ตอนที่แล้วบทที่ 55: การไต่สวนยามค่ำคืน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 57 ลาก่อน การต่อสู้

บทที่ 56 กลับสู่โลกทรานส์ฟอร์เมอร์ส


บทที่ 56 กลับสู่โลกทรานส์ฟอร์เมอร์ส

เนื่องจากที่นี่ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำแยงซี ลมที่พัดมากจากแม่น้ำจึงพัดพาความชื้นบางส่วนในช่วงกลางเดือนเมษายนเข้ามาในเมืองทางตอนใต้ แม้กระทั่งยามกลางคืน อากาศก็ยังคงมีความหนาวเย็นอยู่มาก

หลังจากจัดการกับชายผมสีทองคนนั้นและถอนหายใจด้วยความโล่งอก ซุนเฉิงก็ยืนยันความสงสัยบางอย่างของเขาได้ ปรากฏว่าเสี่ยวหงกำลังวางแผนจัดการเขาอยู่จริง ๆ แถมเบาะแสคำพูดของหลิวคุนตอนท้ายยังชวนน่าสงสัยอีก

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้เขาสงสัยมากที่สุด เพราะซุนเฉิงไม่เคยเล่าเรื่องของเขาให้ใครฟังเลย  แต่เห็นได้ชัดว่าไอ้สองคนนี้วางแผนกันก่อนที่จะเล่นงานเขาเสียอีก

หลิวคุนอาศัยอยู่หอพักเดียวกับเขามานานหลายปี เขาย่อมรู้ดีว่าครอบครัวที่รับเขาเป็นบุตรบุญธรรมนั้นจัดเป็นชนชั้นกลางเท่านั้น พวกเขาไม่มีอะไรที่ทำให้เสี่ยวหงต้องพยายามวางกับดักมากมายขนาดนี้เลย...

"เดี๋ยวก่อน...มันอาจจะเป็น..."

ซุนเฉิงคิดคำตอบเรื่องนี้อยู่ตลอดทาง และทันใดนั้น บางอย่างก็แล่นเข้ามาในหัวของเขา เขายืนนิ่งไป และความโกรธที่ไม่อาจควบคุมได้ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

"...นี่เป็นไปได้เพียงทางเดียว...ถ้าเป็นหลิวคุน มันคงรู้จริง ๆ ...ไอ้สารเลวเอ๊ย..."

พอเขาลองรวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่กระจัดกระจายเข้าด้วยกัน และรู้ว่าหลิวคุนน่าจะไปกู้เงินจากกลุ่ม "กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา" ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นกลุ่มแก๊งเงินกู้ในมหาวิทยาลัยที่มีดอกเบี้ยสูง หลิวคุนน่าจะจมดิ่งลงไปเรื่อย ๆ กับหนี้สิน และเมื่อเขาไม่สามารถที่จ่ายเงินคืนได้  เขาจึงมีความคิดชั่วร้ายและหันไปเล่นคนรอบตัวแทน

กองไฟแห่งความโกรธแค้นในใจของเขายิ่งลุกโชนมากขึ้นเรื่อย ๆ ซุนเฉิงแทบจะระงับความต้องการปรารถนาที่จะกระทืบหลิวคุนไว้ไม่อยู่

ลมแม่น้ำพัดมาปะทะหน้าทำให้ซุนเฉิงตัวสั่น ขณะที่เขายืนสูทคลุมเสื้อนอกออก เขาฟื้นคืนสติและเดินกลับไปที่หอพักต่อไป

เพราะกลัวว่าจะไปเจอกับเสี่ยวหงและพรรคพวกที่มาหาเขา เพราะได้รับการรายงานจากชายผมทอง พอออกจากสวนสาธารณะแล้ว ซุนเฉิงจึงแวะไปอีกทางหนึ่ง

เขาเดินมาถึงตรอกซอกซอยที่คุ้นเคยในไม่ช้า แต่กลับพบว่าไฟในตรอกดับหมด ซุนเฉิงถึงกับหยุดชะงักไป

"ไฟดับเหรอ?"

