บทที่ 115 เหตุโศกนาฏกรรม!
ค่ำคืนอันแสนยาวนานผ่านพ้นไปในที่สุด
แสงแดดยามเช้าตรู่ ลอดผ่านใบไม้หนาทึบลงมาตามผืนป่า พอให้มีแสงรำไรมองเห็นสิ่งต่างๆ โดยรอบ
ขณะที่หยางเสี่ยวเทียนยังคงนั่งหลับไหล ถูกแสงรำไรต้องกระทบผ่านเปลือกตา ชั่ววินั้น มันก็ทำให้เขารู้สึกประหนึ่งได้กลับไปยังโลกเดิมที่เคยจากมา
ไม่ช้า เสียงคำรามของสัตว์ร้ายจะสะท้านเข้าในหู ทำเขาต้องตื่นจากภวังค์กลับมาสู่ความเป็นจริง
เมื่อได้สติเต็มตื่น หยางเสี่ยวเทียนก็ยันกายลุกขึ้นยืนแล้วผ่อนคลายกล้ามเนื้อและกระดูก ก่อนเริ่มฝึกฝนมวยไทเก๊ก
ครั้นฝึกไปได้สักพักหนึ่งเขาก็หยุดลง พร้อมเตรียมตัวออกเดินทางต่อ
แม้จะผ่านไปเพียงไม่กี่เดือนนับตั้งแต่วิญญาณยุทธ์ตื่นขึ้น แต่ช่วงหลังๆ มานี้ ร่างกายเขาก็ถือว่าโตและสูงขึ้นมาก
อีกด้านหนึ่ง เสี่ยวจินก็หยุดบ่มเพาะ เพราะเห็นว่าหยางเสี่ยวเทียนกำลังเตรียมตัวเดินทาง
ที่ผ่านมา เสี่ยวจินฝึกฝนเคล็ดวิชาอสูรสวรรค์ ทำให้เกร็ดของมันมีสีทองอร่ามมากขึ้นเรื่อยๆ
หยางเสี่ยวเทียนรับรู้มาโดยตลอด ว่าเสี่ยวจินกำลังเปลี่ยนแปลง แม้กระทั่งหลัวชิงก็รู้สึกถึงเรื่องนี้เช่นกัน
ทั้งสามดื่มสุราชั้นดีกันคนละสองสามจอก พร้อมทำเนื้อหมีย่างที่เหลือจากเมื่อคืน หลังทานมื้อเช้าเสร็จสิ้น ไม่ช้า ก็พากันออกเดินทางไปทันที
เพลานี้ ก็ล่วงเลยไปอีกสองวัน
ยิ่งพวกเขาเข้าใกล้ถ้ำทัณฑ์สวรรค์มากเท่าไร ก็ยิ่งพบพานกับสัตว์อสูรที่ดุร้ายมากขึ้นเท่านั้น
คราใดที่ต้องประจันหน้ากับสัตว์อสูรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เสี่ยวจินมักจะฟาดหางอันใหญ่โตของมันเสมอเพื่อเปิดทาง
ส่วนทางด้านหยางเสี่ยวเทียน ก็ถือโอกาสฝึกปรือเพลงกระบี่ไปด้วย
บางครั้งเป็นเพลงกระบี่ปีศาจ บ้างก็เพลงกระบี่ชางไห่ หรือไม่ก็เพลงกระบี่หลิงเสอ รวมกระทั่งเพลงกระบี่ตงเทียน
ซึ่งหลังผ่านไปถึงสองวัน ทักษะกระบี่หลักของหยางเสี่ยวเทียน ก็ก้าวหน้าขึ้นมิใช่น้อย
แต่ขณะที่ หยางเสี่ยวเทียนและคนอื่นๆ กำลังอยู่ในระหว่างเดินทาง พวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือทิศทางด้านหน้า ที่ดูท่าไม่ไกลจากพวกเขามากนัก
ท่ามกลางเสียงร้องขอความช่วยเหลือ ฟังดูคล้ายจะเป็นน้ำเสียงของเด็ก
“ไปดูกันเถอะ!” หยางเสี่ยวเทียน หลัวชิง และเสี่ยวจิน รีบรุดหน้าไปยังทิศทางของต้นเสียงทันที
ไม่นาน ทั้งสามก็มาถึงพื้นที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดเสียงร้องอันน่าเวทนานั้น
ในสถานที่เกิดเหตุดังกล่าว พวกเขาเห็นสัตว์อสูรหลายตัว กำลังรายล้อมเข้าจู่โจมแลสังหารศิษย์จากสำนักเสินไห่กลุ่มหนึ่ง
หากมองตามพื้นโดยรอบ จะเห็นร่างไร้วิญญาณของศิษย์สำนักเสินไห่หลายคน นอนทอดกายกระจายเกลื่อนอยู่ตามพื้นป่า ช่างเป็นภาพอันน่าหดหู่ใจต่อผู้ได้มาพบเห็นยิ่งนัก
แม้หนึ่งเดือนที่ผ่านมา หยางเสี่ยวเทียนจะรู้สึกไม่ดีกับคนสำนักเสินไห่ ในวันประลองแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างศิษย์ใหม่ของสองสำนัก
แต่สำนักเสินเจี้ยนและสำนักเสินไห่ ต่างมีประวัติความสัมพันธ์ทางมิตรภาพที่ดีต่อกันมายาวนาน เมื่อหยางเสี่ยวเทียนเห็นสิ่งนี้ จึงไม่คิดลังเลเลยแม้แต่น้อย เขานำหลัวชิงพร้อมเสี่ยวจินออกลงมือช่วยเหลือทันที
และด้วยความร่วมมือของทั้งสาม สัตว์อสูรพวกนั้นก็ค่อยๆ ถูกจัดการลงอย่างเลือดเย็น แล้วกลายเป็นซากศพไปทีละตัว จนที่สุด พวกมันก็ถูกสังหารสิ้น
“หยางเสี่ยวเทียน!” เวลานั้นเอง ศิษย์จากสำนักเสินไห่ก็อุทานขึ้นด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่าผู้ที่มาช่วยเหลือพวกตนจะเป็นหยางเสี่ยวเทียน
ครั้นหยางเสี่ยวเทียนได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเช่นนี้ จึงหันกลับไปมอง ก่อนจะพบว่าผู้ที่อุทานออกมานั้นคือซูหลี่
แต่ซูหลี่กลับรีบหันหลังให้เขา แล้วแสร้งทำเป็นจำหยางเสี่ยวเทียนไม่ได้
พอหยางเสี่ยวเทียนเห็นว่าเป็นใคร เขาก็ไม่คาดหวังเช่นกัน ว่าหนึ่งในศิษย์จากสำนักเสินไห่ ที่เขาเพิ่งออกตัวช่วยเหลือในครั้งนี้ จะเป็นซูหลี่
ซึ่งขณะหยางเสี่ยวเทียนกำลังจะเอ่ยถามเขา จู่ๆ ก็เกิดเสียงพุ่งตัวผ่านอากาศดังขึ้น เมื่อหันไปมอง ก็พบว่าเป็นอาจารย์สองคนจากสำนักเสินไห่ ที่รีบท่องกระบี่เหินเข้ามา
ระหว่างที่อาจารย์ทั้งสองจากสำนักเสินไห่มาถึงจุดเกิดเหตุ แล้วได้เห็นร่างไร้วิญญาณของศิษย์สำนักตนหลายคนจากระยะไกล สีหน้าพวกเขาก็ผันเปลี่ยนไปบันดาลโทสะทันที
เพราะร่างหนึ่งในบรรดาศิษย์ที่เสียชีวิต คือร่างของบุตรชายขุนนางใหญ่แห่งอาณาจักรเสินไห่
เมื่อเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ กลับไป พวกเขาจะต้องถูกลงโทษประหารแน่นอน
“ใครบอกให้เจ้าออกจากกลุ่มใหญ่ไปโดยไม่ได้รับอนุญาต!” หลิวกัวตง ร้องตะโกนใส่ซูหลี่ด้วยเกรี้ยวโกรธจนหน้าแดง
หลิวกัวตง เป็นอาจารย์ผู้รับผิดชอบในการนำศิษย์จากสำนักเข้ามายังป่าพระจันทร์แดง เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ฝึกปรือ
แต่ตอนนี้ ดันมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น แล้วเขาจะอธิบายเรื่องนี้ให้เจ้าสำนักฟังได้อย่างไรเมื่อกลับไปถึง
“อาจารย์หลิว เป็นเขา หยางเสี่ยวเทียน! ครั้งล่าสุดระหว่างการแลกเปลี่ยนศิษย์ใหม่ ข้าไม่ได้ตั้งใจคิดขัดจังหวะการหยั่งรู้ศิลากระบี่เขา แต่ยังทำให้เขาไม่พอใจ เก็บความแค้นมาลงที่พวกเรา ถึงกับไล่ต้อนสัตว์อสูรโจมตี จนเกินเหตุโศกนาฏกรรมเช่นนี้” เวลานั้น จู่ๆ ซูหลี่ก็ชี้ไปยังหยางเสี่ยวเทียนแทนที่จะยอมรับผิดตรงๆ
“หากหยางเสี่ยวเทียนไม่ล่อสัตว์อสูรมาจู่โจมเรา เฟิงจ้าวและคนอื่นๆ ก็คงไม่ตาย!”
หยางเสี่ยวเทียนผู้ยืนนิ่งฟังจนจบ ถึงกับตะลึงหันจ้องมองไปยังซูหลี่ หลังจากได้ยินคำกล่าวให้ร้ายเช่นนั้น ทำนัยน์ตาเขาพลันมืดลงเปลี่ยนไปเยือกเย็นทันที
ปรากฏว่าสิ่งที่เขาทำ เป็นการไล่ต้อนสัตว์อสูรพวกนี้มาสังหารพวกเขา ไม่ได้เป็นการช่วยเหลือทั้งซูหลี่พร้อมคนของเขา ให้รอดพ้นจากคมเขี้ยวสัตว์อสูรพวกนี้หรอกหรือ
แม้หยางเสี่ยวเทียนจะรู้เหตุผล ว่าทำไมซูหลี่จึงใส่ร้ายตนให้ตกเป็นแพะรับบาปทั้งที่ไม่เป็นความจริง คงเพราะกลัวที่จะรับผิดชอบ ที่นำกลุ่มคนไม่กี่คนลอบออกจากกลุ่มใหญ่ ด้วยอยากโอ้อวดฝีมือความเก่งกาจตน ผู้เป็นถึงอัจฉริยะของสำนักเสินไห่
และที่สำคัญ ซูหลี่คงอยากกำจัดเขา โดยใช้พวกอาจารย์เหล่านี้คอยช่วยเหลือ
เป็นขว้างหินก้อนเดียว สังหารนกได้สองตัวเช่นนั้นสินะ