บทที่ 117 เจ้ากล้าแตะต้องข้างั้นรึ!
ซูหลี่พร้อมศิษย์หลายคนจากสำนักเซินไห่ต่างตกตะลึง เมื่อเห็นร่างคนอีกผู้ ที่ล้มลงกระแทกพื้นอย่างหลิวกัวตงจะพลันสิ้นลม ภายใต้สายตาที่คอยคาดหวังจากพวกเขาไปเร็วถึงเพียงนี้
พวกเขาไม่เคยคิด และหวังว่าเหตุการณ์จะเป็นเช่นนี้
หลิวกัวตง เป็นหนึ่งในวิญญาจารย์ผู้แข็งแกร่งขั้นราชันยุทธ์ระดับสี่ ส่วนอาจารย์อีกผู้ ก็อยู่ในขั้นราชันยุทธ์ระดับสามของสำนักเสินไห่ แต่ตอนนี้พวกเขา กลับถูกสังหารและตัดศีรษะจากคมดาบของชายนิรนามผู้นั้น อย่างแม่นยำถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน
ขณะซูหลี่ยังคงเบิกตา มองร่างอันไร้วิญญาณของอาจารย์ทั้งสองอย่างสิ้นหวัง ก่อนสัมผัสรับรู้จะทันรู้สึกถึงดวงตาเยียบเย็น ของคนที่จ้องมาอย่างหยางเสี่ยวเทียน ซึ่งเขาแทบไม่เหลียวมองร่างของหลิวกัวตงและอาจารย์อีกผู้ นอกจากจับจ้องมองซูหลี่ขณะย่างกรายเข้าใกล้พร้อมกระบี่ในมือ
สีหน้าเหม่อลอยบนใบหน้าเล็กๆ ของซูหลี่ผันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ความภาคภูมิใจในอำนาจอันยิ่งใหญ่ครู่นี้พลันหายสิ้น เหลือไว้เพียงความกลัวเกาะกุมจิตใจเท่านั้น
“หยางเสี่ยวเทียน เจ้าจะทำอย่างไร” ซู่หลี่ร้องตะโกนออกไป โดยหวังว่าหยางเสี่ยวเทียนจะหยุด
“พ่อข้าเป็นถึงผู้นำตระกูลซูคนปัจจุบัน อีกทั้งข้ายังเป็นหลานชายขององค์จักรพรรดิแห่งอาณาจักรเสินไห่!”
“เจ้ากล้าแตะต้องข้างั้นรึ!”
ทันทีที่เขากล่าวสิ่งนี้ หยางเสี่ยวเทียนก็เหวี่ยงกระบี่ตงเทียนในมือแทงตรง ทะลุผ่านคอของซูหลี่ พร้อมกระตุกเฉือนออกไป อย่างไร้ซึ่งความเมตตา หรือคิดครั่นคร้ามต่ออิทธิพลเบื้องหลังเขาแต่อย่างใด
ศีรษะซูหลี่เลื่อนหล่นจากร่าง กลิ้งลงกับพื้นขณะดวงตายังเบิกกว้างด้วยสะพรึงกลัว
“หลานชายองค์จักรพรรดิ แห่งอาณาจักรเสินไห่งั้นหรือ” น้ำเสียงเย็นเนิบนาบ ของหยางเสี่ยวเทียนกล่าวอย่างหาได้สนใจ
“ในสายตาของข้า เจ้าเป็นแค่คนที่ตายไปแล้ว”
ศิษย์สำนักเสินไห่อีกหลายคนที่ปรารถนาความหวังอันเลื่อนลอยจากเขา ต่างตกใจขวัญเสียจนเริ่มร้องห่มร้องไห้ออกมา เมื่อเห็นศีรษะซูหลี่ร่วงลงกับพื้น
กลิ่นปัสสาวะโชยไปทั่ว
หนึ่งในนั้นกลัวมากจนฉี่ราด เปอะเปื้อนอาภรณ์อันเป็นที่ภาคภูมิใจของบรรดาศิษย์จากสำนักเสินไห่
ศิษย์ของสำนักเสินไห่เหล่านี้ ล้วนมีลักษณะอุปนิสัยเช่นเดียวกับซูหลี่ ด้วยต่างก็เป็นลูกหลานของราชวงศ์และขุนนางชั้นผู้ใหญ่แห่งอาณาจักรเสินไห่
ยามใดที่พวกเขาก่ออาชญากรรม ก็มักจะมองหาแพะรับบาปมารับโทษแทนตนเองเสมอ เป็นพวกต่ำช้าเลวทราม แต่เบื้องหลังกลับใหญ่โต จึงมิคิดหวั่นกลัวต่อสิ่งใดครากระทำผิด
แต่น่าเสียดาย ว่าคนที่พวกเขาเลือกเป็นเหยื่อในวันนี้ คือหยางเสี่ยวเทียนก็เท่านั้นเอง
หยางเสี่ยวเทียนมองดูท่าทางหวาดกลัวของบรรดาศิษย์สำนักเสินไห่ แล้วหันไปหาหลัวชิงและพยักหน้าให้
หลัวชิงเข้าใจความหมายนั่น และฟันดาบเล่มใหญ่ในมือออกไปทันที
เลือดสาดกระเซ็นไปในอากาศ กระจายติดตามใบไม้ใบหญ้าทั่วอาณาบริเวณนั้นอย่างน่าสยดสยอง
ไม่ช้า เสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาก็พลันเงียบสงัดลงในทันใด บรรดาศิษย์สำนักเสินไห่ตอนนี้วายชนม์จนหมดสิ้น
“ไปกันเถอะ” หยางเสี่ยวเทียนกล่าวกับหลัวชิง แล้วหันหลังจากไป
ครั้นเดินไปได้มิไกลนัก หยางเสี่ยวเทียนก็ชูปลายนิ้วขึ้นพร้อมปรากฏเปลวไฟออกมา จากนั้นเหวี่ยงแขนกระจายไฟ ลอยไปยังศพของบรรดาศิษย์สำนักเสินไห่ รวมทั้งซูหลี่และหลิวกัวตง ลุกฮวบรวกับมีเชื้อเพลิงทันใด
ไม่ถึงสามลมหายใจ ร่างที่ถูกเปลวไฟนั้นก็พลันกลายเป็นเถ้าธุลี ปลิวกระจายไปตามสายลม มิมีทิ้งไว้ให้เหลือเพียงเลือดสักหยด
หลังออกห่างจากสถานที่นองเลือดนั้นแล้ว หยางเสี่ยวเทียนก็ทอดถอนใจอย่างเหนื่อยหน่ายกับเรื่องที่เผชิญมาเมื่อครู่ ทำดีแต่กลับเป็นร้ายประหนึ่งทำคุณบูชาโทษ
เมื่อหลัวชิงเห็นท่าทางและสีหน้าหม่นหมองของหยางเสี่ยวเทียน เขาจึงกล่าวบรรเทาใจ ด้วยรับรู้ทุกอย่างดี “นายน้อย ท่านไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด พวกนั้นล้วนสมควรตายทั้งสิ้น”
หยางเสี่ยวเทียนหันมาพยักหน้าแม้ต้องฝืนยิ้ม ให้เขาคลายกังวล แล้วมุ่งหน้ากันต่อไปยังจุดหมาย
มีคนเพียงไม่กี่คน ที่ยังคงเคลื่อนตัวตามหาถ้ำแห่งทัณฑ์สวรรค์ ซึ่งต้องเดินลึกเข้าในป่าพระจันทร์แดงอีกไกล พบเจออุปสรรคจากบรรดาสัตว์อสูรที่พลังบำเพ็ญเริ่มแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ทำบางคนต้องยอมล่าถอยหรือตาย สังเวยชีวิตไว้ที่นี่ไปหลายผู้
