บทที่ 112 การลงมือของเติ้งอี้
เติ้งอี้ผู้อยู่ในขั้นเซียนสวรรค์ระดับสิบ กระบี่ของเขารวดเร็วและแข็งแกร่งมากพอจะสังหารวิญญาจารย์ระดับเดียวกันจำต้องวายชนม์ สำมะหาอะไรกับผู้ที่อยู่ในขั้นนักยุทธ์อย่างหยางเสี่ยวเทียน ที่เขากำลังถลา พุ่งตัวเข้าหาจากทางด้านหลังอย่างเลือดเย็น
ครั้นหยางเสี่ยวเทียนสัมผัสได้ถึงอายสังหารขณะเติ้งอี้กำลังพุ่งกระบี่เข้าหา หยางเสี่ยวเทียนก็เคลื่อนไหว หายลับไปจากสายตาของบุคคลที่สามอย่างรวดเร็ว
“อะไรกัน!” เติ้งอี้แสดงสีหน้าประหลาดใจ
เพราะชายตรงหน้าที่เขาหมายสังหารนั้น จะหายไปจากสายตา ทำกระบี่ที่เขามั่นใจแทงพลาดไปได้อย่างไร
ระหว่างเติ้งอี้ยืนระส่ำระสายด้วยฉงนใจ ทันใดนั้น ก็มีกระบี่แทงเข้ามาอย่างกะทันหันขณะเขาไม่ทันระวังตัว
ท่ามกลางความมืดมิด แสงกระบี่ทอประกายสีครามอันเย็นยะเยือก พร้อมส่งเสียงแหลมหวีดหวิวจนแสบหูยามมันทะลวงผ่านอากาศ พุ่งเข้ามาเบื้องหน้าหาเขาอย่างมิปรานีแม้แต่น้อย
คราได้เห็นปราณกระบี่ทะลวงตรงมาหาตนขณะชะงักนิ่ง สีหน้าเติ้งอี้ก็ผันเปลี่ยนไปอ้าปากค้าง เบิกตาถลึงด้วยความหวาดกลัวเป็นที่สุด กว่าสติสัมปชัญญะจะสั่งให้มือยกกระบี่ขึ้นปัดป้องโดยไม่รู้ตัว
แม้นร่างกายเขาจะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แต่มันก็ยังช้าไปครึ่งก้าว
และแล้ว ปรานกระบี่ก็แทงทะลวงยังซี่โครง ทะลุผ่านร่างเขาไปในที่สุด
ทันทีที่เติ้งอี้รู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่ซี่โครง ก็พลันเปิดปากแผดร้องคำรามดังลั่น แล้วล้มตัวคุกเข่าลงไปข้างหนึ่ง ก่อนเงยหน้าขึ้นมองหยางเสี่ยวเทียนด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
คนที่จู่โจมข้าเมื่อครู่ คือหยางเสี่ยวเทียนเองงั้นหรือ!
แต่นั่น จะเป็นไปได้อย่างไร!
ข้าคนนี้น่ะหรือ ข้าผู้อยู่ในขั้นเซียนสวรรค์ระดับที่สิบ!
กลับถูกหยางเสี่ยวเทียน แทงโดยไม่ทันตอบสนอง อีกทั้งเจ้านั่นเพิ่งปลุกวิญญาณยุทธ์ได้ไม่นาน แล้วไฉนกลับทำร้ายข้าผู้นี้จนบาดเจ็บ
เขายกมือขึ้นสัมผัสยังซี่โครง ที่ตอนนี้เริ่มมีของเหลวไหลโชคออกมาเป็นทางยาว
ของเหลวจากเลือดทำให้ร่างกายครึ่งท่อนล่างเขา เปรอะเปื้อนไปด้วยสีแดงฉาน ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งอย่างน่าสะอิดสะเอียน
“ไม่ใช่เจ้าเพิ่งทะลวงระดับห้า ในขั้นนักยุทธ์หรือ!” เติ้งอี้พูดด้วยความตกใจ
“ใครบอกเจ้า ว่าข้าอยู่ในขั้นนักยุทธ์ระดับห้า” หยางเสี่ยวเทียนเผยรอยยิ้มเยือกเย็น และไม่พยายามเก็บซ่อนมันอีกต่อไป กลิ่นอายพลังยุทธ์ขั้นเซียนสวรรค์ระดับห้าขั้นปลาย แผ่ทะลักออกมาปกคลุมไปทั่วร่างของเขาอย่างน่าสะพรั่งพรึง
“เซียนสวรรค์ระดับห้าขั้นปลาย!” เติ้งอี้อุทานด้วยสีหน้าซีดเผือดขณะดวงตาพลันเบิกกว้าง
หยางเสี่ยวเทียนเพิ่งเข้าศิษย์ปีหนึ่งของสำนักเสินเจี้ยน ไฉนกลายเป็นวิญญาจารย์ขั้นเซียนสวรรค์ และไม่เพียงพลังยุทธ์อยู่ในขั้นเซียนสวรรค์เท่านั้น แต่ยังเป็นระดับห้าขั้นปลายอีกด้วย
นี่ นี่ นี่เจ้า!
เติ้งอี้แทบไม่อยากเชื่อในสายตาตนเองขณะนี้
หยางเสี่ยวเทียนเพียงเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างเฉยชา “เจ้าคือเติ้งอี้ ศิษย์จากฝ่ายในใช่หรือไม่ หูซิงคงขอให้เจ้ามาสังหารข้าเช่นนั้นสิ หึ! แม้นทักษะจากเพลงกระบี่ปีศาจของเจ้าไม่เลว แต่น่าเสียดายที่เจ้าไม่เชี่ยวชาญมันมากพอ”
เมื่อครู่ เติ้งอี้ลอบสังหารเขาโดยใช้ทักษะจากเพลงกระบี่ปีศาจ ที่ฝึกฝนจนบรรลุถึงขั้นฉลาดล้ำเลิศเพียงเท่านั้น
แต่ขณะที่หลัวชิงกำลังจะลงมือ หยางเสี่ยวเทียนก็พลันยกมือขึ้นปรามเขาไว้ก่อน “ไม่ต้อง ข้าจัดการเขาเอง” เป็นเวลาอันประจวบเหมาะ ที่เขาจะได้ใช้เติ้งอี้ผู้นี้ ทดสอบกระบวนท่าใหม่ของตน
เติ้งอี้มองไปยังหยางเสี่ยวเทียนที่ยืนอยู่เบื้องหน้า เขาสูดหายใจเข้าลึก เพื่อระงับอาการความหวั่นเกรง แล้วแสร้งทำเป็นหัวเราะอย่างเย็นชา
“ฮึ ฮึ หยางเสี่ยวเทียน เจ้าซ่อนพลังได้ไม่เลว แม้ตอนนี้เจ้าจะกลายเป็นวิญญาจารย์ขั้นเซียนสวรรค์ระดับห้าขั้นปลายแล้วอย่างไร ข้าก็ไม่มีทางเชื่อ ว่าคนเช่นเจ้าจะสามารถสังหารข้า ผู้เป็นวิญญาจารย์ในขั้นเซียนสวรรค์ระดับสิบได้!”
แม้เพลงกระบี่ของหยางเสี่ยวเทียนจะอยู่ในขั้นสมบูรณ์แบบขั้นปลาย แต่ความแตกต่างระหว่างขั้นฉลาดล้ำเลิศขั้นต้นนั้น มีความต่างกันอยู่ในขั้นแยกย่อยเพียงห้าขั้น
เติ้งอี้จึงไม่เชื่อว่าหยางเสี่ยวเทียนจะสามารถเอาชนะเขาได้ ที่เขาได้รับบาดเจ็บจากหยางเสี่ยวเทียนครู่นั้น ก็เพราะความประมาทของตนเอง หาใช่ความสามารถของหยางเสี่ยวเทียนไม่
“จริงหรือ” หยางเสี่ยวเทียนกล่าวน้ำเสียงเย็นชา
ทันใดนั้น เขาก็พุ่งปราดหายวับ ก่อนจะปรากฏตัวประจันหน้าเติ้งอี้พลางให้เขาสะดุ้งสุดตัว แววตาที่มองสบกับนัยน์ตาเติ้งอี้นั้น มันต้องแสงเย็นจากจันทราส่องประกายวาว ราวดวงตาของมารร้ายมิมีผิด
กระบี่ตงเทียนปรากฏขึ้นจากมือของหยางเสี่ยวเทียน ก่อนเขาจะคว้าด้ามกระบี่ไว้แน่น
ไม่ช้า ก็แทงออกไปหาคนเบื้องหน้าทันที
เติ้งอี้เห็นเพียงฝนกระบี่หลากสีสัน
ฝนกระบี่ตกลงมาจากท้องฟ้ายามมืดมิด งดงามและดูอ่อนโยน ทำเขาเหม่อมองมันอยู่นาน
เขาไม่เคยเห็นฝนกระบี่ที่สวยงามเช่นนี้มาก่อน
