คนใหญ่คนโตเต็มไปหมด พวกเขามากันทำไม (อ่านฟรี 05/07/2567)
“นั่นมันทนายฉีนี่นา! ทนายชื่อดังประจำจังหวัดเลยนะ!!”
“ผู้หญิงคนนั้นใช่รองประธานสมาคมผู้คุ้มครองสิทธิประชาชนไหม ? ฉันเคยเห็นเธอในงานการกุศลอยู่นะ ตอนนี้มีคนใหญ่คนโตไปกันเต็มไปหมด”
“นั่นมัน......”
คนจำนวนสิบกว่าคนที่ลงมาจากรถหรูล้วนแล้วแต่เป็นตัวตนชั้นนำหรือผู้มีอิทธิพลในจังหวัดนี้กันทั้งนั้น ถึงจะไม่ได้ชื่อดังระดับมณทลหรือระดับประเทศ แต่ถ้าเป็นในระแวกนี้ก็ไม่มีใครกล้าหาเรื่องพวกเขาโดยไม่คิดแน่นอน
ซึ่งนั่นก็รวมถึงพวกตำรวจในระแวกนี้ด้วย...
“เฮ้ย! นั่นมันคุณหญิงฮวา! ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นตัวเป็น ๆ วันนี้” มีหญิงกลางคนหน้าตางดงามผู้หนึ่งเดินลงมาหลังสุด เมื่อเธอเดินลงรถมาก็มีบางคนจำได้และส่งเสียงออกมาทันที
“งดงามจริง ๆ ! เธอเป็นเหมือนนางฟ้าของหมู่บ้านของฉันเลยล่ะ” ชายหนุ่มคนหนึ่งกล่าวออกมาเสียงดัง เขานับถือหญิงสาวกลางคนผู้นี้เป็นอย่างมาก
เพราะนอกจากจะเป็นหญิงสาวที่ร่ำรวยเป็นอันดับต้น ๆ ของจังหวัดแล้ว เธอยังใจบุญเป็นอย่างมาก ทั้งบริจาคให้โรงพยาบาล โรงเรียน บ้านเด็กยากไร้ แถมยังทำโครงการการกุศลอีกมากมาย ทั้งยังแทบไม่มีข่าวลือเสียหายอะไรออกมาให้ได้ยินอีกด้วย
“จะว่าไป.. ทำไมคนใหญ่คนโตถึงมาที่สถานีกันหมดเลยล่ะ ? หรือมาเรื่องของเศรษฐีหนุ่มที่โดนจับตัวมา” มีบางคนตั้งข้อสังเกตขึ้นมา ทำให้หลาย ๆ คนอดคิดตามไม่ได้
“เอ.. หรือหญิงสาวตัวเล็กคนนั้นจะไม่ใช่คนธรรมดา ?”
“ฉันว่าใช่แน่ ๆ เพราะเธอมาพร้อมบอดี้การ์ดตั้งสิบกว่าคนนี่นา!”
“ฉันจำได้ว่า.. เธอเป็นคนจัดการเรื่องขอสถานที่จัดกิจกรรมจากห้างซานหมิงด้วย การจะขอสถานที่โดยไม่ทำเรื่องล่วงหน้าได้ เธอต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ ๆ” มีใครบางคนที่ดูเหมือนจะติดตามอยู่ตั้งแต่แรกกล่าวออกมา
“เรื่องในครั้งนี้... เหมือนจะไม่ใช่เรื่องเล็กแล้วล่ะ ลุยเลยพวกเรา ขว้างมัน!!” ชายหนุ่มคนหนึ่งกล่าวขึ้นพร้อมกับขว้างไข่ไก่ไปยังตำรวจที่ยืนอยู่อย่างแรง ไข่ไก่ของเขากระแทกใส่หัวตำรวจนายนั้นอย่างแรง
ถ้าไม่ติดว่าทั้งตัวของเขาสวมใส่เพียงเสื้อผ้าราคาถูกแต่ดันมีนาฬิกา LV ราคาแพง เขาก็คงดูเหมือนเป็นผู้ที่มองดูคนถูกกระทำด้วยความอยุติธรรมได้อยู่
“รองสารวัตรครับ... พวกเราจะทำยังไงดี” ตำรวจนายหนึ่งกล่าวถามรองสารวัตรออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ก็น่าแปลกที่ไม่มีเสียงตอบกลับเขาเลย
จนเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งนาที
“ไปพาตัว... ท่านชาย ท่านหญิง และเหล่าบอดี้การ์ดออกมาเร็ว! จำไว้ว่าต้องทำทุกอย่างให้ดี อย่าให้มีใครไม่พอใจพวกเราเด็ดขาด!” รองสารวัตรกล่าวสั่งการออกมา
ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะสั่งการลูกน้องไปทีนึงแล้วก็ตาม แต่สถานการณ์ในตอนนี้มันทำให้เขาหมดสิ้นหนทาง กลางเป็นเพียงคนตาบอดที่ไร้แสงไฟ ได้แต่คว้าสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเอาไว้ก่อน แม้ว่ามันจะเป็นทางที่โง่เขลาเพียงใดก็ตาม
...
“หายไปไหนกันหมด... ว่าแต่ นายตามฉันไปได้ทุกที่เลยรึไง ?” เย่เซวียนที่นั่งอยู่คนเดียวมาสักพักแล้วบ่นออกมา ก่อนที่จะหันไปถามเด็กน้อยที่เดินวนอยู่รอบห้องด้วยความอยากรู้
“ใช่ครับ แปลกมากเลย.. ปกติผมจะไปที่ไหนไม่ได้นอกจากในห้างซานหมิง แต่เหมือนตัวพี่ชายจะมีพลังบางอย่างที่ดึดดูดตัวผม ผมเลยตามพี่ชายมาด้วยได้” เด็กชายตอบกลับมาด้วยความสับสนเช่นกัน ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้รู้สึกอยากจะตามชายตรงหน้าไปด้วย
ครึ่งหลัง
“เอาเถอะ นายตามฉันไปก็ได้ ถ้านึกอะไรออกก็บอกได้ตลอดเลยนะ เดี๋ยวถ้าฉันมีเวลาว่างจะไปหมู่บ้านชีฉิวเป่ยที่นายบอกเอง เผื่อว่าจะเจอเบาะแสอะไรสักอย่างว่าทำไมนายถึงเป็นแบบนี้” ชายหนุ่มกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงใจดี ทำให้เด็กน้อยอดดีใจไม่ได้ที่อีกฝ่ายอยากจะช่วยตนเอง
“ขอบคุณมากครับพี่ชาย” เด็กน้อยยิ้มพลางกล่าวออกมา
“ว่าแต่ไม่มีใครอยู่ข้างนอกเลยเหรอ ? นายไปดูให้หน่อยสิ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ฉันได้ยินเสียงโวยวายดังมากคงเกิดเรื่องขึ้นแหละ” เย่เซวียนกล่าวออกมาด้วยความสงสัย มันต้องเสียงดังขนาดไหนถึงจะดังเข้ามาในห้องที่ปิดทึบแบบนี้ได้กันนะ ?
“ได้ครับ เดี๋ยวผมรีบมา” เด็กน้อยรีบวิ่งทะลุประตูออกมาอย่างว่าง่าย
เป็นวิญญาณก็ต้องทะลุสิ่งต่าง ๆ ได้อยู่แล้วสิ จริงไหม ?
...
หลังจากผ่านไปยี่สิบนาที
ตึก ตึก ตึก ปึ้ง!
“แฮ่ก แฮ่ก .. คุณเย่เซวียนครับ! ขอเชิญคุณออกไปข้างนอกหน่อยได้ไหมครับ ?!” ตำรวจนายหนึ่งเปิดประตูเข้ามาอย่างแรงพลางกล่าวออกมาเสียงดังจนเกือบจะเป็นการตะโกน
ฟังจากน้ำเสียงที่มีการหอบหายใจ ดูเหมือนเขาจะรีบวิ่งมาแบบไม่คิดชีวิตแน่นอน ก็ไม่แปลกหรอกนะ เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนั้นขึ้นนี่นา
ถ้าเป็นเขาเองก็คงหน้าซีดยืนขาแข็งทำอะไรไม่ถูกไปแล้วล่ะ !
“ไม่อ่ะ! ผมเป็นผู้ต้องหานี่นา ต้องรออยู่ที่นี่เพื่อให้สอบสวนให้เสร็จ” ชายหนุ่มยักไหล่ให้ก่อนจะตอบกลับไป
“เอ่อ ไม่ต้องแล้วครับ คุณไม่มีความผิดอะไรเลย ทั้งหมดเป็นเพราะเหอจุน คุณได้รับการปล่อยตัวแล้วครับ” ตำรวจที่ได้รับหน้าที่ให้มาตามชายหนุ่มเหงื่อแตกพลั่กด้วยความกลัว
ถ้าเขาไม่รีบพาชายคนนี้ไปล่ะก็... มีหวังทั้งสถานีได้ตายแบบไร้ที่ฝังแน่!
