ตอนที่2 ความจำเสื่อม
"คุณ!!"
แพรวพิลาสหันมาหาหญิงสาวที่สาดน้ำใส่เธอก็จำได้ทันทีว่าเธอคือนาถลดาภรรยาของอติรุจที่บุกไปถึงสิงคโปร์เพื่ออาละวาดเธอวันนั้นเสียงด่าทอของนาถลดาทำเอาแพรวพิลาสตัวสั่นเล็กน้อยเธอไม่ได้ผิดตามที่หญิงสาวกล่าวหาก็จริงแต่เธออายคนในนี้อย่างมากจนแทบจะร้องให้
"เอาผัวฉันไปกกไว้ไหนบอกมาเดี๋ยวนี้นะ"
นาถลดารีบเข้ามาบีบไหล่แพรวพิลาสอย่างโมโหเพราะตอนนี้สามีของเธอหายไปตั้งแต่เธอไปอาละวาดวันนั้น
"ฉันไม่ได้ติดต่อกับสามีคุณแล้วนะคะแล้วฉันก็ไม่รู้ว่าเค้าอยู่ไหนด้วย"
แพรวพิลาสตอบด้วยน้ำตา
"โกหก...อีหน้าด้านเอาผัวฉันคืนมานะ.."
เมื่อได้ยินคำตอบดังนั้นนาถลดาจึงโมโหและโวยวายดังกว่าเดิมจนพราวพิไลใช้แรงทั้งหมดกระชากนาถลดาลงไปกองกับพื้น
"นี่หยุดเดี๋ยวนี้นะไปตามหาผัวเธอที่อื่นที่นี่ไม่มีผัวเธอแล้วก็กรุณาคุมผัวตัวเองให้อยู่อย่าให้มายุ่งกับพี่สาวฉัน"
พราวพิไลตะคอกใส่นาถลดาอย่างโมโห
"หื้มม.."
นาถลดาลุกจากพื้นเงื้อมมือหมายจะฟาดไปที่หน้าของพราวพิไลแต่ก็ต้องหยุดชะงักเพราะพราวพิไลตั้งท่าสู้อย่างไม่มีท่าทีจะยอม
"เข้ามาสิ..ต่อยปากแตกแน่ไปค่ะพี่แพรว"
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มไม่กล้าพราวพิไลจึงรีบพาพี่สาวของเธอออกไปจากที่นี่ทันที
ทางด้านในร้าน
"หืม...เห็นหน้าตาสวยใสซื่อๆแบบนี้ล่ะค่ะตัวดีชอบแอบฉกสามีชาวบ้าน"
เกวลินนั่งมองสถานการณ์จนจบเธอก็ฟันธงเอาเองว่าแพรวพิไลเป็นคนผิดจริง
"รู้ได้ไงว่าเค้าเป็นชู้กับสามีผู้หญิงคนนั้นจริง"
ธรัฐไม่ค่อยใส่ใจกับเหตุการณ์เท่าไรแต่ก็เห็นหน้าทุกคนชัดเจน
"ผู้หญิงถ้าไม่เหลืออดคงไม่มาอาละวาดให้อายคนอื่นแบบนี้หรอกค่ะแล้วแม่นั่นก็ดูจะกลัวจริงท่าจะผิดจริงๆนั่นแหละค่ะ"
"งั้นเหรอ"
ธรัฐลองคิดตามที่เกวลินพูดมันก็มีส่วนจริงเหมือนกันเพราะผู้หญิงที่เขาเจอมาก็มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวกันทั้งนั้นดีที่เขายังพอรู้ทันบ้างเพราะก็ได้ขึ้นชื่อว่าเสือผู้หญิงเหมือนกัน
"ค่ะ..อย่าไปสนใจเลยค่ะทานต่อเถอะค่ะ"
บ้านวัฒนคีริน
20.00 น.
"อะไรนะคะให้แกล้งเป็นภรรยากับช่วยงานที่ธนาคาร"
พราพิไลกับแพรวพิลาสกลับมาถึงบ้านก็ต้องมีเรื่องให้น่าตกใจต่อกับเรื่องที่แม่ของเธอขอร้องให้เธอกับพี่สาวของเธอช่วยครอบครัวของผู้มีพระคุณ
"อันที่จริงคุณป้าเราเค้าก็ไม่ได้บังคับหรอกนะเพียงแต่แม่เห็นว่าเราสองคนน่าจะตอบแทนอะไรคุณป้าเค้าบ้างเค้าทั้งส่งเราสองคนเรียนทั้งยังช่วยให้บ้านหลังนี้ไม่ถูกยึดอีก"
พิศมัยเองก็พูดออกมาด้วยความลำบากใจเล็กน้อยเรื่องช่วยงานมันก็ยังโอเคอยู่แต่เรื่องเป็นภรรยาจำเป็นเธอไม่แน่ใจว่าลูกเธอคนไหนจะพร้อมใจทำที่สุด
"แพรวพร้อมช่วยค่ะคุณแม่จะให้พราวเลือกทางไหนบอกมาได้เลยนะคะ"
แพรวพิลาสไม่ได้ลำบากใจเลยสักนิดเพียงแค่ให้แม่เธอตัดสินใจมาว่าอยากให้เธอทำอะไรเธอก็พร้อมจะทำ
ครู่ต่อมา
"เฮ้อ...เอาเป็นว่าพราวไปที่ไร่เองค่ะพราวว่าพราวทำได้"
ทั้งสามนั่งเงียบกันอยู่ครู่หนึ่งและก็ได้คำตองจากพราวพิไลว่าเธอพร้อมที่จะไปอยู่ที่ไร่เพราะเธอคิดดีแล้วว่าเธอน่าจะรับมือกับเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีและอีกอย่างพี่สาวเธอก็ถนัดงานในธนาคารมากกว่าเธอจึงคิดว่าเธอเลือกแบบนี้มันดีที่สุดแล้ว
"แน่ใจดีแล้วใช่ไหมลูก"
พิศมัยถามพราวพิไลอีกครั้ง
"ค่ะให้พี่แพรวทำงานที่ธนาคารจะดีกว่าค่ะเพราะพี่แพรวเก่งเรื่องตัวเลข"
"งั้นตกลงตามนี้นะแม่จะได้บอกคุณป้าเราเลย"
"ค่ะ"
ในเมื่อลูกสาวของเธอทั้งสองตกลงกันลงตัวอย่างเต็มใจพิศมัยเองก็โล่งใจและรีบส่งข่าวบอกกับหทัยรัตน์ทันที
วันต่อมา
เชียงใหม่
ไร่ศังกร
ไร่ศังกรเป็นไร่ที่มีอาณาเขตกว้างขวางและยากที่คนนอกจะเข้ามาง่ายๆเป็นมรดกตกทอดมาตั้งแต่รุ่นปู่ของหิรัญและที่นี่ยังเป็นพื้นที่การเกษตรที่ปลูกหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นพืชผักผลไม้รวมไปถึงแปลงดอกไม้อีกหลายแปลงที่แบ่งเป็นโซนๆแล้วแต่พื้นที่ว่าครงไหนเหมาะที่จะลงอะไรและยังมีการเลี้ยงสัตว์ทั้งแพะแกะโคนมโคเนื้อและหมูที่ยังคงความเป็นธรรมชาติเอาไว้มากๆไร้สารเคมีเพราะทำเกษตรอินทรี
หลังจากที่หิรัญรักษาตัวอยู่สองเดือนเต็มอาการของเขาก็ดีขึ้นอย่างมากผิดกับวันแรกที่มาโรงพยาบาลสภาพเนื้อตัวไม่มีชิ้นดีแทบจะหักทุกส่วนเลยด้วยซ้ำหลังจากที่ชายหนุ่มฟื้นขึ้นมาในสองอาทิตย์หลังจากที่สลบไปทำให้ทุกคนได้รู้ว่าหิรัญได้ความจำเสื่อมน่าจะหายไปประมาณสี่ห้าปีได้เพราะไม่รู้แม้กระทั่งว่าตัวเองมีแฟนและมาบริหารที่ไร่ศังกรแล้ว
เรือนศังกร
เรือนศังกรเป็นเรือนไม้ศักชั้นเดียวยกพื้นไม่สูงมากบันไดสามขั้นที่มีอายุหลายปีมาแล้วตั้งแต่รุ่นที่ปู่ของหิรัญนั้นใช้ชีวิตอยู่มีการปรับปรุงภายในใหม่ทั้งหมดให้เป็นสไตล์โมเดิร์นและมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครันโดยปล่อยให้ตัวบ้านด้านนอกยังเป็นรูปแบบเดิมรอบอาณาเขตบ้านก็จะเป็นสนามหญ้าและมีการปลูกพืชผักสวนครัวรวมไปถึงดอกไม้แปลงเล็กๆไว้ใกล้ๆมองยังไงบ้านหลังนี้ก็เป็นสวรรค์ของคนรักสันโดษได้อย่างดีเลยทีเดียว
"ยินดีต้อนรับค่ะคุณหนู"
อุ่นเรือนแม่นมของหิรัญเลี้ยงหิรัญมาตั้งแต่ยังแบเบาะอายุ64ปีแล้วแต่เธอยังดูแข็งแรงอยู่มากเมื่อหิรัญตัดสินใจมาอยู่ที่ไร่อุ่นเรือนเลยขอตามมาดูแลคุณหนูของเธอที่นี่วันนี้อุ่นเรือนยิ้มกว้างได้อย่างไม่ต้องฝืนเมื่อเห็นคุณหนูของเธอหายดีเกือบร้อยเปอร์เซ็นแล้ว
"นี่ผมกับนมย้ายมาอยู่ที่นี่นานหรือยังครับคุณแม่"
หิรัญเห็นแม่นมของเขาก็รีบเข้าไปโผกอดอย่างที่เคยทำประจำตั้งแต่เด็กๆทั้งหันมาถามคน้ป็นแม่ว่าเขาและแม่นมนั้นย้านมาอยู่ที่นี่เป็นเวลาเท่าไร
"ก็เป็นปีแล้วล่ะจ่ะ"
"คุณพ่อยอมให้ผมมาอยู่ดูแลที่นี่ได้ยังไงครับ"
หิรัญถามคนเป็นแม่ด้วยสีหน้าสงสัย
"ก็ตารัฐรับปากว่าจะดูแลทุกอย่างเองพ่อเราก็เลยยอม"
"อ๋อ...งั้นเหรอครับ"
"เข้าบ้านกันก่อนเถอะค่ะคุณหนูดูท่าฝนจะตกลงมาอีกแล้วค่ะ"
อุ่นเรือนเห็นทีว่าฟ้าครึ้มลมมาแรงเธอจึงชวนทั้งสองเข้าไปคุยด้านในบ้านกันจะดีกว่า
ห้องนั่งเล่น
"วันนี้นอนคนเดียวไปก่อนนะเดี๋ยวพรุ่งนี้ภรรยาของเราก็มาที่นี่แล้ว"
หิรัญและหทัยรัตน์เข้ามานั่งคุยกันที่โซฟาในห้องนั่งเล่นของบ้านที่อยู่หัวมุมติดกับระเบียงที่กั้นเป็นกระจก
"ภ..ภรรยา.."
หิรัญถึงกับหน้าชาผงะเล็กน้อยกับคำพูดของแม่เขาที่พูดออกมาเมื่อครู่