ตอนที่แล้วบทที่ 112 การลงมือของเติ้งอี้
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 114 กริชของเผ่ามังกร

บทที่ 113 ป่าพระจันทร์แดง


แม้นหยางเสี่ยวเทียนพร้อมหลัวชิง จะไม่หันมาแลร่างไร้วิญญาณน่าสยดสยองนั้นแม้สักเล็กน้อย

แต่ขณะก้าวเดินมุ่งหน้าไป หยางเสี่ยวเทียนก็มิลืมทำพิธีศพ อันคู่ควรแก่วิญญาจารย์ขั้นเซียนสวรรค์ระดับสิบ ที่หูซิงส่งมาสนองความใคร่ฝึกปรือได้อย่างประจวบเหมาะ

เปลวไฟพุ่งลอยออกจากปลายนิ้วเขา ก่อนจะตกลงบนร่างเติ้งอี้ ลุกท่วมท่ามกลางความมืดเบื้องหลังหยางเสี่ยวเทียนขณะมือไขว้หลัง เดินมุ่งหน้าไปต่อในสีหน้าเรียบเฉย

ร่างเติ้งอี้ถูกเผาด้วยเปลวไฟจนวอดสิ้น กลายเป็นเถ้าธุลีปลิวไปตามสายลมยามวิกาล

บัดนี้ ศพเติ้งอี้ถูกอำพรางสิ้น ประหนึ่งเขาไม่เคยปรากฏตัวบนภูเขารกร้างแห่งนี้มาก่อน นับแต่นี้สืบไปเติ้งอี้จะเหลือเพียงนามเท่านั้น

หลัวชิงเยื้องย่างตามหลังหยางเสี่ยวเทียน ขณะในหัวพลางนึกถึงฉากที่หยางเสี่ยวเทียนสังหารเติ้งอี้เมื่อครู่นี้ มันยากจะทำให้เขาสงบสติอารมณ์ได้ใช่น้อย

เขาไม่คาดคิดมาก่อน ว่าหยางเสี่ยวเทียนจะสามารถสังหารเติ้งอี้ได้ ทั้งที่ระดับพลังยุทธ์ระหว่างพวกเขาแตกต่างกันมากทวี

ทั้งเติ้งอี้ผู้นี้ ยังมีความแข็งแกร่งขั้นเซียนสวรรค์ระดับสิบ เป็นถึงศิษย์ฝ่ายในของสำนักเสินเจี้ยน ผู้มิต่างจากอัจฉริยะ

ไฉน เขากลับถูกฆ่าได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ แม้เพลงกระบี่ของหยางเสี่ยวเทียนจะเหนือกว่าก็จริงอยู่  แต่มันจะลดความห่างชั้นระหว่างพลังยุทธ์ได้ขนาดนั้นเชียวรึ

ต่อให้เติ้งอี้จะบาดเจ็บจากครั้งแรกมากแค่ไหนก็ตาม ระดับเช่นเขาไม่น่าถูกกำจัดได้เพียงกระบวนท่าเดียวเท่านั้น ซึ่งมันออกจะน่าประหลาดอยู่ไม่น้อย

ยิ่งกว่านั้น เขาไม่เคยคิดเลยว่าหยางเสี่ยวเทียนจะรู้จักเพลงกระบี่ตงเทียน ซึ่งนับเป็นหนึ่งในสิบเพลงกระบี่ที่ดีที่สุดในยุทธภพ

ในฐานะอดีตเจ้าสำนัก เขาจะไม่รู้จักเพลงกระบี่ตงเทียนอันเลื่องชื่อได้อย่างไร

อย่างไรก็ตาม เขาก็เหมือนกับเหล่าวิญญาจารย์นับไม่ถ้วนในยุทธภพ ที่เคยได้ยินเพียงชื่อเพลงกระบี่สิบอันดับแรกเท่านั้น แต่ไม่เคยได้ประสบเห็นผู้ใด สำแดงฤทธิ์เดชจากเพลงกระบี่ทั้งสิบอันดับเลยสักครั้ง

ความจริงแล้ว หยางเสี่ยวเทียนคาดไม่ถึงเสียด้วยซ้ำ ว่ากระบวนท่ากระบี่พิรุณหลากสี จะทรงพลังขนาดนี้

เดิมทีเขาต้องการใช้เติ้งอี้ฝึกฝนเพลงกระบี่เท่านั้น แต่ไม่คิดว่าเขาจะรับมือมันไม่ได้

ทำให้ตอนนี้ ไม่มีโอกาสที่จะฝึกฝนแล้ว

และเหตุผลที่เขาสามารถสังหารเติ้งอี้ได้อย่างง่ายดายนั้น ไม่เพียงเพราะเพลงกระบี่ตงเทียนอันทรงพลังเท่านั้น

แต่ยังเป็นเพราะความประมาทของเติ้งอี้ด้วย หากเติ้งอี้ไม่ประมาทและได้รับบาดเจ็บจากเขาตั้งแต่แรก คงไม่ตายง่ายดายเช่นนี้แน่

การสังหารเติ้งอี้ในครานี้ ทำให้หยางเสี่ยวเทียนรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของตนในปัจจุบัน

ด้วยการผสานพลังระหว่างปราณมังกรแรกเริ่มและเพลงกระบี่ตงเทียน จึงมิแปลกที่เขาจะแข็งแกร่งกว่าขั้นเซียนสวรรค์ระดับสิบ

แม้เขาจะอยู่ในขั้นเซียนสวรรค์ระดับห้าขั้นปลาย แต่ปราณแท้ขั้นเซียนสวรรค์ของเขาก็มิด้อยไปกว่าของเติ้งอี้ ที่เพิ่งทะลวงถึงระดับสิบขั้นต้น

ณ ป่าพระจันทร์แดง

เป็นป่าดิบชื้นอันกว้างใหญ่ไพศาลที่สุดในอาณาจักรโดยรอบ ซึ่งเขตแดนของมันเชื่อมต่อกับพรมแดนอาณาจักรต่างๆ ที่อยู่รายล้อมไม่ต่ำกว่าสิบอาณาจักร

หลังออกจากเมืองเสินเจี้ยน หยางเสี่ยวเทียนและทั้งสองก็เร่งฝีเท้าให้ไปถึงที่นั้นโดยเร็วตลอดการเดินทาง ถึงกระนั้น มันก็ยังต้องใช้เวลาหลายชั่วยาม กว่าจะถึงชายขอบของป่าพระจันทร์แดง

เวลานี้ ท้องฟ้ายามรุ่งสางเริ่มสว่างใส ขณะชายป่าเบื้องหน้ากลับดูมืดทึบน่าหวั่นเกรง

เพราะแนวเขตโดยรอบป่าพระจันทร์แดงกลับดูอึมครึมมิน่าพิสมัย ต่างจากแนวเขตอีกฝั่งที่สว่างสดใสด้วยดวงอาทิตย์ยามเช้าอันจรัสงดงาม

เหนือผืนป่าหนาทึบ มีชั้นหมอกบางสีเทาปกคลุม ส่งความรู้สึกราวกำลังจ้องมองสุสานโบราณมิมีผิด

ซึ่งหากเข้าไป บรรยากาศคงราวกับอยู่กันคนละโลก

ป่าพระจันทร์แดงที่อยู่เบื้องหน้า เปรียบเสมือนปากของสัตว์อสูรที่กำลังอ้ากว้างรอกลืนกินพวกเขา ผู้คิดย่างกรายเข้าไปอย่างมิทันระวัง เพราะทั่วทั้งอาณาบริเวณ ล้วนเต็มไปด้วยอันตรายกระจายอยู่ทุกหย่อมหญ้า

“นายน้อย เราควรพักสักหน่อยดีหรือไม่ หนทางข้างหน้านั้นยาวไกล ทั้งยังเต็มไปด้วยอันตรายมากมายสุดคณานับ” หลัวชิงถามหยางเสี่ยวเทียน

เพราะกว่าจะมาถึงนี้ พวกเขาต้องเดินทางกันตลอดทั้งคืนอย่างไม่มีหยุดพัก ด้วยใคร่ให้ถึงเร็วที่สุด หลัวชิงจึงวิตก กลัวว่าหยางเสี่ยวเทียนจะหมดกำลังเสียก่อน หากเจอสัตว์ร้ายซุ่มโจมตี จะเอาเรี่ยวแรงจากไหนมาสู้

