บทที่ 67 เจ้าต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ตลอดไปหรือไม่?
หลังจากสงบสติอารมณ์ หยวนเซียวก็เช็ดโลหิตที่มุมปากของเขา พร้อมกับคำนับด้วยความเคารพและหวั่นเกรง
“คำสอนของตี้ฟู่ในวันนี้เปรียบเสมือนสายฟ้าที่ฟาดลงมาจนทำให้ข้าตื่นขึ้นได้!”
"ปรากฏว่าวิถีกระบี่ เป้าหมายของมันไม่ใช่พลังแห่งการครอบงำ แต่เป็นการแสวงหาที่ไม่โอ้อวดและสง่างามเหมือนกับของตี้ฟู่!"
ผู้นำนิกายกระบี่ที่ติดตามเขามา ก็พยักหน้าเงียบ ๆ
การเคลื่อนไหวทั้งสามของ ตี้ฟู่ เมื่อครู่นี้สามารถตีความวิถีกระบี่ที่เรียบง่ายและแสดงให้เห็นความจริงได้อย่างสมบูรณ์แบบ
หลินซวน ส่ายหน้า: "สิ่งที่เจ้าเห็นยังเป็นเพียงส่วนหนึ่งของวิถีกระบี่"
“วิถีกระบี่ เจ้าสามารถไล่ตามด้วยอำนาจแห่งครอบงำ หรือเจ้าสามารถไล่ตามด้วยความเรียบง่ายได้เช่นกัน”
“แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเต๋า ไม่ใช่กระบี่ แม้นว่าปราณกระบี่จะยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ไม่แข็งแกร่งไปกว่าหัวใจกระบี่ชั่วนิรันดร์”
“หลังจากที่เจ้าปรับจิตใจของเจ้าได้แล้ว ทุกอย่างก็สามารถเป็นกระบี่ได้ และแม้แต่ปราณกระบี่ทั้งหมดก็สามารถเปลี่ยนเป็นกระบี่ปราณได้เช่นกัน!”
หลังจากที่เขาเอ่ยคำเหล่านั้นออกไป ก็ทำให้ทุกคนที่อยู่รอบ ๆ กลายเป็นเงียบงัน.
ทุกสิ่งสามารถเป็นกระบี่ได้!
ปราณวิญญาณก็เป็นกระบี่ได้!
ประโยชน์สั้น ๆ ที่ราวกับว่าทำให้พวกเขาตระหนักรู้ ตื่นขึ้นจากฝัน.
“ปรากฎว่าวิถีกระบี่ยังสามารถเข้าใจได้ด้วยวิธีนี้!”
“คำพูดของตี้ฟู่ ช่างทำให้ข้าตื่นจากฝันได้จริง ๆ!”
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่ท่านอาจารย์กวนเอ่ยว่าเมื่อจักรพรรดิอยู่ที่นั่น ความจริงของวิถีกระบี่ก็อยู่ที่นั่นด้วย นี่เป็นคำกล่าวที่ถูกต้องจริง ๆ!”
หลังจากที่ตั้งสติเพ่งพิศคิดตาม ทุกคนก็ยิ่งเต็มไปด้วยความประหลาดใจ.
คำพูดของหลินซวนประกอบด้วยปรัชญาอันลึกซึ้ง สำหรับทุกคนแล้ว มันเป็นภูมิปัญญาที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง!
หลินซานที่กวาดตามองการแสดงออกของทุกคน อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าและเผยยิ้มเล็กน้อย.
ไม่คาดคิดว่าการใช้ประโยชน์จากสองสามประโยคในทักษะกระบี่อู๋จี้ จะทำให้ผู้คนชื่นชมได้มากขนาดนี้.
ดูเหมือนว่าระบบจะปฏิบัติต่อเขาดีจริง ๆ ทำให้เขาได้กลายเป็นพ่อที่โดดเด่นต่อหน้าลูก ๆได้.
“นับเป็นพรไปชั่วสามอายุคนที่สามารถได้รับคำสอนจากตี้ฟู่!”
ในที่สุดใบหน้าของหยวนเซียวก็แสดงความดีใจ
เขาเอ่ยด้วยความมั่นใจว่าตราบใดที่เขาเข้าใจคำพูดของตี้ฟู่และซึมซับมันได้สำเร็จ.
ในอนาคต เขาจะสามารถทำลายพันธนาการและก้าวไปสู่อาณาจักรวิถีกระบี่สูงขึ้นไปได้อีก.
“ฮิฮิ เสด็จพ่อไม่เพียงแต่เป็นครูให้เราได้เท่านั้น แต่ยังเป็นครูของหลาย ๆ คนได้ด้วย!”
เมื่อเห็นว่าคำพูดของ หลินซวน ทำให้ทุกคนตื่นรู้ เสวียนจู่ ก็กอดแขน หลินซวน อย่างมีความสุขด้วยใบหน้าที่ภาคภูมิใจ
“ใช่ ข้าภูมิใจมากที่ได้อยู่กับเสด็จพ่อ!”
เสวียนซีเผยลักยิ้มเล็ก ๆ น่ารักสองอันบนใบหน้าของนาง แล้วเชิดคางขึ้น แล้วกอดแขนของหลินซวนไว้
เสวียนหานและเสวียนหยูก็รวมตัวกัน พร้อมกอดหลินซวนด้วย
เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ทั้งสี่เผยแววตาที่ภาคภูมิใจอย่างยิ่ง
มันเหมือนกับการเอ่ยว่า "ดูสิ นี่คือเสด็จพ่อของพวกเรานะ!"
ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ ต่างก็รู้สึกขบขันกับสาวน้อยทั้งสี่คนเป็นอย่างมาก.
แต่หากคิดให้ดี หากเป็นพวกเขาเองที่มีบิดายอดเยี่ยมเช่นนี้ พวกเขาก็คงภาคภูมิใจมากเช่นกัน.
หยวนเซียว ที่หันมากล่าวกับกวนโหยวหยุน:
“น้องชาย ข้าหูหนวกตาบอดมานานหลายปีแล้ว หากไม่มีคำแนะนำจากตี้ฟู่ เกรงว่าวิถีกระบี่ของข้าก็คงหลุดออกจากเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว!”
“ข้าคิดได้แล้ว ในอดีตการที่ข้าออกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งจุดเริ่มต้นไป ได้ทำให้เจ้าและอาจารย์เจ็บปวดอย่างมาก หากเจ้าไม่ถือสา ข้ายินดีที่จะเป็นผู้พิทักษ์แดนศักดิ์สิทธิ์แห่งจุดเริ่มต้นตลอดไป”
"นี่ไม่ใช่แค่การลงโทษตัวเองเท่านั้น แต่ยังเป็นการกลับใจจากความผิดพลาดที่ข้าทำในอดีต!"
ใบหน้าของกวนโหยวหยุนมีความสุขเมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว เขาส่ายหน้าแล้วเอ่ยออกมาว่า:
“พี่ชาย ไม่ถือว่าเป็นคนนอก จริง ๆ แล้ว ทั้งอาจารย์และข้า ไม่เคยตำหนิท่านเลย”
“ในเมื่อพี่ชายต้องการอยู่ ก็อยู่ได้!”
"ขอบคุณ!"
หยวนเซียวก้าวเข้ามาพร้อมกับโค้งคำนับหลินซวน จากนั้นจึงโค้งคำนับกวนโหยวหยุน
เมื่อเห็นว่าการเดินทางมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์มาถึงบทสรุปเรียบร้อยแล้ว หลินซวนก็ไม่มีความตั้งใจที่จะอยู่ต่อไปอีก ด้วยเหตุนี้เขาจึงจากมาพร้อมกับ มู่โหยวชิงและบุตรสาวทันที.
“น้อมส่งตี้ฟู่!”
หลังจากแสดงความยินดีอำลา ทุกคนก็เงยหน้าขึ้นและพบว่าหลินซวนและคนอื่น ๆ จากไปแล้ว
ภายใต้แสงตะวันสาดส่อง.
บุรุษในชุดสีขาว ที่สง่างาม ลักษณะรูปลักษณ์ห้าวหาญไร้ที่เปรียบ ไม่ว่าใครเห็นก็อดชื่นชมออกมาไม่ได้.
.....
ภายนอกพระราชวังหยก
ตงหวงจื่อโหยว สวมเสื้อคลุมสีม่วงทอง ดูงดงามน่าหลงใหลราวกับดอกกุหลาบสีม่วง
แสงสีทองจาง ๆ ของดวงตะวันส่องผ่านร่างกายของนาง ดูงดงามราวกับนางในฝัน.
