บทที่ 106 ละทิ้งความคิดนี้เสีย
“ผู้อาวุโสเฉิน เป็นความจริงงั้นรึ” หลินหยงรู้สึกราวกับมีความสุขตกลงมาจากฟากฟ้า
วิญญาณยุทธ์หยางเสี่ยวเทียนไม่เพียงมิใช่ระดับสองเท่านั้น แต่ยังเป็นวิญญาณยุทธ์คู่ขั้นสูงอีกต่างหาก!
อันหนึ่งขั้นสูงระดับสิบเอ็ด และอีกอันคือขั้นสูงสุดของระดับสิบเอ็ดเช่นกัน!
เฉินหยวนผู้คาดหวังในตัวหยางเสี่ยวเทียนมาตลอด ตอนนี้ก็ตื่นเต้นแลดูสำราญไม่น้อยไปกว่าหลินหยงเลย
“เป็นความจริง!” เฉินฉางชิงตอบน้ำเสียงหนักแน่น
ครั้นเฉินฉางชิงเห็นหลินหยงและเฉินหยวนมีสีหน้าประหลาดใจแฝงฉงนราวใคร่กระจ่างอีก จึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มิใช่ว่าวิญญาณยุทธ์เต่ายักษ์จะอยู่ในระดับสองเสียทั้งหมด แต่วิญญาณยุทธ์เช่นเต่าสมุทรนิลกาฬนั้นหาพบได้ยากยิ่ง”
“ทั่วทั้งโลกแห่งวิญญาจารย์ ข้าเกรงว่าอัจฉริยะตัวน้อยเท่านั้นที่มีมัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเจ้าจะไม่รู้จักมันก็เท่านั้นเอง” เขากล่าวเสริม
จากนั้นหยุดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ข้าจำได้ว่าเมื่อพันกว่าปีก่อนนั้น มีวิญญาจารย์ผู้มีวิญญาณยุทธ์เป็นเต่าสมุทรนิลกาฬอยู่คนหนึ่ง”
“อย่างไรก็ตาม เขามิได้มีพื้นเพมาจากอาณาจักรมังกรศักดิ์สิทธ์ แต่เป็นวิญญาจารย์จากอาณาจักรอื่น” เขากล่าวเสริม
ขณะที่เหล่าผู้อาวุโสต่างสนทนากันด้วยอารมณ์อันหลากหลาย ทั้งแปลกใจ ปลื้มปิติแลมีความสุข การแสดงออกของหยางเสี่ยวเทียนกลับยังคงเหมือนเดิมหลังได้ยินสิ่งนี้
เพราะเขาเป็นเพียงคนเดียวที่รู้ว่าวิญญาณยุทธ์ของตน มิใช่วิญญาณยุทธ์ขั้นสูงระดับสิบเอ็ด แต่เป็นวิญญาณยุทธ์ขั้นสูงสุดระดับสิบสี่
“ตั้งแต่บัดนี้สืบไป เสี่ยวเทียนถือเป็นผู้สืบทอดของตำหนักกระบี่แห่งนี้” เฉินฉางชิงประกาศเรื่องนี้ต่อหลินหยงและเฉินหยวน ทั้งคู่พยักหน้าเห็นด้วยอย่างมิมีติดขัด พร้อมจะยินดีเสียด้วยซ้ำ
“เขามีสิทธิเข้าออกตำหนักกระบี่ได้อย่างอิสระนับแต่บัดนี้” เฉินฉางชิงกล่าวเสริม
จากนั้นเขาก็ก้มลงมาหาหยางเสี่ยวเทียน แล้วกล่าวกับด้วยรอยยิ้ม “ลูกเอ๋ย หากเจ้ามีความสงสัยใคร่อยากถามเกี่ยวกับเพลงกระบี่ ก็สามารถมาหาพวกเราได้ทุกเมื่อเชื่อวันเข้าใจใช่หรือไม่”
หยางเสี่ยวเทียนพยักหน้าและกล่าวว่า “ผู้อาวุโสเฉิน จริงๆ แล้ว วันนี้ข้ามีเพียงคำถามเดียวที่ต้องการถามท่าน”
“โอ้” เฉินฉางชิงแค่นหัวร่ออย่างเอ็นดูแล้วยิ้ม “ไม่ว่าเป็นคำถามใดที่เจ้าสงสัย หากข้าตอบได้ จะช่วยเจ้าไขให้กระจ่าง”
เมื่อหยางเสี่ยวเทียนได้ยินดังนั้น จึงมิคิดเกรงใจอีก “ข้าเคยได้ยินว่าท่าน เป็นผู้รู้เกี่ยวกับไฟศักดิ์สิทธิ์มากที่สุดในอาณาจักรเสินไห่ เช่นนั้นแล้วท่านรู้หรือไม่ว่าไฟศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ใด?”
ทันทีที่คำถามนั้นถูกพ่นออกจากปากเด็กน้อยเบื้องหน้า ทำเอาบรรดาผู้อาวุโสที่ยืนอยู่รอบข้างถึงกับสะดุ้งเฮือก ด้วยประหลาดใจในคำถาม ซึ่งไม่น่าออกจากปากของเด็กอายุเพียงแปดขวบ
เดิมทีนั้น ทุกคนล้วนคิดว่าหยางเสี่ยวเทียนต้องการถามเกี่ยวกับเพลงกระบี่ แต่ไม่คาดว่าจะถามเกี่ยวกับไฟศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้
เฉินฉางชิงลังเลอยู่ครู่ แล้วกล่าวว่า “ตัวข้านั้นพอรู้ว่าไฟศักดิ์สิทธิ์อยู่หนใด เพียงแต่สถานที่นั้นกลับอันตรายยิ่งนัก”
จากนั้นเขาหันกล่าวกับหยางเสี่ยวเทียนอย่างจริงจัง “บุตรข้าเอ๋ย แม้นไฟศักดิ์สิทธิ์จะมีพลังมหาศาลเกินจินตนาการนัก แต่พลังของมันมิอาจคาดเดา แลไม่มีผู้ใดสามารถพิชิตมันได้”
“เจ้าควรละทิ้งความคิดนี้เสียดีกว่า”
หยางเสี่ยวเทียน ครุ่นคิดและกล่าวว่า “หากข้าไม่ล้มเลิกความคิดนี้ ท่านช่วยบอกข้าได้หรือไม่”
เมื่อเห็นว่าหยางเสี่ยวเทียนยังคงปฏิเสธ ดื้อรั้นมิคิดยอมแพ้ เฉินฉางชิงจึงกล่าวพึมพำออกมา “เช่นนั้นเอาอย่างนี้ดีหรือไม่ หากเจ้าหยั่งรู้ศิลากระบี่ได้ถึงสามสิบเล่มในหนึ่งเดือน ข้าจะบอกตำแหน่งของไฟศักดิ์สิทธิ์ให้เจ้าทราบ โดยไม่คิดปิดบังแต่อย่างใด”
ในการหยั่งรู้ศิลากระบี่นั้น ยิ่งจำนวนเพิ่มมากเท่าไหร่ก็ยิ่งหยั่งรู้ได้ยากขึ้นเท่านั้น
แม้หยางเสี่ยวเทียนจะสามารถหยั่งรู้ศิลากระบี่เจ็ดเล่มได้ในวันเดียว แต่ก็ยังไม่ทราบว่าเขาจะหยั่งรู้ศิลากระบี่สามสิบเล่มในหนึ่งเดือนได้หรือไม่
เขามิได้มีเจตนาจะทำให้หยางเสี่ยวเทียนอับอายแต่อย่างใด เพียงไม่อยากให้เขาเอาตัวเข้าไปเสี่ยงก็เท่านั้นเอง
นั่นเพราะ สำนักเสินเจี้ยนเพิ่งปรากฏมีอัจฉริยะนักกระบี่เช่นนี้ขึ้นมาในรอบหลายร้อยปี เขาจึงไม่อยากให้หยางเสี่ยวเทียนต้องจบชีวิตด้วยเหตุฉะนี้
“ผู้น้อยรับทราบ และยอมรับในเงื่อนไขนั้น!” หลังจากได้ยินสิ่งนี้ หยางเสี่ยวเทียนจึงตบปากรับคำไปทันที
เฉินฉางชิงมองยังหยางเสี่ยวเทียน ที่มีแววตาสดใสเต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นเบื้องหน้าเขา
จู่ๆ ก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาเพราะนึกได้ว่า เวลาหนึ่งเดือนสำหรับเด็กคนนี้มันดูยาวนานเกินไปหรือไม่ จะเกิดอะไรขึ้นหากเด็กคนนี้สามารถหยั่งรู้ศิลากระบี่ได้สามสิบจริงๆ ในหนึ่งเดือน
จากนั้นไม่นาน หยางเสี่ยวเทียน หลินหยงและเฉินหยวน ก็ออกจากตำหนักกระบี่ไป
ไม่นานหลังจากที่หยางเสี่ยวเทียนออกจากตำหนักกระบี่ ก็มีข่าวลือหนาหูว่าหยางเสี่ยวเทียนกลายเป็นผู้สืบทอดของตำหนักกระบี่ และมีวิญญาณยุทธ์ขั้นสูง แพร่สะพัดอย่างรวดเร็วไปทั่วสำนักขณะนี้
ซึ่งทันทีที่หูซิงได้ยินข่าวนั้น ก็พลันลุกสะดุ้งตกใจไปครู่ “วิญญาณยุทธ์คู่ขั้นสูงงั้นรึ”
“ใช่แล้ว จากที่ข้าได้ยินมา ครานี้มันถูกชี้ชัดโดยผู้อาวุโสเฉินฉางชิง ว่าวิญญาณยุทธ์เต่ายักษ์ของหยางเสี่ยวเทียน คือเต่าสมุทรนิลกาฬซึ่งเป็นวิญญาณยุทธ์ขั้นสูงระดับสิบเอ็ด ส่วนวิญญาณยุทธ์อสรพิษดำนั้น กลับมีต้นกำเนิดที่พิเศษยิ่งกว่า มันคืออสรพิษแห่งพิภพอเวจีซึ่งเป็นวิญญาณยุทธ์ขั้นสูงสุดระดับสิบเอ็ด!” เฉิงเป้ยเป้ยกล่าวน้ำเสียงหวาดหวั่น ท่าทีดูแตกต่างจากเมื่อก่อน
หลังเฉิงเป้ยเป้ยกล่าวจบ หูซิงก็รู้สึกราวกับสูญเสียจิตวิญญาณไป สายตาเหม่อลอยแลร่างกายพลันอ่อนแรงแทบทรงตัวไม่อยู่
แม้เฉิงเป้ยเป้ยจะเรียกเขาอยู่นานสองนาน แต่ก็ไม่มีการตอบสนองจากเขากลับมา
อีกด้านหนึ่ง ข่าวใหญ่บันลือเกี่ยวกับวิญญาณยุทธ์คู่ขั้นสูงของหยางเสี่ยวเทียน แพร่กระจายถึงหูซูหลี่อย่างรวดเร็วที่สำนักเสินไห่
คราได้ฟังข่าวนั้น ซูหลี่ที่กำลังฝึกฝนอย่างบ้าคลั่งและสาบานว่าจะแก้แค้นหยางเสี่ยวเทียนครั้งพบกันอีก ก็ทิ้งตัวล้มลงกับพื้น นั่งนิ่งไม่ไหวติงหลังจากได้ยินสิ่งนี้
มิเพียงเท่านั้น ข่าวเกี่ยวกับวิญญาณยุทธ์คู่ขั้นสูงของหยางเสี่ยวเทียน ยามนี้ยังแพร่สะพัดไปทั่วอาณาจักรเสินไห่จนรับรู้กันทั่วตระกูลน้อยใหญ่
แม้แต่จางเถี้ยนเจ้าเมืองซิงเยว่ ยังได้รับข่าวนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งเมื่อจางเถี้ยนทราบว่าบิดามารดาของหยางเสี่ยวเทียนอาศัยอยู่ในเมืองซิงเยว่แห่งนี้ เขาก็ยกแขนตะโกนเรียกผู้รับใช้เข้ามาพบ
“เร็วเข้า เตรียมของขวัญอันล้ำค่าให้ข้าเดี่ยวนี้!”
บรรดาตระกูลน้อยใหญ่ในเมืองซิงเยว่ ก็รีบเร่งออกปากสั่งให้ผู้คนเตรียมของขวัญอันแสดงถึงน้ำใจตรงไปยังที่เดียวกันหลังได้รับข่าวคราว
นั่นรวมถึงอีกหลายตระกูลจากเมืองน้อยใหญ่รอบๆ เมืองซิงเยว่ ที่รุดหน้ามายังเมืองซิงเยว่เพียงเพื่อแสดงความยินดีกับหยางเฉาและหวงอิ๋งผู้เป็นบิดามารดาของหยางเสี่ยวเทียน
เช้าตรู่ของวันนี้
ทันทีที่หยางเฉาตื่นขึ้น ซุนฮัวผู้ใต้บัญชาเขากลับวิ่งปรี่เข้ามาหน้าตั้งด้วยความตื่นเต้นพร้อมตะโกนเสียงดัง “ท่านหัวหน้ารอง ท่านเจ้าเมือง ท่านเจ้าเมืองชิงเยว่มาที่นี่เพื่อต้องการพบท่าน!”