“ไม่จำเป็น” หยางเสี่ยวเทียนส่ายศีรษะพลางกล่าวปฏิเสธ

ด้วยปราณแท้มังกรขั้นเซียนสวรรค์จากเคล็ดวิชามังกรแรกเริ่ม มีพลังไร้ขีดจำกัด ทำให้เขาไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ต่อให้ต้องเดินทางเป็นเวลาหนึ่งเดือน ความรู้สึกเหล่านั้นก็มิอาจบังเกิดขึ้นกับเขา

ทันทีที่ทั้งสองย่างกรายเข้าป่าพระจันทร์แดง บรรยากาศโดยรอบก็พลันอึมครึมอีกครั้ง แม้นยามนี้จะยังฟ้าสางอยู่ก็ตาม แต่ความสว่างจากแสงแดด กลับมิอาจลอดผ่านต้นไม้หนาทึบเหล่านั้นลงมาได้เลย

ด้วยความดิบชื้นของมันค่อนข้างหนาแน่น ทำให้หยางเสี่ยวเทียนก็รู้สึกชุ่มชื้นและเย็นฉ่ำไปทั่วทั้งกาย หลังเดินเข้ามาได้เพียงไม่นาน

แต่ตามเส้นทางในป่าที่อันตราย พวกเขากลับได้พบกับเหล่าวิญญาจารย์ จากอาณาจักรเสินไห่เป็นครั้งคราว ทั้งที่ป่าแห่งนี้ขึ้นชื่อว่าภยันตรายพร้อมคืบคลานเข้าใกล้ได้ทุกเมื่อ

ป่าพระจันทร์แดง เป็นป่าดึกดำบรรพ์ที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรโดยรอบ และมีสัตว์ร้ายนานาชนิดให้พวกเขาเหล่านั้นได้ล่าอยู่เสมอ

จึงไม่มีเพียงวิญญาจารย์จากอาณาจักรเสินไห่เท่านั้นที่มีสิทธิเข้ามา แต่วิญญาจารย์จำนวนมากจากอาณาจักรโดยรอบ ก็สามารถเข้ามาฝึกปรือทักษะตนในป่าพระจันทร์แดงโดยการล่าสัตว์ หรือบางพวก ก็เข้ามาเพื่อค้นหาสมบัติบรรพกาล ที่จะทำให้ตนแข็งแกร่งขึ้น

เหล่าวิญญาจารย์จากอาณาจักรเสินไห่ รู้สึกประหลาดใจที่เห็นหยางเสี่ยวเทียน ว่าเหตุใดจึงมีเด็กเข้ามาในป่าพระจันทร์แดงอันเต็มไปด้วยอันตรายเช่นนี้

วิญญาณอาจารย์บางคนที่มีเจตนาดี ถึงกับโน้มน้าวให้หยางเสี่ยวเทียนออกจากป่าพระจันทร์แดงไป ด้วยเกรงว่าเขาคนนี้จะเป็นอันตราย

และวิญญาณอาจารย์บางคน ก็ถึงกับตำหนิหลัวชิงเพราะเขาเป็นผู้อาวุโส มีวุฒิภาวะมากกว่า ไฉนกลับทำเรื่องเหลวไหลอย่างพาเด็กเข้ามาในที่แห่งนี้เพื่อฝึกฝน ไม่รู้หรือไร ว่าตนกำลังพาเด็กน้อยผู้อ่อนแอไปเผชิญสิ่งใด

ซึ่งหลัวชิงทำได้เพียงยิ้มอย่างขมขื่น แม้นอยากบอกว่านี่หาใช่ความผิดเขา แต่ก็มิอาจทำได้

มันยากสำหรับเขาที่จะกล่าวโต้แย้งใดๆ ด้วยดูจากสถานการณ์มันก็จริงดั่งพวกเขาว่า

แม้นไม่มีสัตว์อสูรอยู่ตามชายขอบของป่าพระจันทร์แดง แต่เมื่อพวกเขาเริ่มเดินถลำลึกไปเท่าไร ก็จะพบกับสัตว์อสูรจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ตามความลึกล้ำของป่า

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด