ตอนที่แล้วตอนที่ 22 เหตุใดเจ้าถึงไม่ให้หวันหวั่นอยู่ด้วย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 24 ความไว้วางใจของท่านพ่อ

ตอนที่ 23 พื้นที่รกร้างทางตอนใต้ของเมือง


ตอนที่ 23 พื้นที่รกร้างทางตอนใต้ของเมือง

ในส่วนของพื้นที่รกร้างทางตอนใต้ของเมืองนั้น แม่นมได้ส่งข่าวมาบอกเว่ยรั่วว่าพื้นที่เหล่านั้นเป็นที่ดินไม่มีเจ้าของ แต่อยู่ในการดูแลของทางการ หากชาวบ้านต้องการใช้ที่ดินในการเพาะปลูก จะต้องได้รับการอนุมัติจากทางการก่อน

ในอดีตที่ผ่านมา ใต้เท้านายอำเภอของอำเภอซิ่งซั่นไม่ได้สนใจเรื่องการฟื้นฟูพื้นที่รกร้างเหล่านี้เลย ดังนั้นพื้นที่รกร้างทางตอนใต้ของเมืองจึงเป็นสิ่งที่ชาวบ้านไม่ต้องการ ดังนั้นหากมีคนไม่กลัวความยากลำบากและต้องการเพาะปลูกบนที่ดินแห้งแล้งเหล่านี้ พวกเขาจึงไม่มีเหตุผลที่จะคัดค้าน

อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้บ้านเมืองตกอยู่ในสถานการณ์พิเศษ พวกวอโค่วนับวันยิ่งเหิมเกริม แม้ว่าทางทิศใต้ของเมืองจะมีโอกาสถูกโจรสลัดวอโค่วรบกวนน้อยกว่าเพราะมีข้อได้เปรียบด้านภูมิประเทศ และดีกว่าทางตะวันออกของเมืองถึงร้อยเท่า แต่ท้ายที่สุดก็ยังมีความเสี่ยงอยู่บ้าง และด้วยเหตุนี้ทางการจึงไม่อนุญาตให้คนธรรมดาออกจากประตูเมืองทางทิศใต้

ถ้าทางการไม่อนุมัติ คนธรรมดาก็ไม่มีโอกาสได้ครอบครองที่ดินผืนนั้นอยู่ดี

ชาวบ้านธรรมดาทำไม่ได้ แต่ถ้าเป็นจวนเซี่ยวเว่ยจะเป็นไปได้หรือไม่?

แม้ว่าเว่ยรั่วไม่อยากนำเรื่องเหล่านี้ไปข้องเกี่ยวกับจวนเซี่ยวเว่ยมากเกินไป แต่บางครั้งภาพขอทานผอมแห้งที่นางได้เห็นบนถนนวันนั้นก็แวบเข้ามาในใจ

และเวลาไม่กี่วันที่นางได้เรียนรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของอำเภอซิ่งซั่น คือทั้งภัยพิบัติทางธรรมชาติและภัยที่มนุษย์สร้างขึ้นนั้นอาจไม่ส่งผลกระทบต่อจวนเซี่ยวเว่ยมากนัก แต่ยิ่งซ้ำเติมผู้คนเบื้องล่างที่น่าสังเวชให้ทุกข์ตรมหนักเข้าไปใหญ่

นางรู้ดีว่าหากทุกสิ่งผ่านไปด้วยดี นางจะสามารถช่วยคนเท่าที่นางช่วยไหวได้ ถึงแม้จะช่วยไม่ได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็เคยได้ช่วย และหากนางช่วยให้คนมีชีวิตรอดได้หนึ่งคน นั่นก็คือหนึ่งชีวิต!

หลังจากไตร่ตรองครั้งแล้วครั้งเล่า เว่ยรั่วจึงมาที่เรือนชางอวิ๋นของอวิ๋นซื่อ

อวิ๋นซื่อเพิ่งเสร็จสิ้นการตรวจสมุดบัญชีประจำเดือนที่แล้วกับผู้จัดการร้านพอดี

ผู้จัดการร้านเพิ่งก้าวเท้าออกไป เว่ยรั่วก็ก้าวเท้าเข้ามาทันที

“รั่วเอ๋อร์มาด้วยเหตุใดหรือ? รอสักครู่นะ แม่ขอจัดการสมุดบัญชีเหล่านี้ก่อน” อวิ๋นซื่อไม่ได้ปิดบังเว่ยรั่ว อาจเพราะเว่ยรั่วเป็นบุตรสาวของนางหรือเพราะนางเข้าใจว่าเว่ยรั่วอ่านสมุดบัญชีไม่เป็นนั่นเอง

เว่ยรั่วก็ไม่ได้รีบร้อนเช่นกัน นางยืนนิ่งอยู่ข้างๆ พลางมองสมุดบัญชีในมือของอวิ๋นซื่อไปด้วย

หลังจากอ่านไปได้ไม่กี่หน้า เว่ยรั่วก็ได้ค้นพบว่าร้านค้าของตระกูลเว่ยล้วนอยู่ในสภาวะขาดทุน

จะเห็นได้ว่าในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้สถานการณ์ทางการเงินของตระกูลเว่ยย่ำแย่มาก ไม่เพียงแต่การเก็บเกี่ยวนาขั้นบันไดจะไม่ดี แม้แต่ผลกำไรของร้านค้าก็ไม่เหมาะสม

หลังจากนั้นไม่นาน อวิ๋นซื่อก็อ่านสมุดบัญชีเล่มสุดท้ายจบ นางวางพวกมันทั้งหมดไว้ข้างๆ จากนั้นดึงเว่ยรั่วให้มานั่งข้างกาย

“รั่วเอ๋อร์มาพบแม่ด้วยเหตุใดหรือ?” อวิ๋นซื่อถาม

เว่ยรั่วกลับเข้าตระกูลเว่ยนานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว นี่เป็นการมาหานางก่อนเป็นครั้งที่สอง สำหรับครั้งแรกนั้นเป็นเพราะเว่ยรั่วต้องการออกไปนอกจวนแล้วเยี่ยมชมทุ่งนาทางตอนเหนือของเมือง

ดังนั้นอวิ๋นซื่อจึงสามารถสรุปได้ว่าวันนี้เว่ยรั่วมาหานางเพื่อจุดประสงค์บางประการ

“เรียนท่านแม่ ข้าได้ยินว่าในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้การเก็บเกี่ยวในที่นาของเราไม่ค่อยดีนัก และเสบียงที่ผลิตได้ไม่เพียงพอสำหรับครอบครัวเราด้วย” เว่ยรั่วเอ่ยเข้าประเด็น

เมื่อได้ยินเช่นนี้อวิ๋นซื่อก็ตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด เพราะนางไม่ได้คาดหวังว่าเว่ยรั่วจะพูดเรื่องนี้

นางถอนหายใจเล็กน้อยแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่พวกเจ้าควรกังวล แม่ไม่รู้ว่าบ่าวรับใช้คนใดพูดมาก แต่แม่ต้องลงโทษให้หลาบจำ”

“ไม่ใช่ว่าบ่าวรับใช้พูดมากหรอกเจ้าค่ะ แต่ข้าเห็นเองตอนไปทางเหนือของเมือง” เว่ยรั่วเอ่ย

“โอ้ จริงด้วย เจ้าเห็นแล้วก็น่าจะมองออก” อวิ๋นซื่อกล่าว

เด็กคนนี้เติบโตขึ้นมาในชนบท และสิ่งที่นางได้พบเจอบ่อยที่สุดทุกวันคือการทำนา จึงไม่ผิดที่นางจะรู้มากกว่าคุณหนูทั่วๆ ไปที่ถูกเลี้ยงดูมาในห้องหอ

อวิ๋นซื่อจึงอธิบายว่า “ปัญหานี้ไม่ได้เกิดกับครอบครัวเราเท่านั้น แต่เกิดขึ้นทั่วทั้งอำเภอซิ่งซั่น แม้แต่การเก็บเกี่ยวของเมืองไถโจวทั้งหมดในช่วงสองปีที่ผ่านมาก็ไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นที่นาของเราในอำเภอซิ่งซั่นก็ไม่มีข้อยกเว้น”

“แต่รั่วเอ๋อร์ไม่ต้องกังวลหรอกนะ ครอบครัวของเรายังไม่แย่ขนาดนั้น ด้วยเงินเดือนของพ่อเจ้าและเงินเก็บที่บ้าน ชีวิตอาจลำบากขึ้นบ้าง แต่ไม่ถึงขั้นอดอยาก แต่ชาวบ้านต่างหากที่ลำบาก เพราะพวกวอโค่วออกสร้างปัญหาในช่วงไม่กี่ปีนี้ เมื่อรวมเข้ากับปีที่เก็บเกี่ยวผลผลิตไม่ได้ สถานการณ์จึงยิ่งเลวร้ายลงทุกวัน”

เมื่อเห็นว่าบทสนทนาไปในทิศทางที่ต้องการ เว่ยรั่วจึงถามเกี่ยวกับพื้นที่รกร้างทางตอนใต้ของเมือง

“ท่านแม่เจ้าคะ พื้นที่รกร้างทางตอนใต้ของเมืองยังว่าง หากปลูกพืชก็น่าจะสามารถแก้ปัญหาการขาดแคลนอาหารของหลายๆ คนได้นะเจ้าคะ”

อวิ๋นซื่อยิ้มพลางเอ่ย “รั่วเอ๋อร์ การที่เจ้าคิดถึงครอบครัวนั้นเป็นเรื่องดี แต่พื้นที่รกร้างนอกเมืองนั้นแม้แต่วัชพืชยังเติบโตได้ไม่กี่ต้น เพราะดินที่นั่นไม่ดีจริงๆ และไม่สามารถปลูกพืชใดได้เลย”

“ท่านแม่ ตอนที่ข้าอยู่ในโม่เจียจ้า มีแม่เฒ่าคนหนึ่งสอนวิธีปลูกพืชผลในดินแดนแห้งแล้งและรกร้างให้ข้า ซึ่งบางทีมันอาจจะใช้กับพื้นที่รกร้างทางตอนใต้ของเมืองได้เจ้าค่ะ”

“แต่สภาพของดินนั้นแตกต่างกัน อำเภอซิ่งซั่นอยู่ใกล้ทะเล ดังที่ผู้เฒ่าทุกคนรู้ดีว่าการปลูกพืชในดินใกล้ทะเลนั้นเป็นไปไม่ได้ ซึ่งแตกต่างจากดินของโม่เจียจ้าที่เจ้าเคยอยู่”

“แต่วิธีการนั้นอาจจะได้ผลหรือไม่? ท่านแม่เจ้าคะ ถ้าเราปลูกพืชบนดินแห้งแล้งได้ ก็จะสามารถช่วยเหลือผู้คนได้อีกมากมาย ซึ่งถือเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่และเป็นประโยชน์ต่ออาชีพการงานของท่านพ่อมากๆ”

เมื่อมีการกล่าวถึงหน้าที่การงานของเว่ยหมิงถิงแล้วการแสดงออกของอวิ๋นซื่อก็เปลี่ยนไป

แต่หลังจากไตร่ตรองได้สักพักแล้ว นางก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้

“รั่วเอ๋อร์ ความคิดของเจ้าดีมาก เพียงแต่เรื่องนี้ไม่ง่ายขนาดนั้นจริงๆ นะ...”

“มันไม่ง่ายเลยจริงๆ เจ้าค่ะ แต่ท่านแม่ ถึงแม้ว่าเราจะล้มเหลว เราก็ไม่ได้สูญเสียสิ่งใดเลย นอกจากนี้ยังจะทำให้ทุกคนรู้ว่าตระกูลเว่ยของเรากำลังทำงานหนักเพื่อให้ทุกคนได้มีอาหารกินอิ่มท้อง ซึ่งถือเป็นกำไรอีกรูปแบบหนึ่งเจ้าค่ะ” เว่ยรั่ววิเคราะห์ข้อดีและข้อเสียให้อวิ๋นซื่อฟัง

อวิ๋นซื่อไตร่ตรองด้วยความรอบคอบ และดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะสำหรับตระกูลเว่ยแล้วชื่อเสียงเป็นสิ่งสำคัญมาก หากได้รับความรักและการสนับสนุนจากชาวบ้าน ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการเลื่อนตำแหน่งของสามีด้วย

ยิ่งไปกว่านั้นคือ เนื่องจากสงครามต่อต้านวอโค่วยังไม่มีความคืบหน้า ทางราชสำนักจึงไม่พอใจในผลงานของนายทหารจำนวนมากของอำเภอซิ่งซั่น เมื่อเร็วๆ นี้จึงมีข่าวว่าทหารกลุ่มหนึ่งในอำเภอซิ่งซั่นจะถูกปลด

สิ่งนี้ยังทำให้สามีของนางต้องอยู่ห่างบ้านทุกวัน และต้องทำงานทั้งวันทั้งคืนเพื่อคิดหาทางขจัดปัญหาโจรสลัดวอโค่ว

อวิ๋นซื่อรู้สึกสะเทือนใจไม่น้อย

หลังจากคิดให้ลึกซึ้งแล้ว อวิ๋นซื่อก็พูดกับเว่ยรั่วว่า “แม่ไม่สามารถตัดสินใจในเรื่องนี้ได้ รอให้พ่อของเจ้ากลับมาแล้วแม่จะคุยกับเขา ให้เขาตัดสินใจเอง”

“เจ้าค่ะ” เว่ยรั่วรู้ดีว่าหากจะต้องดำเนินการเรื่องนี้ ต้องให้เว่ยหมิงถิงตัดสินใจเท่านั้น

ทว่าในคืนนั้นเว่ยหมิงถิงยังคงไม่ปรากฏตัวที่โต๊ะอาหารค่ำ ซึ่งเขาไม่ได้กินมื้อค่ำกับทุกคนเป็นเวลาสิบวันติดต่อกันแล้ว

เมื่อนับรวมตอนได้พบกันครั้งแรก จนถึงตอนนี้เว่ยรั่วได้พบเขาเพียงสี่ครั้งเท่านั้น และทุกครั้งก็แทบไม่ได้คุยกันเลย

นางคิดว่าวันนี้คงไม่มีโอกาสได้คุยเรื่องพื้นที่รกร้างทางตอนใต้กับเว่ยหมิงถิงแล้ว แต่กลายเป็นว่าก่อนเข้านอน ชุ่ยผิงก็มาส่งข้อความจากอวิ๋นซื่อ โดยขอให้นางไปที่เรือนชางอวิ๋นเพื่อพบท่านพ่อ

เว่ยรั่วลุกขึ้นมาแต่งตัวอีกครั้งและไปที่เรือนชางอวิ๋น จากนั้นจึงได้เห็นเว่ยหมิงถิงซึ่งไม่ได้เจอหน้ากันนาน

เขายังคงดูจริงจังและเย็นชาไม่เปลี่ยน เพียงแต่คืนนี้เขาดูจริงจังมากกว่าตอนที่ได้พบกันครั้งแรก เขาดูเหนื่อยล้าและมีบาดแผลที่แขนซึ่งถูกพันด้วยผ้าขาว ดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บมาสองสามวันแล้ว

“พ่อเพิ่งได้ยินจากแม่ของเจ้าว่า เจ้ามีวิธีปลูกพืชบนพื้นที่รกร้างทางใต้ของเมือง เป็นเรื่องจริงหรือ?” เว่ยหมิงถิงเอ่ยถาม

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด