[ตอนฟรี] ตอนที่ 200 : บุตรเทพเสื่อมโทรม
ในขณะที่ทวีปมังกรแฝงกำลังเกิดความโกลาหล
บนทวีปแห่งสรรพสิ่ง หนึ่งในสิบทวีปของดินแดนเบื้องล่าง
ในทวีปนี้ค่อนข้างต่างจากทวีปอื่น ที่นี่ กฎแห่งป่าคือกฎสูงสุด
ผู้ที่แข็งแกร่งย่อมอยู่รอด และผู้ที่อ่อนแอก็ต้องตาย ไร้ความยุติธรรมและเหตุผลโดยสิ้นเชิง
เพราะแบบนี้ ทวีปแห่งสรรพสิ่งจึงเป็นดินแดนที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการที่คนชั่วและสิ่งชั่วร้ายในดินแดนเบื้องล่างมักจะมาหลบซ่อนกัน และมันก็เป็นทวีปที่ยุ่งเหยิงแบบสุดๆ
ยอดฝีมือที่ก่อเรื่องร้ายแรงบนทวีปอื่นๆ ต่างก็หนีมากบดานที่ทวีปนี้อย่างไม่มีทางเลือก
คนที่แข็งแกร่งสามารถใช้ชีวิตบนทวีปแห่งสรรพสิ่งได้อย่างสบายใจ ในขณะที่คนอ่อนแอมีสภาพชีวิตที่น่าอดสู
ในเวลานี้ ภายในวังอันมืดมิดและเย็นยะเยือกแห่งหนึ่งบนทวีปแห่งสรรพสิ่ง
ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์กะโหลกสีขาวซีด
ร่างของเขาถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำ และใบหน้าก็พร่ามัวจนเห็นไม่ชัด
ผมสีเทาของเขายาวจนแตะพื้น ด้านหลังมีปีกสีขาวดำแปลกๆ คู่หนึ่ง ซึ่งห้อมล้อมไปด้วยพลังแห่งหยินและหยาง
แม้ใบหน้าจะพร่ามัว แต่ดวงตาที่เผยอย่างเลือนรางกลับแฝงไปด้วยภาพอันน่าสยดสยองของเหล่าเซียนที่ถูกสังหาร และภาพการล้มตายของเทพเจ้าและปีศาจ
เขาแค่นั่งนิ่งๆ บนบัลลังก์กะโหลก แต่แรงกดดันที่แผ่ออกมากลับหนักหน่วงถึงขีดสุด
ด้านข้างของบัลลังก์กะโหลกขนาบด้วยชายสวมชุดคลุมสีดำสองคน ทั้งคู่ล้วนแผ่กลิ่นอายของนักบุญออกมา
ด้านล่างคือกลุ่มผู้บ่มเพาะของทวีปแห่งสรรพสิ่ง
เหล่าผู้นำจากกองกำลังที่แข็งแกร่งบนทวีปแห่งสรรพสิ่งต่างมารวมตัวกันที่นี่
จากกลุ่มคนเหล่านั้น ชายชราชุดคลุมสีเลือดคนหนึ่งก็ได้ก้าวออกมา เขาป้องมือและเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ท่านผู้มาจากดินแดนอมตะ ข้าขอถามถึงสาเหตุที่เรียกพวกเรามาที่นี่ได้หรือไม่?”