หลังเผลอเรอในความสับสนเพียงช่วงสั้นๆ เติ้งอี้ถึงได้สติตอบสนอง เปลี่ยนสีหน้าไปสะพรึงด้วยตกใจ พร้อมเหวี่ยงกระบี่ยาวในมือขึ้นปัดป้องอย่างดุเดือดเหนือท้องฟ้า ปรากฏเป็นม่านกระบี่ส่งไปป้องกัน พยายามปิดกั้นฝนหลากสีสันของกระบี่เหล่านั้น
ขณะที่ความเจ็บปวดจากอาการบาดเจ็บก่อนหน้า จะทำให้กระบี่ในมือรู้สึกหนักหน่วงผิดปกติไปมาก แต่เขาก็ยังทนกัดฟัน ยกมันฟาดฟันออกไปพร้อมแหกปากร้องเสริมกำลังตนแม้สุดท้ายมันจะไร้ประโยชน์
ฝนกระบี่หลากสีสันซึ่งดูอ่อนโยนแลไม่มีอันตรายถึงตาย กลับพุ่งทะลุม่านกระบี่ด้วยความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าเขาขณะนี้ทันที จากนั้น มันก็โจมตีหาร่างกายอันบอบบางนั้นไปอย่างต่อเนื่อง
เติ้งอี้ผู้ถูกห่าฝนจากปราณกระบี่โถมกระหน่ำ ส่งให้กายเขาได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสจวนแทบหมดสติ ก่อนที่ในไม่ช้า ฝนกระบี่นั้นจะพลันหยุดลง
เสื้อผ้าอาภรณ์ที่ก่อนออกจากเมืองเสินเจี้ยนยังเคยสะอาดบริสุทธิ์ ตอนนี้กลับขาดวิ่นเต็มไปด้วยร่องรอยจากคมกระบี่เป็นรูหนาทึบทั่วกาย ไม่หลงเหลือเค้าโครงเดิมของเติ้งอี้ผู้ยิ่งใหญ่ที่ใครๆ ต่างหวาดกลัว
เลือดหยดไหลออกจากรู ทุกรูที่กระบี่ทะลวงผ่านเข้าไปอย่างน่าสยดสยอง
เติ้งอี้พยายามหายใจยื้อสังขารตนอย่างน่าเวทนา ขณะมองดูสีหน้าเรียบเฉยของหยางเสี่ยวเทียนด้วยความหวาดกลัวในดวงตาสั่นเครือ กว่าจะทันรู้ตัวว่าตนไม่คู่ควร น้ำเสียงแหบห้าวจากเติ้งอี้ก็พลางเอ่ยถามขึ้นอย่างยากลำบาก
“นี่มัน เพลงกระบี่แบบไหนกัน?”
ทักษะจากเพลงกระบี่นี้ เขาไม่เคยปรากฏเห็นจากศิษย์ผู้ใดใช้มันในสำนักมาก่อน
“เพลงกระบี่ตงเทียน” น้ำเสียงเนิบนาบจากหยางเสี่ยวเทียนเอ่ยบอก ด้วยไม่จำเป็นต้องปกปิด และถือว่าสนองต่อผลของการกระทำ ที่กล้าคิดการใหญ่มาสังหารคนอย่างเขา
เพลงกระบี่ตงเทียนงั้นหรือ…
เติ้งอี้เบิกตาตกใจ ก่อนจะพลันนึกถึงตำนานของมันในห้วงชีวิตสุดท้าย
หยางเสี่ยวเทียนดึงกระบี่ตงเทียนกลับมาไว้ในมือ แล้วหมุนตัวกลับไปหาหลัวชิง “ไปกันเถอะ”
ทั้งสองหันหลังพร้อมเดินจากไป ไม่มีคิดเหลียวมาแลสภาพอันน่าสังเวชของคนเบื้องหลังเลยแม้แต่น้อย
หยางเสี่ยวเทียนเคลื่อนตัวเดินได้ไม่กี่ก้าว เติ้งอี้ก็ล้มลงนอนทอดกายยาวไปกับพื้น พร้อมพึมพำอะไรบางอย่างกับตัวเอง แต่น้ำเสียงแผ่วเบาเกินกว่าจะส่งให้ใครได้ยินในสิ่งที่เขาพยายามพูดอย่างชัดเจน