แม้ว่าตรอกนี้จะไม่ยาวนัก แต่มันเป็นทางลัดสำหรับเขาใช้กลับไปมหาวิทยาลัย เมื่อเดินผ่านไปแล้ว มันจะเหลือระยะทางเพียงไม่กี่ร้อยเมตรจากประตูมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีใต้เท่านั้น ถ้าใช้อีกทาง เขาจะต้องเดินอีกอย่างน้อยสามกิโลเมตร

คนทั่วไปไม่ชอบเดินในที่มืดตอนกลางคืน แต่หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซุนเฉิงก็ไม่ต้องการที่ะใช้ทางอ้อม  ดังนั้นเขาจึงก้าวเข้าไปในตรอก

ตอนกลางคืนในตรอกนั้นเงียบสงัดมาก

ไฟดับทำให้ทุกอย่างมืดมิด คนที่เดินในตรอกย่อมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจกัน

ซึ่งหลังจากเดินไปได้สักพัก ซุนเฉิงเห็นคนหลายคนเดินมาจากอีกด้านของตรอก เขาโล่งใจเล็กน้อยที่เห็นพวกเขา เพราะเขาไม่ได้อยู่คนเดียวอีกต่อไปแล้ว

"เฮ้ย มันคือซุนเฉิง ช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ !"

ทันใดนั้น เสียงทักทายที่ไม่เป็นมิตรก็ดังขึ้นมาจากกลุ่มคนพวกนัน้ แม้ว่าตรอกจะมืด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าซุนเฉิงจะตาบอดและจำคนที่เดินมาหาเขาไม่ได้

สายตาของเขาอยู่บนใบหน้าของชายหนุ่มผู้เดินนำเข้ามา เพียงพริบตาเดียว หัวใจของเขาคล้ายจมดิ่งลงไปยังห้วงหุบเหว "เป็นพวกแกเองเหรอ!"

ชายหนุ่มคนนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก เสี่ยวหง ที่เคยมาทวงหนี้เขาครั้งก่อน

"ซุนเฉิง ดึกดื่นขนาดนี้ไปไหนมางั้นเหรอ?"

เสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังขึ้น ขณะที่เสี่ยวหงคาบบุหรี่ไว้ในปาก มองมาที่เขาด้วยรอยยิ้มและระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

"บ้าเอ๊ย!"

ซุนเฉิงสบถอยู่ในใจ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะโชคร้ายขนาดที่จะเจอคนพวกนี้ เขาตั้งใจใช้ทางอ้อมเพื่อหลีกเลี่ยงการเจอกับพวกเขา แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าความระมัดระวังของเขาจะกลายเป็นการเสียเปล่าขนาดนี้

เสี่ยวหงกวักมือ ชายหนุ่มสี่คนที่มาด้วยกับเขาก็รุมล้อมซุนเฉิงทันที

"ฉันสงสัยอยู่นะว่าทำไมอาหม่าถึงไม่ส่งข้อความมาหาฉันมันนานขนาดนั้น แกเจ้าเล่ห์ไม่เบาเลยว่าไหม?  แกถึงกับหนีเขาไปได้อีก..."

ทันทีที่ซุนเฉิงเห็นว่าตัวเองติดกับและหนีไม่ได้ เสี่ยวหงจึงจุดบุหรี่ให้ตัวเองอย่างภูมิใจ  "ทำไมไม่วิ่งหนีไปล่ะ?"

"ฉันคิดอยู่อย่างนะ ด้วยนิสัยของแก แกจะหนีปัญหาได้นานแค่ไหนกัน...?"

เสียงอันตรายดังก้องอยู่ในหัวของเขา ซุนเฉิงกำหมัดแน่น พยายามวางตัวให้นิ่ง พร้อมกับกำลังจะเปลี่ยนถุงช้อปปิ้งที่ถืออยู่ในมือขวาไปมือซ้าย เขาเห็นชายหนุ่มสองคนที่มาด้วยกันกับ เสี่ยวหงเดินเข้ามาหาเขาอย่างระวัง  เขาจึงได้แต่ต้องละทิ้งแผนการที่จะเอาปืนช็อตไฟฟ้าออกจากเอวไว้ชั่วคราว

"แกหนีไปไหนไม่รอดหรอก ทำไมต้องแสร้งทำเป็นเก่งเหมือนหมาหนีหางจุกตูดกันเล่า..." เสี่ยวหงเยาะเย้ยเขา "แล้วคราวนี้แกยังจะทำอวดดีกับฉันอีกไหม?"

เขาถ่มก้นบุหรี่ที่อยู่ในปากออก มองไปที่ซุนเฉิงพร้อมกับยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ "วันนี้แกควรจะชำระหนี้ที่แกติดค้างฉันมา แต่เราต้องเปลี่ยนใบสัญญาใหม่ แกอยากเซ็นต์สัญญา 300,000 หรือ 500,000 หยวนดีล่ะ?"

หลังจากพูดจบ  เขากับชายหนุ่มที่มาด้วยกันก็ก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อมกัน และรุมล้อมซุนเฉิงไว้แน่น

ดูเหมือนไอ้นี่มันใจร้อนและพร้อมที่จะข่มขู่เขาโดยตรง กับดักมากมายที่มันวางไว้ก่อนหน้านี้ก็คงคิดจะนำพาเขามาถึงจุดนี้อยู่แล้ว อีกทั้งมันยังเอาคนมาล้อมรอบแบบนี้อีก คิดไม่ออกเลยว่าจะหนีออกไปยังไง

พอรู้ตัวว่าตัวเองไม่มีทางหนี ซุนเฉิงรีบขยับตัวไปด้านข้าง เอาหลังแนบติดกำแพง เขาเอื้อมมือไปหยิบปืนที่เอว รู้สึกมั่นใจขึ้นมาทันทีเมื่อกำปืนช็อตไฟฟ้าไว้ในมือ เขาเหลือบมองเสี่ยวหงอย่างเย็นชา แววตาเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าที่ไม่ปิดบัง  "ฉันอยากรู้ชะมัด ครอบครัวของแกมีภูมิหลังอะไรที่แกจะทำแบบนี้ได้โดยไม่คิดว่าตัวเองจะโดนฆ่าเอา..."

"อะไร แกคิดว่าแกฆ่าฉันได้เหรอ?" เสี่ยวหงยิ้มเยาะ เผยรอยยิ้มสดใสบนใบหน้า  "มีคนมากมายที่ฆ่าฉันได้ แต่แน่นอนว่าแกไม่ใช่คนหนึ่งในนั้นแน่!"

"วันนี้แกหนีไม่พ้นหรอก ซุนเฉิง แกมาเซ็นต์สัญญากู้ 500,000 หยวนซะดี ๆ !" เสี่ยวหงหัวเราะอย่างเย็นชา โบกมือสั่ง จากนั้นเขาก็เห็นชายหนุ่มข้าง ๆ ที่มีรอยสักแมงป่องบนแขน เอากระดาษพร้อมปากกาออกจากกระเป๋าเสื้อ เตรียมเขียนสัญญากู้ใต้แสงไฟโทรศัพท์

"แกเป็นหนี้ฉันแล้วยังกล้ามาแข็งข้อกับฉันอีก แกต้องเซ็นสัญญานี้ซะ ไม่ว่าแกจะต้องการหรือไม่ก็ต้องเซ็น!"

ดูเหมือนเขาจะพอใจกับสีหน้าของซุนเฉิงในตอนนี้มาก เสี่ยวหงหยิบบุหรี่อีกมวนออกจากกระเป๋าเสื้อ ยัดเข้าปากตัวเองอย่างเชื่องช้าพร้อมกับพูดว่า "พวกเราทุกคนเป็นคนเจริญแล้ว   ฉันไม่อยากใช้ความรุนแรงกับคนที่มีพรสวรรค์อย่างแก เซ็นต์สัญญากู้วันนี้ แค่เตรียมตัวใช้คืนฉันซะ ถ้าแกจ่ายไม่ได้ ครอบครัวแกก็ต้องจ่าย ถ้าพวกเขาหาเงินไม่ได้ แกก็ต้องขายบ้าน ขายไตของแก แม้แต่ตัวแกเองก็ต้องเอาไปใช้หนี้ฉัน..."

ขณะที่เขาพูด ใบหน้าของเขาก็ยิ่งดูดุร้ายและโหดเหี้ยมมากขึ้นเรื่อย ๆ แสดงให้เห็นว่าเขาน่าจะเคยทำการรังแกและขู่กรรโชกแบบนี้มาเยอะ

ระหว่างนั้น ขณะที่เขาคลำ ๆ ปืนช็อตไฟฟ้าในมือ ซุนเฉิงสูดหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนคลาย เขาวางตัวอย่างรอบคอบและคอยสังเกตการณ์โดยรอบตัว ในจังหวะนั้นเอง เขาก็เห็นคนสองคนที่อยู่ข้าง ๆ อีกฝ่ายกำลังส่งไฟแช็คกันไปมา ดูเหมือนพวกมันกำลังเผลอคลายความระวังลงไปเล็กน้อย

ซุนเฉิงจึงตัดสินใจฟาดกระเป๋าช้อปปิ้งในมือซ้ายไปที่ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ขวางทางเขา จากนั้นก็ชักปืนช็อตไฟฟ้าออกจากเอวอย่างรวดเร็ว และเล็งไปที่หน้าอกของเสี่ยวหง ยิงกระสุนไฟฟ้าใส่อย่างรวดเร็ว

"เวลาสู้กันต้องต่อยหน้าก่อน ส่วนเวลาจับโจรต้องจับหัวหน้าก่อน" แม้ว่าซุนเฉิงจะไม่เคยต่อสู้มากมาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีสามัญสำนึก เขารู้ว่าเขาไม่สามารถเอาชนะคนห้าคนด้วยการต่อสู้แบบปกติ ดังนั้นเขาต้องอาศัยโอกาสนี้หนีออกไป

การกำจัดเสี่ยวหงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว

เสียงปืนดังขึ้นเบา ๆ เสี่ยวหงไม่เคยคาดคิดเลยว่าซุนเฉิงจะเลือกต่อสู้ เขาถูกกระสุนไฟฟ้าช็อตเข้า ตัวเขาสั่นเทิ้ม เขาส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด จากนั้นก็เกร็งตัวและล้มลงไปกับพื้น

ซุนเฉิงเตะชายสักลายที่กำลังเขียนสัญญากู้จนกระเด็นออกไป ฉวยโอกาสที่พวกมันเผลอ รีบวิ่งฝ่าวงล้อมออกไปแล้ววิ่งไปทางปลายซอยอีกด้าน

"หยุดมันไว้!"

ซุนเฉิงวิ่งไปได้แค่สามสี่เมตรเท่านั้น ชายหนุ่มที่เขาฟาดกระเป๋าช็อปปิ้งใส่จมูกก็วิ่งตามเขามา อีกฝ่ายเช็ดน้ำตาออกแล้วตะโกนด้วยความโกรธ อีกสามคนก็ตอบสนองทันที หนึ่งในนั้นวิ่งเข้าไปหาเสี่ยวหงที่กำลังเกร็งตัว ในขณะที่อีกสามคนวิ่งไล่ตามซุนเฉิง

พอเห็นหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธของพวกมัน ซุนเฉิงยิ่งกลัวว่าถ้าพวกมันตามเขาทัน เขาคงจะโดนกระทืบยับ

"อีกนิดเดียว อีกนิดเดียว..."