ถึงตอนนี้มันจะแย่อยู่แล้วก็เถอะ แต่ถ้าให้อีกฝ่ายช่วยแถหรือให้ความร่วมมือได้ มันก็ยังคงจะพอมีชีวิตต่อไปได้... มั้ง?!
“ผมไม่เชื่อคุณหรอก คุณต้องหลอกผมแน่ ๆ ถ้าผมออกไปจากห้องนี้พวกคุณก็จะยัดข้อหาหลบหนีให้ผม เพราะงั้นผมจะอยู่ที่นี่แหละ!!” ชายหนุ่มกล่าวออกมาพลางสะบัดหน้าหนีทำให้ตำรวจนายนั้นหน้าซีดหนักขึ้นไปอีก
“ไม่ใช่นะครับ! คุณออกไปดูกับผมแปปเดียวคุณก็จะรู้ว่าผมไม่ได้หลอกคุณ ทั้งสารวัตรเป็นคนสั่งการมาเองเลยนะครับ!” ตำรวจนายนั้นรีบกล่าวออกมาอย่างร้อนรน เพราะมันเป็นคำสั่งจากสารวัตรจริง ๆ เขาคิดว่าถ้าเอ่ยถึงสารวัตรแล้วอีกฝ่ายคงจะยอมตามนั้นให้อย่างแน่นอน
“ให้เขาเดินมาบอกต่อหน้าผมเองก็แล้วกัน ยังไงผมก็ไม่ออกไปไหนหรอก!” ชายหนุ่มกล่าวออกมาก่อนจะหยิบน้ำบนโต๊ะขึ้นมากิน หลังจากนั้นก็เอาขนมที่ไม่รู้เอามาจากไหนโยนเข้าปาก
“ผมเป็นตำรวจนะ ผมไม่โกหกคุณหรอก ยังไงตำรวจก็มีหน้าที่รักษาความยุติธรรมให้กับทุกคนอยู่แล้ว เชื่อผมเถอะ” ตำรวจกล่าวออกมาก่อนจะตบอกตัวเองอย่างภาคภูมิใจ
แต่ดูเหมือนเขาจะลืมไปว่าก่อนหน้านี้พวกเขาทำอะไรกับกลุ่มของชายตรงหน้าไว้บ้าง
“ที่พูดออกมาน่ะ.. ไม่กระดากปากบ้างรึไง ?” เย่เซวียนยิ้มเยาะก่อนจะกล่าวออกมา
“ก่อนหน้านี้ไม่รู้มีหมาที่ไหนมันทั้งใช้ความรุนแรง แถมยิงปืนไฟฟ้าใส่ประชาชนผู้บริสุทธิ์อีก เฮ้อออ พอมาตอนนี้บอกให้ไว้ใจ” ชายหนุ่มแค่นเสียงกล่าวด้วยความประชดประชัน
“ก่อนหน้านี้พวกผมผิดเอง ให้อภัยพวกผมเถอะนะ! ได้โปรดไปกับผมเถอะ! ผมไหว้ล่ะ” ตำรวจนายนั้นกล่าวออกมาพลางยกมือให้ชายหนุ่ม
“ไม่อ่ะ! ผมไม่เชื่อคุณหรอก คุณจะไปไหนก็ไปเถอะ ผมจะนั่งพักผ่อนสักหน่อย” ชายหนุ่มกล่าวออกมาพลางโบกมือไล่อีกฝ่าย
“ผมพูดจริง ๆ นะ! ถ้าอย่างนั้นคุณรอผมแปปนึง” ตำรวจนายนั้นที่เห็นว่าคุยต่อไปก็ไม่ได้อะไรดีขึ้นมาจึงกล่าวออกมาก่อนจะรีบวิ่งออกจากห้องไป
เขารีบถึงขนาดไม่ได้ปิดประตูห้องด้วยซ้ำ! ในความเป็นจริงถ้ามีสติสักหน่อยก็จะรู้ว่าขนมที่ชายหนุ่มกำลังกินมันมาจากโต๊ะตำรวจที่อยู่นอกห้อง ถ้าชายคนนี้กลัวถูกกล่าวหาว่าหลบหนีจริง ๆ เขาคงไม่มีขนมในมือแบบนี้หรอก