บทที่ 111 กระบี่พิรุณหลากสี
“หาอะไรบางอย่าง เช่นนั้นหรือ!” หยางเสี่ยวเทียนประหลาดใจขณะพึมพำอย่างสงสัย
สิ่งที่เหยาติงกล่าวในท้ายประโยค ทำเขาใคร่สงสัยว่ามันกำลังมองหา และต้องการอะไร ถึงกับต้องยอมเผยตัวตนออกมาหาเขา
“ข้ากำลังมองหาสิ่งใด เจ้าจะรู้ก็ต่อเมื่อไปถึงถ้ำทัณฑ์สวรรค์” เหยาติงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
หลังได้ยินเช่นนั้น ในหัวของหยางเสี่ยวเทียนก็พลันพินิจถึงเรื่องหนึ่ง
เป็นไปได้ไหมว่า สิ่งที่เหยาติงต้องการนั้น จะเกี่ยวข้องกับถ้ำทัณฑ์สวรรค์งั้นหรือ?
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเจ้าเตาหลอมเหยาติงยืนกรานด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ว่ามันเป็นเรื่องง่ายเช่นนั้น หยางเสี่ยวเทียนก็เริ่มมีความมั่นใจที่จะสามารถพิชิตเปลวไฟอัสนีแห่งทัณฑ์สวรรค์ได้มากขึ้น
ทว่า หยางเสี่ยวเทียนกลับไม่รีบร้อนรุดหน้าไปยังป่าพระจันทร์แดงแต่อย่างใด เพราะเขายังต้องฝึกฝนเพลงกระบี่ ให้แข็งแกร่งถึงระดับหนึ่งเสียก่อน
เขาฝึกฝนเคล็ดวิชาที่ได้หยั่งรู้มาจากศิลากระบี่ทั้งสามสิบเล่มพร้อมกันในวันนี้ ตัดสินใจได้ดังนั้น เขาก็เริ่มกวัดแกว่งกระบี่ ร่ายรำกระบวนท่าออกไปเรื่อยๆ ไม่มีหยุดหย่อน จนครบทั้งสาบสิบเพลงกระบี่ซึ่งใช้เวลาไม่นานนัก
ไม่เพียงเคล็ดวิชาจากศิลากระบี่เท่านั้น แต่เขายังฝึกฝนวรยุทธขั้นเซียนสวรรค์ชั้นยอด ที่ได้จดจำมาจากหอคัมภีร์ตลอดสองวันที่ผ่านมา ไม่ช้าร่างเล็กนั้นก็เคลื่อนไหว ทั้งกระบี่ หมัดมวยและเพลงเตะ ล้วนได้รับการฝึกปรือทั้งสิ้น
เมฆาเคลื่อนย้าย สุริยันผันเปลี่ยน จันทราเวียนวน วันแล้ววันเล่า ไม่ช้าก็ผ่านไปหนึ่งเดือนเต็ม
มาบัดนี้ เพลงกระบี่จากศิลาทั้งสามสิบเล่ม ก็ได้ฝึกฝนจนบรรลุขั้นฉลาดล้ำเลิศในที่สุด
แม้กระทั่ง เคล็ดวิชาขั้นเซียนสวรรค์ชั้นยอดทั้งหมดจากหอคัมภีร์ ก็ได้ฝึกฝนจนบรรลุขั้นฉลาดล้ำเลิศเช่นกัน
ณ ลานฝึกยุทธ์ หยางเสี่ยวเทียนถือด้ามกระบี่ตงเทียนในมือพร้อมกระชับแน่น ฟาดฟันออกไปเบื้องหน้าทิ้งไว้เพียงเสียงเสียดคมตัดผ่านอากาศ ลึกแทบบาดหู
“กระบวนท่าที่หก กระบี่พิรุณหลากสี”
ทันใดนั้น ฝนปราณกระบี่ก็ปรากฏขึ้นเหนือเวหามากมายสุดคณานับในลานฝึก
กระบวนท่าที่หกของเพลงกระบี่ตงเทียนนั้น เป็นกระบี่พิรุณหลากสี ดูประหนึ่งอ่อนโยนคล้ายกับสายฝน แต่แท้จริงแล้วอันตรายถึงชีวิตมากกว่ากระบวนท่าใดๆ ก่อนหน้านี้นัก
หลังจากฝึกฝนเพลงกระบี่ตงเทียนมาได้ระยะหนึ่ง หยางเสี่ยวเทียนก็ผ่อนปรนความเร็วแล้วหยุดลงในทันทีเมื่อเห็นว่าแสงสว่างบนท้องฟ้าเริ่มมืดสลัว