แสงไฟปลายซอยเริ่มสว่างขึ้น  ซุนเฉิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ พูดกับตัวเองในใจให้วิ่งเร็วขึ้น

แต่ความเร็วของเขานั้นช้ากว่าพวกอันธพาลที่มักต่อสู้และปล้นคนตามบนถนนมาหลายปีอย่างมาก  เขาได้ยินเสียงตะโกนด้วยความโกรธและคำขู่ต่าง ๆ ของพวกมันดังเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ทันใดนั้น ซุนเฉิงเหมือนได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากด้านหลัง

แม้ว่าเขาจะรู้ได้อย่างรวดเร็วว่ามันดูเหมือนมีบางอย่างเกิดขึ้นในตรอกด้านหลังเขา แต่ด้วยความระมัดระวัง ซุนเฉิงจึงไม่หยุดวิ่งจนกระทั่งถึงปากซอย ขณะที่กำลังจะเลี้ยว  เขาเหลือบมองด้านหลังอย่างรวดเร็ว

มันเลือนรางมาก เขาเหมือนเห็นคนอีกคนหนึ่งอยู่ในตรอก แต่เพราะวินาทีต่อมา เขารีบวิ่งออกจากตรอกไปแล้ว จึงมองไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นอีกต่อไป

ซุนเฉิงไม่รู้ว่าในขณะที่เขากำลังวิ่งหนีเอาชีวิตรอดนั้น  จู่ ๆ ก็ได้มีร่างเล็กบอบบางกระโดดลงมาจากชั้นสองของอาคารข้างตรอกด้านหลังเขา ภายในความมืด เธอโยนมีดออกไปอย่างไม่ใส่ใจนัก มันแทงเข้าไปที่ต้นขาของอันธพาลที่อยู่ห่างจากเธอไม่ถึงเมตร

เสียงกรีดร้องดังขึ้น พวกที่ไล่ตามหยุดชะงัก ชายหนุ่มที่ถูกแทงที่ขาเจ็บปวดจนหน้าตาบิดเบี้ยว เขาตะโกนใส่เพื่อนอีกสองคนทันทีว่า "มัวมองอะไรอยู่?  ไปจัดการมันสิ..."

พวกมันรู้ทันทีว่าคนที่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันนั้นคือผู้หญิง

"งั้นภารกิจของฉันครั้งนี้คือการกวาดล้างพวกอันธพาลและโจรเหรอ?"

ร่างเล็กบอบบางบ่นด้วยความไม่พอใจนัก เมื่อเห็นผู้ชายสองคนวิ่งกรูเข้ามาหาเธอ เธอไม่สนใจสักนิดเดียว

จนกระทั่งขณะที่หมัดหนึ่งกำลังจะต่อยเข้าที่แก้มของเธอ เธอก็ยกปลายเท้าที่แตะพื้นวาดเป็นรูปโค้ง มือของเธอนั้นรวดเร็วราวสายฟ้า มือข้างหนึ่งประคองหน้าอกของชายคนนั้น อีกมือหนึ่งจับกำปั้นที่เขาเหวี่ยงมาอย่างแน่นหนา จากนั้นแขนขวาของเธอก็ออกแรงกดอย่างรุนแรงและกระแทกเข้าที่ข้อต่อแขนของชายคนนั้นอย่างหนักหน่วง

"แกร๊ก!"

หลังจากเสียงกระดูกหักดังสนั่น  ใบหน้าของชายคนนั้นก็ซีดลงทันที  น้ำตาได้ไหลออกมาจากตาของเขามากมาย

"ไม่มีฝีมือซะจริง!"  เธอเอามือยกขึ้น ฟันศอกอย่างรุนแรงเข้าที่แขนของเขาอย่างแม่นยำ ทำให้เขาสลบไปในทันที

เห็นอีกคนวิ่งเข้ามาหาเธอ เธอหรี่ตาซ้ายลงเล็กน้อย รอยยิ้มได้ปรากฏที่มุมปากของเธอ

"ท่อนล่างของแกดูไม่มั่นคงเลยนะ..."

