ตอนที่5
“อย่ามาสอนฉัน” ทับทิมไม่เอ่ยขอโทษสายทองแถมยังแสยะปากใส่ผ้าแพรอย่างรังเกียจ
“ฉันไม่ได้สอนนะคะฉันแค่บอกเรื่องที่ครอบครัวของคุณก็น่าจะเคยสอนมาแล้วเกี่ยวกับมารยาท” คราแรกภูผาต่อว่าทับทิมแต่ตอนนี้กลับยืนยิ้มที่ผ้าแพรได้เอ่ยออกไปหมดแล้วแม้คำพูดจะดูนิ่มๆแต่ก็เจ็บแสบไม่เบา
“ไปเถอะตาภูปล่อยให้แม่นี่ยืนบ้าอยู่คนเดียว” สายทองรีบพาหลานชายของเธอและทุกคนกลับขึ้นไปบนเรือนก่อนที่จะเลยฤกษ์เข้าหอ
“ถ้าเธอตามมาฉันจะบอกให้ลุงๆที่อยู่วงเหล้านั่นมาขอลายเซ็นเธอ” เพียงฟ้าเอ่ยขู่ทับทิมก่อนที่จะชี้ไปทางวงเหล้าที่มีชายวัยกลางคนหลายคนนั่งล้อมวงกันอยู่ในสวน
“หึ้ย..อย่าให้ถึงทีฉันบ้างแล้วกัน” ทับทิมยืนกำมือแน่นครู่หนึ่งก่อนจะขับรถที่เช่ามาออกไปอย่างรวดเร็ว
“นี่ยังไม่ทันเสร็จพิธีก็มีเรื่องผู้หญิงแล้วฉันจะไว้ใจหลานฉันให้ไปอยู่กับพวกคุณได้หรือเปล่า” พิกุลนั่งบ่นอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไรนักกับโสพิศและสายทองหากไม่ใช่เพราะหลานเธอท้องเธอยกเลิกงานแต่งนี้แน่นอน
“ฉันขอโทษแทนหลานฉันด้วยนะยังไงฉันรับรองว่าหลังจากนี้จะไม่มีเรื่องแบบนี้อีกแน่นอน” สายทองรับปากกับพิกุลว่าเธอจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกแน่นอนเพราะเธอเองก็ไม่คาดคิดเหมือนกันว่าแม่ผู้หญิงของภูผานั้นจะร้ายขนาดนี้หลังจากนี้เธอคงต้องกำชับให้หลานเธอเลิกอย่างเด็ดขาดแล้ว
“ฉันขอโทษนะคะที่ฉันเป็นต้นเหตุทำให้คุณทะเลาะกับผู้หญิงของคุณ” ผ้าแพรอยู่กับภูผาสองต่อสองในห้องหอเธอเหลือบมองชายหนุ่มจากด้านหลังของเขาในขณะที่เขายืนกอดอกมองออกไปนอกหน้าต่างและเอ่ยออกมาอย่างรู้สึกผิด
“อะไรนะ นี่ฉันคิดว่าเธอจะโกรธฉันซะอีกนะเนี่ย” ภูผาขมวดคิ้วหันกลับหลังมามองหญิงสาวที่นั่งก้มหน้าอยู่บนเตียงที่เขายืนมองไปนอกหน้าต่างเพื่อทำสมาธิให้ใจเย็นก่อนที่จะถูกหญิงสาวต่อว่าเขาเสียอีก
“ฉันจะโกรธคุณเรื่องอะไรล่ะคะ” คนที่นั่งอยู่ปลายเตียงหันมาส่ายหัวเธอไม่ได้โกรธอะไรเขาเลยหนำซ้ำยังกลัวว่าเขาจะต่อว่าเธอที่เป็นต้นเหตุทำให้ทะเลาะกับผู้หญิงของเขาด้วยซ้ำ
“เปล่าๆ” ภูผารู้สึกว่าผ้าแพรจะแตกต่างจากผู้หญิงคนอื่นที่เขาได้รู้จักเธอเหมือนเป็นคนที่ไม่ค่อยคิดถึงตัวเองเท่าไรนักกลับห่วงแต่ความรู้สึกคนอื่น
“คุณหิวหรือเปล่าคะ” ผ้าแพรเดินเข้าไปเปิดกล่องหวายสานขนาดไม่ใหญ่มากนักใต้เตียงของเธอพร้อมค่อยๆยกออกมา
“นิดหน่อย” ภูผามองหญิงสาวด้วยอาการแปลกใจว่าเธอกำลังทำอะไรที่ใต้เตียง
“นี่ขนมฉันแอบยายกับน้าพิมเอามาไว้ในห้องค่ะเพราะรู้ว่าคุณจะต้องหิวบ้างทานสิคะ” หญิงสาวค่อยๆวางกล่องที่โต๊ะตั้งโคมไฟข้างหัวเตียงและเปิดกล่องหยิบของด้านในออกมาให้ชายหนุ่มในมือของเธอเป็นกล่องพลาสติกใบใหญ่ที่ในนั้นมีทั้งขนมหวานและแซนวิซเธอตั้งใจเก็บเอาไว้เพราะรู้ว่าภูผาคงจะหิวแน่นอน
“เธอแอบเอาไว้เหรอ” ภูผารับกล่องอาหารจากหญิงสาวทั้งยิ้มอ่อนด้วยอารมณ์ขันเล็กน้อยไม่คิดว่าเธอจะแอบอาหารเอาไว้ให้เขาด้วย
“ค่ะเพราะถ้าไม่แอบจะถูกยายกับน้าพิมดุค่ะเพราะขนมพวกนี้จะทำให้มดขึ้นห้องนอนของฉัน” ผ้าแพรพยักหน้าเบาๆทั้งรีบสูดหายใจเข้าลึกๆเพราะเธอรู้สึกว่าหน้ามืดกะทันหัน
“เธอนี่ก็แปลกดีนะ ยังไงก็ขอบใจ.. นี่เธอเป็นอะไร” ภูผาขอบคุณหญิงสาวที่ยังมีกะใจห่วงเขาทั้งรีบวงกล่องอาหารในมือประคองร่างบางเอาไว้เมื่อเห็นเธอท่าจะไม่ค่อยดี
“เอ่อ เวียนหัวนิดหน่อยค่ะไม่เป็นอะไรมาก” ผ้าแพรรีบหยิบหลอดยาดมที่พกติดตัวมาสูดดมให้สดชื่นอาการนี้คงเป็นเพราะเธอไม่ได้ทานอะไรแถมชุดไทยที่เธอใส่ก็ยังค่อนข้างแน่นอีกด้วย
“ทานอะไรบ้างหรือยัง” สีหน้าของภูผาเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่ค่ะ”
“ทานนี่ซะลูกฉันอยู่ในท้องเธอทานอาหารให้ตรงเวลาหน่อยสิ” มือหนาเอื้อมหยิบแซนวิชในกล่องยื่นให้หญิงสาวได้ทาน
“ปกติฉันก็ทานตรงเวลาค่ะเพียงแต่ว่าเวลาทานแล้วจะอาเจียนวันนี้ฉันกลัวเสียงานก็เลยไม่ได้ทานอะไรค่ะ” ผ้าแพรหยิบแซนวิชในมือภูผากัดไปคำโตเพราะเธอก็หิวเช่นกันเมื่อเช้าพิมพรรณจัดอาหารเอาไว้ให้เธอได้ทานรองท้องแล้วแต่เธอไม่อยากทานเพราะกลัวว่าจะอาเจียนออกมา
“รู้ตัวรึเปล่าว่าตัวเองเป็นคนพูดมาก” ภูผาหยิบกล่องอาหารมาไว้ในมือเขาหยิบแซนวิชอีกชิ้นขึ้นมาทานกันอยู่สองคนที่ปลายเตียงแถมอดจะพูดถึงเรื่องที่หญิงสาวเป็นคนที่พูดมากไม่ได้เขาถามคำเธอก็อธิบายเสียยาวไม่รู้เธอจะเป็นแบบนี้กับทุกคนหรือเปล่ากันหากเป็นจะไม่มีใครบ่นรำคาญเธอบ้างหรืออย่างไร
“น้าพิมบอกว่าฉันไม่ใช่พูดมากแต่ว่าฉันชอบอธิบายให้มันละเอียดมากกว่าค่ะแต่คุณฟ้าบอกว่าฉันพูดน่ารักดีค่ะคุณฟ้าชอบแล้วก็..พ..” เมื่อถูกถามมาสาวเจ้าที่นั่งกัดแซนวิชคำโตก็รีบกลืนลงคอแล้วรีบอธิบายให้คนที่นั่งข้างๆได้ฟังว่ามีในการพูดมากของเธอนั้นคนอื่นๆบอกกับเธอมาว่าอย่างไร
“พอๆฉันเข้าใจแล้ว” ภูผาจำต้องปรามหญิงสาวเอาไว้ก่อนไม่อย่างนั้นเธอคงอธิบายยาวไม่จบแน่
เย็นของวัน
วันนี้พิมพรรณตั้งใจทำอาหารเย็นไว้หลายอย่างนอกเหนือจากอาหารที่เหลือจากงานเมื่อเช้าเพื่อที่จะมีอาหารหลากหลายไว้ให้หลานเขยหมาดๆของเธอได้เลือกทานเสียดายหากสายทองและโสพิศไม่มีธุระต้องกลับกรุงเทพก่อนคงจะได้ชิมฝีมือของเธอ
ตอนนี้ทั้งสี่มารวมกันที่โต๊ะอาหารในช่วงเย็นโดยมีผ้าแพรเป็นคนจัดแจงตักข้าวใส่จานให้กับทุกคนอาหารหลากหลายวางเรียงรายบนโต๊ะทำเอาภูผาเลือกที่จะทานไม่ถูกกันเลยทีเดียว
“ทานให้เต็มที่เลยนะคะคุณภู” พิมพรรณเห็นทีภูผาที่นั่งข้างเธอจะเอาแต่จ้องอาหารบนโต๊ะไม่ทานเสียทีเธอจึงเอ่ยให้เขาทานให้เต็มที่ตามสบายจะได้ไม่เกร็ง
“ครับน้าพิม” ภูผายิ้มอ่อนเขาไม่ใช่ไม่อยากทานแต่ไม่รู้ว่าจะทานอะไรก่อนเหมือนกัน
“ขาดเหลืออะไรก็บอกหนูแพรก็แล้วกัน” พิกุลรู้ดีว่าการมาอยู่บ้านอื่นโดยที่ไม่คุ้นหากมีอะไรที่ขาดเหลือชายหนุ่มคงจะไม่กล้าบอกเธอตรงๆจึงให้เอ่ยผ่านผ้าแพรเพื่อที่จะได้ไม่ต้องนึกเกรงใจอะไรมากนัก
“ครับคุณยาย” ภูผาพยักหน้ารับเขาค่อนข้างโล่งใจที่วันนี้คนในบ้านดูจะคุยดีกับเขามากต่างจากวันแรกที่เขามา
“วันนี้มีของโปรดยายของแพรด้วยนี่นา” ผ้าแพรตักแกงกะทิเห็ดเผาะชะอมให้กับยายของเธอเพราะรู้ว่าเป็นของโปรดเมื่อตักเสร็จก็ถูหัวทุยกับแขนของยายเธอเบาๆปานลูกแมวน้อยแสนขี้อ้อน
“อ้อนอีกแล้วจะเอาอะไรอีกล่ะ” พิกุลยกมือลูบหัวหลานเธอเบาๆมาอาการนี้เธอรู้ได้ทันทีว่าหลานสาวต้องมีอะไรจะอ้อนเธออีกแน่
“เปล่าค่ะอีกหน่อยแพรก็ไม่ค่อยได้อ้อนยายแล้ว” ผ้าแพรกอดแขนยายของเธอสาวเจ้าก้มหน้างุดเล็กน้อยทั้งบุ้ยปากบ่นอู้อี้เพราะรู้ดีว่าเธอคงจะได้อยู่ที่นี่อีกสองสามวันเท่านั้นเพราะจะต้องย้ายไปอยู่ที่กรุงเทพกับภูผาดั่งคำที่ยายของเธอและย่าของภูผาได้ตกลงกันเอาไว้
“อืม...ก็เราน่ะโตมีครอบครัวแล้วจะอ้อนยายไปตลอดก็ไม่ได้อยู่แล้ว” พิกุลเอ่ยด้วยรอยยิ้มแต่แววตาของเธอนั้นไหววูบเล็กน้อยจนพิมพรรณและภูผาที่นั่งตรงข้ามเห็นได้ชัดและรู้ดีว่าพิกุลนั้นคงใจเสียไม่น้อยที่หลานรักคนเดียวนั้นจะผละจากอ้อมอกไป
“ว่ามีแต่ของโปรดยายสังขยาฟักทองของโปรดใครบางคนก็มีนะอยู่ในครัว” พิมพรรณเอ่ยบอกกับผ้าแพรเพราะรู้ดีว่านี่คือของโปรดหลานเธอจึงเร่งมือทำเมื่อช่วงบ่าย
“เหรอคะน้าพิมเดี๋ยวแพรจะไปเอามาเดี๋ยวนี้” แมวน้อยขี้อ่อนที่เกาะอยู่กับขนของยายตาโพรงเมื่อได้รู้ว่าวันนี้มีของโปรดที่ไม่ได้ทานมานานซ้ำยังเป็นฝีมือของพิมพรรณที่ทำได้หวานถึงใจตนก็รีบลุกออกจากเก้าอี้หมายจะไปยกมาทานทันที
“เดี๋ยวก่อนเรายังไม่ได้ทานข้าวเลยนะ” พิมพรรณต้องปรามหลานเธอเอาไว้เมื่อเห็นว่ายังไม่ได้ทานข้าวก็จะทานของหวานเสียแล้ว
“อืม..ก็ได้ค่ะ” จากหน้าบานกลายเป็นหน้างอยทันทีเมื่อถูกห้ามให้ไปเอาของโปรด
“รีบบอกทำไมล่ะแม่พิมเดี๋ยวก็ทานข้าวอย่างกับแมวดมขยักกระเพาะไว้ให้ขนมหวาน” พิกุลมองหน้าหลานของเธอที่กำลังหย่อนก้นนั่งที่เก้าอี้ข้างเธอตามเดิมด้วยสีหน้าหงอยๆ