จากนั้นไม่นาน หยางเสี่ยวเทียนก็บอกกล่าวกับหลัวชิงพร้อมทั้งคนอื่นๆ ว่าเขากำลังจะเข้าไปในป่าพระจันทร์แดง นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนเกิดความหวั่นใจมิใช่น้อย
“นายน้อย เหตุใดท่านถึงต้องไปที่ป่าพระจันทร์แดงกระนั้นหรือ”
ในป่าพระจันทร์แดง ล้วนเต็มไปด้วยสัตว์อสูรดุร้ายนับไม่ถ้วน และยังมีพิษกระจายคละคลุ้งทุกหนแห่ง ซึ่งนับว่าอันตรายถึงชีวิต
หยางเสี่ยวเทียนพยักหน้า แล้วบอกถึงเหตุผลที่วางแผนจะเข้าในป่าพระจันทร์แดงครานี้ ก็เพื่อออกตามล่าหาไฟศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งหากไม่พบเขาจะกลับมาในทันที
“หากท่านต้องไปที่นั่นให้ได้ เช่นนั้นพวกเราจะไปกับท่านด้วย” หลัวชิงและอัตกล่าวขึ้นโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ไฉนเลยหยางเสี่ยวเทียนจะไม่รู้ว่าทั้งสามนั้นเป็นห่วงเขามากแค่ไหน แต่หยางเสี่ยวเทียนจะให้เพียงหลัวชิงไปกับเขาคนเดียวเท่านั้น หาไม่แล้วใครจะดูแลจวนแทนเขากันเล่า
เมื่อเสี่ยวจินรู้ว่าหยางเสี่ยวเทียนกำลังจะไปที่ป่าพระจันทร์แดง มันก็วิ่งมากอดต้นขาเขาไว้แน่น ดื้นรั้นมิยอมเชื่อฟังใดๆ เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพามันติดตามไปด้วย โดยให้มันหดตัวเล็กลงแล้วใส่ไว้ในกระเป๋า
ทันทีที่ หยางเสี่ยวเทียนและหลัวชิงออกจากจวน เติ้งอี้ที่คอยเฝ้าสอดแนมอยู่ตลอด ก็รีบกลับไปรายงานเรื่องนี้ต่อหูซิงให้ได้รับทราบ
“นี่ก็วิกาลมากแล้ว หยางเสี่ยวเทียนมันคิดจะไปที่แห่งใดกัน” หูซิงรู้สึกประหลาดใจหลังได้ทราบเรื่องราว
จากนั้นพลันถามว่า “เขาพาคนติดตามไปด้วยกี่คน?”
“มีเพียงเขากับหลัวชิงเท่านั้นที่ออกจากจวน” เติ้งอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ข้าได้ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว พบว่าหลัวชิงผู้นี้ เป็นคนที่เขาซื้อมาจากตลาดค้าทาส ก่อนหน้ามันแข็งแกร่ง เป็นถึงวิญญาจารย์ขั้นราชันยุทธ์ระดับสิบขั้นปลาย แต่ตอนนี้ตันเถียนของมันนั้นแตกสลายกลายเป็นคนไร้ค่า หาได้น่ากลัวแต่อย่างใด” เติ้งอี้กล่าวเสริมพรางยิ้มเยาะ
“เจ้าแน่ใจหรือ ว่าตันเถียนของหลัวชิงแตกสลายไปแล้ว” หูซิงรีบเอ่ยถามทันที
เติ้งอี้เผยยิ้มอย่างลำพองแล้วกล่าวต่อ “หามีสิ่งใดต้องกังวล ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลในเรื่องอันใด แต่ข้าขอเอาหัวเป็นประกัน ว่าตันเถียนของหลัวชิงนั้นแตกสลายไปแล้ว”
จากนั้นเขาก็เปลี่ยนสีหน้า เผยแววตาคมกริบพร้อมปลิดสังหารชีพ ก่อนกล่าวว่า “ดูท่าแล้วพวกมันคงกำลังออกจากเมือง ครานี้สวรรค์เป็นใจให้เราแล้ว ลอบสังหารมันเลยหรือไม่”
หูซิงขมวดคิ้วอย่างลังเล เผยใบหน้าพลันวิตกหนัก มิคิดว่าโอกาสนั้นจะมาถึงเร็วขนาดนี้
เนื่องจากความตั้งใจเดิมนั้น เขาจะรอจนกว่าถึงการสอบปลายภาคเสียก่อน ครั้นถึงเวลาล่าสัตว์อสูรในป่า คราใดเห็นหน้า ครานั้นจึงจะลงมือสังหารทันที
“ศิษย์พี่หู อย่าได้คิดลังเลอีกเลย ยิ่งเจ้าเก็บหยางเสี่ยวเทียนไว้นานเท่าไร เจ้าก็จะยิ่งประสบปัญหามากขึ้นเท่านั้น” เติ้งอี้กล่าวโน้มน้าวให้สังหาร หลังได้เห็นใบหน้าหูซิงที่พินิจลังเล
“นี่นับเป็นโอกาสที่หายาก เราต้องกำจัดเขาโดยเร็วที่สุด” น้ำเสียงเย็นชาไร้ปรานี
“เช่นนั้นก็จัดการเสีย!” หูซิงพึมพำกับเติ้งอี้ที่ยืนอยู่เบื้องหลัง
“ข้าจะไม่กังวลเลย หากคนอื่นเป็นผู้ลงมือ” แล้วหันเพียงหน้า มองมายังคนเบื้องหลังด้วยสีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อย ขณะที่สายตาเติ้งอี้กลับไร้ซึ่งความเกรงกลัวใดๆ
“แต่ในเมื่อเจ้าขันอาสา”
แล้วย้ำวาจาอย่างชัดทุกถ้อยคำว่า “เช่นนั้นก็อย่าได้ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้”
หูซิงกล่าวเตือนเรื่องสำคัญอีกครั้ง “นำร่างของพวกมันทั้งสอง โยนทิ้งไว้ในป่า ที่เหลือก็ปล่อยให้สัตว์อสูรกำจัดมันจนสิ้นซาก”
“ตกลงตามนั้น ค่าจะสังหารมันอย่างเงียบเชียบที่สุด” เติ้งอี้แสยะยิ้มพร้อมตบปากรับคำ ไม่ทันไรก็หันหลังจากไปทันที
อีกด้านหนึ่งหลังจากนั้นไม่นาน หยางเสี่ยวเทียนและผู้ติดตามของเขาหลัวชิง ก็สังเกตเห็นพร้อมรับรู้ทันทีว่ามีผู้แฝงเร้นกายในเงามืดคอยติดตามพวกเขาอยู่ห่างๆ แต่สีหน้าของหยางเสี่ยวเทียนกลับยังคงนิ่งเฉย ขณะที่หลัวชิงเริ่มส่งสายตาเป็นสัญญาณบอกกล่าว
“มิต้องสนใจ” หยางเสี่ยวเทียนส่ายหัวพลางบอกอย่างแผ่วเบา
หลังออกจากเมืองเสินเจี้ยนแล้ว หยางเสี่ยวเทียนและหลัวชิง ก็ค่อยๆ เดินลัดเลาะไปตามถนนบนภูเขา
เบื้องหลังในเงามืดข้างต้นไม้ ปรากฏร่างหนึ่งที่แฝงอยู่ พร้อมในมือกำด้ามกระบี่กระชับแน่น มิใช่ผู้ใดอื่นนั่นคือเติ้งอี้ ครั้นเห็นหยางเสี่ยวเทียนเดินอยู่ตามถนนบนภูเขา มุมปากก็พลางเหยียดยิ้มอย่างเย็นชา แววตาวาวราวกับสัตว์ร้ายมิมีผิด
แม้นตอนนี้เขาจะยังมิอาจลงมือ เนื่องจากยังไม่ห่างจากตัวเมืองมากนัก แต่คงอีกไม่นานเกินรอหยางเสี่ยวเทียนก็จะหลงเหลือเพียงชื่อให้จดจำ
แต่หลังจากเดินไปได้สักพัก ร่างของเติ้งอี้ก็สั่นเทาด้วยกระหายสังหาร ที่สุด ความอดทนก็ถึงขีดจำกัดเนื่องจากชังน้ำหน้านัก พร้อมกับพุ่งตัวออกมาชี้ปลายกระบี่ในมือ หมายแทงเข้ากลางลำตัวของหยางเสี่ยวเทียนให้ดับดิ้นในคราเดียว