กลุ่มของหยางเสี่ยวเทียนต้องใช้เวลารอนแรมเดินทาง ฟันฝ่าอุปสรรคเหล่านั้นอยู่ถึงสองวัน กว่าจะดั้นด้นเข้าใกล้จุดหมาย
ที่สุด พวกเขาก็มาถึงยังถ้ำแห่งทัณฑ์สวรรค์
แม้มันจะถูกเรียกว่าถ้ำ แต่แท้จริงนั้น มันเป็นเพียงหลุมลึกขนาดใหญ่
ทั่วพสุธาเบื้องหน้า พวกเขาเห็นเพียงหลุมลึกที่ดำมืด มองลงไปไม่เห็นพื้นเบื้องล่าง ทั้งยังมีความกว้างของปากถ้ำมากกว่าสิบลี้
ภายในหลุมดำ มีกลิ่นอายที่สร้างแรงกดดันมหาศาล พวยพุ่งออกมาจากเบื้องล่างนั่น ประหนึ่งสามารถทำให้หัวใจหยุดเต้นไปเลยทีเดียว
เพียงแค่ยืนอยู่รอบปากถ้ำทัณฑ์สวรรค์ ก็ได้รับแรงกดดันจนแทบหายใจไม่ออก
นี่คือพลังแห่งทัณฑ์สวรรค์งั้นหรือ ช่างเป็นกลิ่นอายที่รุนแรงยิ่งนัก
หยางเสี่ยวเทียน มองไปยังหลุมดำอันเกิดจากทัณฑ์สวรรค์ เบื้องหน้าด้วยความประหลาดใจ
แม้นจะผ่านไปหลายปี แต่พลังที่หลงเหลืออยู่จากอำนาจศักดิ์สิทธิ์แห่งทัณฑ์สวรรค์ ก็ยังคงแข็งแกร่งน่าทึ่งมิใช่น้อย
สามารถจินตนาการถึงช่วงเวลาที่ก่อกำเนิดภัยพิบัติจากสวรรค์ได้เลย ว่าพลังทำลายล้างและการเผาผลาญขณะโจมตีของมัน จะทรงพลังแค่ไหนเมื่อมีทัณฑ์สวรรค์เกิดขึ้น
หลังเข้าสู่ป่าพระจันทร์แดง พวกเขามักจะเห็นบรรดาอาจารย์จากอาณาจักรต่างๆ และสัตว์อสูรมากมายตลอดทาง
แต่เมื่อเริ่มเข้าถึงส่วนที่ลึกขึ้น ผู้คนเหล่านั้นก็จะเริ่มหนีหายไม่ก็ตายก่อนถึงจุดหมาย ทำให้โดยรอบพื้นที่แห่งนี้ ไม่พบเห็นผู้ใดหรือสัตว์อสูรพวกนั้น ด้วยพวกมันก็ต่างเกรงกลัวต่อแรงกดดันจากถ้ำทัณฑ์สวรรค์เช่นกัน
“ให้พวกเขารออยู่ที่นี่” เวลานั้นเอง เสียงของเหยาติงก็ดังขึ้น “ข้าจะไปกับเจ้าเอง”
เมื่อได้ยินเสียงของเหยาติง หยางเสี่ยวเทียนก็เพียงพยักหน้า แล้วหันไปบอกกล่าวกับหลัวชิงพร้อมเสี่ยวจินให้พวกเขาทั้งสองรออยู่ข้างนอก
“นายน้อย ท่านจะเข้าไปคนเดียวงั้นหรือ” หลัวชิงถามด้วยรู้สึกร้อนใจเป็นห่วง
ไฉนนายน้อยเขา จึงคิดจะไปยังสถานที่อันตรายแห่งนั้นคนเดียว แล้วเขาผู้เป็นองครักษ์จะทนนิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไร
หลังใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนเพียงชั่วแล่น หลัวชิงจึงส่ายศีรษะปฏิเสธพลางกล่าวขึ้น “ไม่ได้นายน้อย ให้ข้าลงไปกับท่านเถิด”