุ่มหนึ่งไล่ล่าอยู่อย่างดุเดือด
หัวใจของหลัวชิงเต้นระรัวขณะเห็นคนกลุ่มนั้นถูกไล่ล่า ซึ่งเป็นใบหน้าที่คุ้นตายิ่งนัก “นั่นคือเลี่ยวคุน จิงหรง และคนอื่นๆ เป็นพวกเขาจริงๆ ด้วย!”
เลี่ยวคุนและจางจิงหรง เป็นหนึ่งในศิษย์ที่มีความสามารถมากที่สุดของสำนักดาบสีชาด
เมื่อเห็นว่าพวกเขาถูกไล่ล่าอยู่ นัยน์ตาหลัวชิงก็ประกายด้วยเจตนาฆ่า ทันทีที่เขากางมือออกดาบขนาดใหญ่ก็พลันปรากฏ
เขาคว้าด้ามดาบกระชับแน่น พร้อมกระโจนขึ้นสูงไปในอากาศ แผดเสียงคำรามกึกก้อง ขณะเหวี่ยงดาบในมือฟันออกไปหากลุ่มที่คิดร้ายต่อคนของเขาเบื้องหน้า ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
“ดาบสะบั้นพันขุนเขา!”
สิ้นเสียง ปราณดาบจำนวนมาก ก็พุ่งทะยานตัดผ่านอากาศเข้าหากลุ่มคนพวกนั้นทันที
เหล่าวิญญาจารย์จากสำนักถัวหลัว ที่กำลังไล่ตามกลุ่มของเลี่ยวคุน พลันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เพราะไม่คาดว่าจะมีคนโจมตีหรือกล้าเข้ามาแทรก ทำการไล่ล่าขณะนี้จำต้องหยุดชะงัก
พวกนั้นต่างพากันกระโจนหลบอย่างตื่นตระหนก แต่กว่าจะทันรู้ตัว ปรานดาบจำนวนมาก ได้พุ่งตัดผ่านเสียดสังหารวิญญาจารย์เหล่านั้นจนเกือบสิ้นลมไปหลายคน
หลังฟาดฟันเพลงดาบกระบวนท่าแรก หลัวชิงก็โผเข้าหาวิญญาจารย์สำนักถัวหลัว อย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า ประจันหน้ากับพวกที่เหลือ
มาตรว่าเข้าใกล้พอแล้ว หลัวชิงก็ยกดาบขึ้นแล้วฟันลงอีกหน หมายสังหารวิญญาจารย์อีกสองคนเบื้องหน้าให้ดับดิ้น
ในเวลาเดียวกัน พวกมันที่เหลือก็มีปฏิกิริยาโต้ตอบ
“ราชันยุทธ์!”
“ท่านเจ้าสำนัก!”
เลี่ยวคุน จิงหรง และคนอื่นๆ ต่างน้ำตาร่วงพราวด้วยความดีใจ เมื่อเห็นว่าผู้ใดเป็นคนลงมือ
วิญญาจารย์จากสำนักถัวหลัว ต่างยืนตะลึงลานด้วยความประหลาดใจยิ่ง เมื่อได้รู้ว่าผู้ที่กวัดแกว่งดาบอยู่นั้นคือเจ้าสำนักดาบสีชาด
“หลัวชิงงั้นรึ!” หนึ่งในนั้นพลันตะโกนออกมา ด้วยความไม่อยากเชื่อ
เจ้าสำนักพวกเขาเคยบอกไว้ว่าตันเถียนของหลัวชิงถูกทำลายแล้ว และเขากลายเป็นคนไร้ค่า ไม่ก็อาจตายข้างถนนราวกับสุนัขอยู่ที่ไหนสักแห่งมิใช่หรือ
แล้วหลัวชิงที่อยู่เบื้องหน้าเขาคืออะไร ไฉนกลับมีพลังอยู่ในขั้นราชันยุทธ์ระดับสิบขั้นปลายได้
ดวงตาหลัวชิงขณะนี้ เต็มเปี่ยมด้วยอายสังหาร พร้อมลงมือฆ่าบุคคลที่มีประสงค์ร้ายต่อคนของเขาด้วยดาบในมือ
“มิผิด ข้านี่แหละ หลัวชิง!”
ด้วยความร่วมมือของหลัวชิง เลี่ยวคุน และจางจิงหรง ที่สุดพวกเขาก็สังหารเหล่าวิญญาจารย์จากสำนักถัวหลัวที่ไล่ล่ามาจนหมดสิ้น
จากนั้น หลัวชิงและอีกหกคนที่เป็นศิษย์จากสำนักเขา ก็เริ่มทำการกำจัดศพ