พอกล่าวจบ เธอก็รีบลดตัวลงอย่างกะทันหันและกวาดขาของอันธพาล  ทำให้เขาล้มลงไปกับพื้น

จากนั้นเธอก็เตะเขาเข้าที่หน้าอกอย่างรุนแรง แรงเตะอันมหาศาลได้ทำให้เขากระเด็นออกไปสี่ห้าเมตรทันที จนร่างเขาชนเข้ากับมุมกำแพงและหมดสติไป

"นี่มันน่าเบื่อจริง ๆ ..."  เธอเหลือบมองหลังของซุนเฉิง ซึ่งหายไปจากสายตาของเธอแล้ว จากนั้นเธอก็ยืดตัวอย่างขี้เกียจ เธอเดินไปหาอันธพาลที่หวาดกลัวจากการถูกแทงที่ขา ก่อนจะหยิบกล่องโลหะที่มีสัญลักษณ์สี่เหลี่ยมจัตุรัสคว่ำสามอันรวมกันเป็นกากบาทออกจากตัวเธอ จากนั้นเธอก็หยิบเข็มฉีดยาออกมาจากกล่องนั้นสองสามอัน

"วัตถุดิบค่อนข้างแย่ แต่ก็ยังพอใช้ได้..." เธอหยิบอันหนึ่งออกมา เดินอย่างเชื่องช้าไปหาอันธพาลที่ถูกแทงแล้วก็ยิ้ม  "จงเชื่อฟัง หลังจากฉีดยานี้ไปแล้ว แกจะไม่รู้สึกเจ็บปวดอีก..."

เสียงกรีดร้องดังขึ้น ในไม่ช้าทั้งตรอกก็เงียบสงัดไป

...

ซุนเฉิงจำไม่ได้ว่าเขาทำปืนช็อตไฟฟ้าหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ และจำแทบไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเขากลับไปที่หอพักตอนไหน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ เขามุ่งมั่นที่จะโจมตีเสี่ยวหงและพรรคพวกของมันก่อน  คิดกำจัดศัตรูตัวฉกาจของเขาให้หมดสิ้นในทีเดียว

แต่หลังจากผ่านไปสิบห้านาที ความจริงก็ได้สอนบทเรียนให้เขา และทำให้เขาเข้าใจว่าแผนการของเขามันทำไม่ได้จริง ปืนช็อตไฟฟ้าหายไป แถมลายนิ้วมือของเขาก็คงติดอยู่บนนั้นด้วย เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาโยนมันไปที่ไหน ส่วนเสี่ยวหง หลังจากวันนี้มันคงเอาจริงแน่

อาการหวาดกลัวเกิดขึ้นในใจ ทำให้จิตใจของเขาไม่สามารถสงบลงได้เลย ซุนเฉิงนั่งหงอยอยู่ในหอพักหน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์ คิดคำนวณอย่างบ้าคลั่งว่าเขาทำผิดพลาดไปกี่ครั้งแล้วในคืนนี้

จนกระทั่งเสียงเรียกเข้าที่คุ้นเคยดังขึ้น มันปลุกเขาให้ตื่นจากความวิตกกังวลและโทษตัวเอง

ซุนเฉิงหยิบโทรศัพท์มือถือระบบแอนดรอยด์จีนเครื่องใหม่ของเขาขึ้นมา และเพียงแค่เหลือบมองหมายเลขที่คุ้นเคยปรากฏบนโทรศัพท์ของเขา ดวงตาของเขาก็อดไม่ได้ที่จะเบิกโพลงออกมา

หลังจากลังเลอยู่สักพัก จนโทรศัพท์ดังไปเจ็ดแปดวินาที  ซุนเฉิงจึงตัดสินใจได้ เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ พยายามสงบอารมณ์ก่อนที่จะกดปุ่มรับสาย  "พี่สาว มีอะไรหรือเปล่า?"