ชายชราชุดคลุมสีเลือดคนนี้มาจากหุบเขาน้ำพุเหลือง
หุบเขาน้ำพุเหลืองคือหนึ่งในกองกำลังชั้นนำของทวีปแห่งสรรพสิ่ง
เดิมที คนพวกนี้ล้วนเป็นคนเลวทรามต่ำช้า สูบเลือดสูบเนื้อผู้คนไม่เหลือแม้แต่กระดูก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้มาจากดินแดนอมตะ พวกมันก็ทำได้แค่ก้มหัวอย่างจำยอม
ส่วนพวกผู้บ่มเพาะที่ไม่ยอมก้มหัว ตอนนี้กลายเป็นศพเย็นเฉียบบนพื้นไปแล้ว
“ข้าได้ยินมาว่าพวกเจ้าเจอเบาะแสของผู้สืบทอดวิชามารกลืนเทพแล้ว?” ชายหนุ่มบนบัลลังก์กะโหลกเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา พลางเคาะนิ้วบนที่พักแขน
“ขอรับ...พวกเราเพิ่งได้ข่าวมาว่าผู้สืบทอดวิชามารกลืนเทพน่าจะเป็นหนึ่งในอัจฉริยะจากวิหารมารศึก” ชายชราเสื้อคลุมสีเลือดตอบพลางเช็ดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผาก
“ดีมาก ในที่สุดก็ปรากฏตัวขึ้นสักที ไม่เสียแรงที่ข้าต้องอยู่บนทวีปนี้ซะนาน” ชายหนุ่มบนบัลลังก์กะโหลกหัวเราะเบาๆ และกล่าว
“หุบเขาน้ำพุเหลือง ประตูอสูร นิกายอสูรฟ้า ข้าขอสั่งให้พวกเจ้าไปล้างบางวิหารมารศึก แล้วจับผู้สืบทอดวิชามารกลืนเทพมาให้ข้า!” ชายหนุ่มออกคำสั่ง
ทันทีที่คำสั่งนี้ออกมา สีหน้าของทุกคนในสามกองกำลังก็เปลี่ยนไป
ชายวัยกลางคนจากนิกายอสูรฟ้าอดรนทนไม่ไหว จึงลุกขึ้นยืนและเอ่ย “ท่านผู้มาจากดินแดนอมตะ วิหารมารศึกเป็นกองกำลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนทวีปแห่งสรรพสิ่ง แม้พวกเราสามกองกำลังจะร่วมมือกัน แต่พวกเราก็ต้องสูญเสียอย่างหนัก แทบจะเป็นการเอาชีวิตเข้าแลกเลยนะขอรับ!”
ทว่า เพียงชายจากนิกายอสูรฟ้าพูดจบ
ชายชุดดำที่ยืนอยู่ข้างบัลลังก์กะโหลกก็สะบัดมือออกไป และตบชายผู้นั้นกลายเป็นกองเนื้อในทันที
“มีใครจะค้านอะไรอีกมั้ย หรือจะไม่ทำตามที่ข้าสั่ง?” ชายหนุ่มพูดเอื่อยๆ
“มิกล้า…มิกล้าขอรับ…” คนจากสามกองกำลังตัวสั่นเทิ้ม หลังเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ
วิหารมารศึกเองก็มีนักบุญคอยดูแลอยู่เช่นกัน
แม้ว่าพวกเขาจะผนึกกำลังโจมตีวิหารมารศึกได้สำเร็จ แต่พวกเขาอาจจะต้องสูญเสียอย่างหนัก
ในขณะที่ชายหนุ่มจากดินแดนอมตะผู้นี้แทบไม่เสียอะไร
แต่ด้วยสถานการณ์ที่บีบบังคับ พวกเขาจึงได้แต่ก้มหัวให้ต่ำ
ชายคนหนึ่งจากประตูอสูรเอ่ยถามด้วยความกลัว “ข้าขอบังอาจถามท่านผู้มาจากดินแดนอมตะได้หรือไม่ว่าบนทวีปแห่งสรรพสิ่งนี้ มันยังมีอัจฉริยะจากดินแดนอมตะคนอื่นที่เพ่งเล็งผู้สืบทอดวิชามารกลืนเทพอยู่ด้วยหรือไม่?”
“หากพวกเขาเข้ามาขวางและต้องการจะแย่งชิง...”
ชายคนนั้นไม่ได้พูดต่อ แต่ความหมายนั้นชัดเจน
คนพวกนี้ล้วนมาจากดินแดนอมตะ ใครจะไปกล้าหาเรื่อง?
ชายหนุ่มบนบัลลังก์กะโหลกหลุดขำทันทีเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น
ราวกับว่าได้ยินเรื่องที่ตลกที่สุดในโลก
เขาตอบอย่างช้าๆ “ไม่ต้องกังวล ไม่มีใครในสิบทวีปเบื้องล่างกล้าหาเรื่องข้าหรอก”
“ถ้ามีไอ้โง่ตาบอดที่อยากจะหยุดข้า เจ้าพูดแค่หกคำก็พอ”
“วังเทพเสื่อมโทรม บุตรเทพเสื่อมโทรม!”
หลังจากหกคำดังก้อง พลังงานชั่วร้ายอันน่าสะพรึงกลัวราวกับจะเข่นฆ่าก็แผ่ออกมา!
แม้แต่คนที่มีระดับการบ่มเพาะเหนือกว่าชายหนุ่มคนนี้ก็ขนลุกซู่
วังเทพเสื่อมโทรม บุตรเทพเสื่อมโทรม!
พวกเขาที่มีชีวิตอยู่ในดินแดนเบื้องล่างย่อมไม่เข้าใจว่าคำทั้งหกนี้สำคัญยังไง
แต่ในดินแดนอมตะ วังเทพเสื่อมโทรมนั้นคือขุมกำลังที่ทรงพลังอย่างยิ่ง และมีรากฐานอันไร้ขีดจำกัด
ล่ำลือกันว่าเชื้อสายของพวกเขาคือหนึ่งในต้นกำเนิดการบ่มเพาะวิถีมารของดินแดนอมตะที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ
บุตรเทพเสื่อมโทรมเองก็เป็นหนึ่งในอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดของวังเทพเสื่อมโทรมในยุคนี้ คำพูดของเขาจึงไม่ใช่แค่การโอ้อวด
บนสิบทวีปของดินแดนเบื้องล่างนี้ แทบไม่มีอัจฉริยะคนไหนที่กล้าหาเรื่องบุตรเทพเสื่อมโทรมเลย
“ขอรับ พวกเราจะไปรีบจัดการเดี๋ยวนี้”
คนจากสามกองกำลังยอมจำนน ขณะที่ทั้งตัวเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็น
เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มที่มาจากดินแดนอมตะผู้นี้ต้องมีสถานะที่น่าตื่นตะลึง และมีความแข็งแกร่งสูงกว่าอัจฉริยะทั่วไปในดินแดนเบื้องล่างอย่างมหาศาล
หลังจากที่คนของสามกองกำลังจากไป
บุตรเทพเสื่อมโทรมก็เอนหลังพิงกับบัลลังก์กระดูก แล้วพึมพำกับตัวเอง “ในอดีต วิชามารกลืนเทพของบรรพชนทุนเทียนหมัวสร้างหายนะไปทั่วดินแดนอมตะ สุดท้าย บรรพชนทุนเทียนหมัวก็ถูกล้อมสังหาร เขาบาดเจ็บสาหัสจนใกล้ตาย แล้วก็หายตัวไปพร้อมกับวิชามารกลืนเทพในที่สุด”
“ข้าเคยคิดว่าวิชามารกลืนเทพจะสูญสิ้นไปแล้วซะอีก แต่พอมาคิดๆ ดู บรรพชนทุนเทียนหมัวก็คงไม่อยากให้วิชามารของตัวเองถูกตัดขาดอยู่เหมือนกัน เขาเลยลากสังขารตัวเองลงมาที่ดินแดนเบื้องล่างในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต จากนั้นก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ แล้วทิ้งมรดกเอาไว้”
“ด้วยพรสวรรค์ของข้า หากข้าได้วิชามารกลืนเทพมาครอบครอง ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์แห่งดินแดนอมตะจะต้องตกเป็นของข้า บุตรเทพเสื่อมโทรมผู้นี้!”
บุตรเทพเสื่อมโทรมหัวเราะ
ทุกอย่างอยู่ในกำมือของเขาแล้ว
ในทวีปแห่งสรรพสิ่ง คนจากดินแดนอมตะที่ลงมาดินแดนเบื้องล่าง ไม่มีใครกล้ามีเรื่องกับเขา บุตรเทพเสื่อมโทรม แม้แต่คนเดียว
หลังจากนั้นไม่กี่วัน กองทัพที่มีสามกองกำลังหลักเป็นผู้นำก็มุ่งหน้าสู่วิหารมารศึกอย่างเอิกเกริก
ระหว่างทาง มีอัจฉริยะจากดินแดนอมตะบางคนที่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ พวกเขาจึงเข้ามาซักถามโดยอาศัยว่าตัวเองมาจากดินแดนอมตะ
แต่เมื่อได้ยินคำว่า วังเทพเสื่อมโทรมและบุตรเทพเสื่อมโทรม อัจฉริยะพวกนี้ก็รีบถอยด้วยความกลัวบนใบหน้า และไม่กล้าหาเรื่องใส่ตัว
นี่ทำให้ผู้บ่มเพาะจากสามกองกำลังหลักเข้าใจในสถานะของบุตรเทพเสื่อมโทรมอย่างชัดเจน
ในทวีปแห่งสรรพสิ่งนี้ ไม่มีใครกล้าท้าทายอำนาจของบุตรเทพเสื่อมโทรมเลย
มันทำให้ผู้บ่มเพาะของสามกองกำลังหลักมั่นใจมากขึ้น
เกาะขาใหญ่นี้ให้แน่นอาจเป็นโอกาสก็ได้
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ กองทัพพันธมิตรที่นำโดยสามกองกำลังหลักเคลื่อนทัพได้อย่างราบรื่นไม่มีปัญหา และเปิดฉากโจมตีวิหารมารศึกโดยไม่ทันตั้งตัว
วิหารมารศึก ในฐานะที่เป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปแห่งสรรพสิ่ง แม้จะถูกโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัว แต่ก็ลุกขึ้นโต้กลับได้
“มอบตัวผู้สืบทอดวิชามารกลืนเทพมา ไม่งั้น พวกข้าจะทำลายวิหารมารศึกของเจ้า!”
“บุตรเทพเสื่อมโทรมจากวังเทพเสื่อมโทรมจากดินแดนอมตะได้กล่าวเอาไว้แล้ว ถ้าพวกเจ้ามอบตัวผู้สืบทอดวิชามารกลืนเทพมาแต่โดยดี พวกเจ้าอาจได้รับการไว้ชีวิต!”
ไฟสงครามกำลังลุกโชน ควันดำตลบอบอวลในทุกที่ ขณะที่ยอดฝีมือของสามกองกำลังกำลังร้องคำราม
“ไอ้พวกระยำ อยากให้วิหารมารศึกของพวกข้ายอมแพ้เรอะ ฝันไปเถอะ!” ยอดฝีมือของวิหารมารศึกตะโกนอย่างเย็นชา
ในความโกลาหลวุ่นวายนี้ มีชายหนุ่มสวมเกราะสีดำคนหนึ่งกำลังนำทางให้กับเด็กสาวตาบอดและยอดฝีมือบางคนของวิหารมารศึก มุ่งหน้าสู่ภูเขาด้านหลังวิหารมารศึก
เด็กสาวตาบอดสวมชุดกระโปรงสีดำแนบเนื้อ เผยให้เห็นรูปร่างที่ผอมเพรียว ใบหน้างดงาม ผิวขาวกระจ่าง และเส้นผมที่โปรยลงบนบ่า
สิ่งที่พิเศษที่สุดบนตัวนางก็คือดวงตา
เนื่องจากนางตาบอด ดวงตาของนางจึงถูกปิดเอาไว้ด้วยผ้าแพรสีดำ
“ท่านพี่ ท่านหนีไปเถอะ ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับข้าหรอก” เด็กสาวตาบอดเอ่ยขึ้น
“ชิงหยิ่ง อย่าพูดอะไรโง่ๆ พี่จะพาเจ้าหนีไปด้วย สักวัน พี่จะทำให้พวกมันทั้งสามและบุตรเทพเสื่อมโทรมนั่นต้องชดใช้อย่างสาสม!”
ชายหนุ่มสวมเกราะดำพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง และแฝงไปด้วยความโกรธแค้น
ดวงตาของเขาสีดำสนิท ราวกับหลุมดำอันน่าหวาดผวา!
ชายหนุ่มคนนี้ก็คือผู้สืบทอดวิชามารกลืนเทพ!
แต่ตอนนั้นเอง จู่ๆ ก็มีร่างเงาจำนวนมากปรากฏตัวบนท้องฟ้าเบื้องหน้า
ชายหนุ่มราศีจับสามคนยืนอยู่ด้านหน้าสุด พวกเขาแผ่กลิ่นอายที่แข็งแกร่งออกมา
“ศิษย์เอกน้ำพุเหลือง อสูรคลั่งโลหิต ทายาทอสูรฟ้า...”
ชายหนุ่มสวมเกราะดำกวาดสายตามองบนท้องฟ้า สีหน้าของเขาเย็นชาไร้อารมณ์