“ฝ่าบาท!”
ก่อนเข้าประตู ตงหวงเต๋อเย่ได้เอ่ยทักทายนางด้วยความเคารพ
ตงหวงจื่อโหยว เหลือบมองการ์ดเชิญในมือของเขาแล้วเอ่ยเบา ๆ : "พรุ่งนี้เป็นวันเกิดของหวางเฟยใช่ไหม?"
หวางเฟย,นางสนมของตงหวงเต๋อเย่ เป็นคนที่คอยช่วยตงหวงจื่อโหย่วเลี้ยงดูบุตรสาวเมื่อสองปีที่แล้ว ดังนั้นตงหวงจื่อโหย่วจึงจำวันเกิดของนางได้เสมอ
ตงหวง เต๋อเย่ พยักหน้าด้วยท่าทีเคารพ"พ่ะย่ะคะ วันนี้ข้ามาที่นี่เพื่อส่งคำเชิญ"
เขารู้สึกซาบซึ้งมาก.
พรุ่งนี้เป็นวันเกิดครบรอบ 30 ปีของหวางเฟยของเขา เขาเองก็ไม่คาดหวังว่าตงหวงจื่อโหยวจะจำมันได้เช่นกัน.
เมื่อเอ่ยถึงตัวตนของ ตงหวงจื่อโหยว ที่ทั้งแข็งแกร่งและเย็นชาก็นับเป็นเรื่องปรกติ
ทว่านางกับปฏิบัติต่อเหล่าญาติพี่น้องเป็นอย่างดีมาโดยตลอด.
ไม่เช่นนั้นด้วยตารางงานที่ยุ่งของนาง นางจะจำวันเกิดของหวางเฟยได้อย่างไร?
ตงหวงจื่อโหยว พยักหน้าเล็กน้อย: "ข้าได้สั่งให้คนเตรียมของขวัญล้ำค่าไว้แล้ว ซึ่งจะจัดส่งไปที่บ้านของเจ้า"
"ขอบพระทัยฝ่าบาท!" ตงหวงเต๋อเย่รีบทำความเคารพขอบคุณทันที.
ตงหวงจื่อโหยวได้เอ่ยต่อว่า นางไม่มีเวลาไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิด นางจึงสั่งคนนำของขวัญไปมอบให้แทน.
อย่างไรก็ตาม การได้รับของขวัญที่ตงหวงจื่อโหยว เตรียมไว้ให้เป็นการส่วนตัว ย่อมถือเป็นเกียรติยศอันยิ่งใหญ่สำหรับตงหวงเต๋อเย่แล้ว
ตงหวงจื่อโหยว พยักหน้าและเดินเข้าไปในประตูพระราชวังหยกพร้อมกับตงหวง เต๋อเย่
หลังจากเข้าไปในประตู ตงหวงจื่อโหยวก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตะลึง!
ด้วยเหตุผลบางอย่าง นางราวกับรู้สึกว่านางต้องการไปยังพระราชวังหยกทุกครั้งที่นางมีเวลา.
เมื่อทั้งสองมาถึงสวนหน้าห้องนอน ก็เห็นเด็กน้อยสี่คนเล่นอยู่ที่นั่น
และในเวลานี้ หลินซวน ก็กำลังตั้งสมาธิทำว่าวอยู่.
“ตี้ฟู่ช่างน่าชื่นชม สามารถทำว่าวได้ด้วย ช่างมีความสามารถรอบด้าน!”ตงหวงเต๋อเย่อดไม่ได้ที่จะกล่าวชมเสียงต่ำ.
การแสดงออกของตงหวงจื่อโหยวยังคงสงบ แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาวเช่นกัน: "เขาเป็นคนชอบเล่นสนุกจริง ๆ!"
ตงหวงเต๋อเย่ไม่สังเกตท่าทางตงหวงจี่อโหยวแต่อย่างใด เขาก้าวไปข้างหน้าและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม: "ตี้ฟู่!"
หลินซวนเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาจับจ้องออกไป จากนั้นก็พบใบหน้าที่เย็นชาของตงหวงจื่อโหยว จากนั้นก็หันหน้ากลับมามองตงหวงเต๋อเย่ "เจ้ามาทำอะไรที่นี่รึ?"
“ใช่แล้ว พรุ่งนี้เป็นวันเกิดของหวางเฟยที่รักของข้า ฝ่าบาทยุ่งกับเรื่องการเมือง ข้าจึงอยากเชิญท่านและธิดาไปร่วมงานเลี้ยง” ตงหวงเต๋อรีบส่งคำเชิญออกไป
“ตกลง ข้าจะไปที่นั่น!” หลังจากที่ตอบรับแล้ว หลินซวนก็ก้มศีรษะลงและยุ่งอยู่กับการทำว่าวต่อไป
ตงหวงเต๋อเย่ คิดว่าทั้งคู่คงมีเรื่องจะพูดคุยกันมากมาย ดังนั้นจึงตัดสินใจเร่งรีบจากไป.
ตงหวงจื่อโหยวจ้องไปที่หลินซวนเป็นเวลานาน เมื่อเห็นว่าหลินซวนไม่เงยหน้าขึ้นมาเลย นางก็อดไม่ได้ที่จะหายใจเข้าลึก และมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
เป็นเช่นนี้เสียทุกครั้งเลย! บุรุษผู้นี้ไม่คิดจะก้าวหน้าเลยรึอย่างไร หัวใจของนางรู้สึกเศร้าใจนัก.
ตงหวงจื่อโหยว ขบฟันของนางเบา ๆ แล้วเอ่ยออกมาว่า "หลินซวน เจ้าอยากมีชีวิตอยู่ตลอดไปไหม"
นางอยู่ในอาณาจักรจักรพรรดิ ถ้าไม่มีปัญหาอะไร อายุขัยของนาง อย่างน้อยก็คือ สองถึงสามพันปี.
พรสวรรค์ของธิดาทั้งสี่ล้วนเองก็ล้วนแต่ไม่ธรรมดา นางมั่นใจว่าเมื่อนางฝึกฝนยกระดับย่อมก้าวไปถึงขอบเขตจักรพรรดิในอนาคตได้เช่นกัน.
ดังนั้นปัญหาเดียวในตอนนี้ คือหลินซวน
ในครอบครัวหกคน มีเพียงเขาเท่านั้นที่เป็นมนุษย์ที่มีอายุขัยหนึ่งร้อยปี.
แม้ว่า หลินซวน ทำให้นางไม่พอใจในหลาย ๆ อย่าง แต่ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ยังเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดเหล่าลูก ๆ และนางก็หวังว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ตลอดไป
หลินซวน พยักหน้าโดยไม่ต้องคิด "แน่นอน ข้าย่อมปรารถนา!"
ใครบ้างจะไม่อยากมีชีวิตอยู่ตลอดไป?
นับว่าโชคดี หลินซวนเองก็มีฐานบ่มเพาะขอบเขตจักรพรรดิอยู่แล้ว การมีชีวิตหลายพันปีก็ไม่มีปัญหา.
“อย่างน้อยบุรุษคนนี้ก็ยังมีเรื่องที่สนใจให้ไล่ตาม!”
ตงหวงจื่อโหยวเราวกับว่าได้ค้นพบดินแดนใหม่ขึ้นมาทันที นางที่เผยยิ้มงามออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ.
ด้วยการสะบัดนิ้วหยกเรียวเล็ก คัมภีร์และยาเม็ดที่ห่อหุ้มด้วยแสงสีทองก็ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า
"นี่คือวิชาบ่มเพาะ ‘พระสูตรอายุยืน’ ซึ่งเป็นทักษะสวรรค์ขั้นสูง และนี่คือเม็ดยาเทียนเจี่ยระดับสวรรค์ขั้นสูงด้วย "
“เจ้าสามารถเพิ่มอายุขัยของเจ้าได้ โดยรับประทานยานี้พร้อมกับบ่มเพาะไปพร้อม ๆ กัน”
“ภายในห้าปี เจ้าสามารถเพิ่มอายุขัยได้สามถึงห้าร้อยปีอย่างแน่นอน”
หลินซวน กำลังยุ่งอยู่กับการทำว่าว จึงไม่ได้สนใจฟังสิ่งที่ตงหวงจื่อโหยวเอ่ย.
เมื่อว่าวเสร็จพร้อมแล้ว เขาก็เงยหน้าขึ้นมา พร้อมกับเผยยิ้มออกมาเล็กน้อย: "เมื่อกี้เจ้าพูดอะไรนะ?"
ตงหวงจื่อโหยว: "..."