วินาทีต่อมา เสียงผู้หญิงที่ดูอ่อนโยนก็ดังมาจากโทรศัพท์ มันคือเสียงของเย่ชิง ลูกสาวของครอบครัวที่รับเขามาเลี้ยงและเป็นพี่สาวคนปัจจุบันของเขา

"ว่าไง นี่อาเฉิงรับสายอยู่ใช่ไหม?  ฉันติดต่อนายไม่ได้มาสองวันแล้วนะ..."

"โทรศัพท์ของผมมันพังไปสองวันก่อนน่ะ เพิ่งเอาไปซ่อมเสร็จวันนี้เอง! ว่าแต่พี่มีอะไรหรือเปล่า?"  เสียงของเขาดูกังวลเล็กน้อย

"...ไม่มีเรื่องอะไรแล้วจะโทรหาไม่ได้เหรอ?"  เสียงตำหนิอันแผ่วเบาได้ดังขึ้นจากโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว และในไม่ช้า เสียงหัวเราะเบา ๆ ก็ดังตามมา  "ก็ได้ มันใกล้ถึงวันเกิดน้องแล้วไม่ใช่หรือไง?  พี่บังเอิญจะไปหนานตูเร็ว ๆ นี้เลย  น้องมารับพี่หน่อยได้ไหม?"

"พี่จะมาหนานตูเหรอ?"  หัวใจของซุนเฉิงคล้ายจมดิ่งลงไปในหุบเหวอีกครั้ง น้ำเสียงของเขาค่อนข้างหนักอึ้ง  "ช่วงนี้ผมค่อนข้างยุ่ง พี่ไม่ต้องมาหาผมตอนนี้หรอก ข้ามการฉลองวันเกิดปีนี้คงไม่เป็นไร..."

ก่อนที่อีกฝ่ายจะตอบอะไรกลับมา เขาก็รีบกล่าวเสริมออกไป  "อย่าเพิ่งมาหาผมช่วงนี้เลยนะ พอดีผมมีอะไรต้องทำเยอะแยะ งั้นผมขอวางสายก่อนนะ!"

หลังจากพูดจบ ซุนเฉิงก็วางหูโทรศัพท์อย่างรีบร้อนแล้วโยนมันลงบนโต๊ะ เขานั่งพิงเก้าอี้พลางหลับตาและขมวดคิ้ว ไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่

ไม่นานหลังจากนั้น โทรศัพท์ก็ดังขึ้น แต่ซุนเฉิงก็ไม่รับสาย

ไม่กี่นาทีต่อมา เสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้นอีก และซุนเฉิงก็ยังไม่รับสาย

จนกระทั่งเสียงเรียกเข้าดังเป็นครั้งที่สาม เขาก็ลุกขึ้นยืนอย่างหงุดหงิด รื้อค้นลิ้นชักและตู้ไปสักพัก และในที่สุดก็พบผลึกบางอย่างด้านหลังตู้

แค่ถือมันไว้ในมือ ความหงุดหงิดในใจของซุนเฉิงก็ค่อย ๆ หายไป

พอเหลือบมองโทรศัพท์ที่ดังขึ้นอีกครั้งบนโต๊ะ เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วกลับไปนั่งบนเก้าอี้เงียบ ๆ พร้อมกับหลับตาลง

วินาทีต่อมา เสียงหายใจสม่ำเสมอของเขาได้ดังเล็ดลอดออกมา เขามองไปที่ฝ่ามือ  ผลึกสีเทาได้หายไปหมดแล้ว

ติดตามผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay , ลงแบบโคตรถูกแค่ในMy-NovelและThai-novelเท่านั้น

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด