ตอนที่6
"ผมขอคุยกับตัวแทนคนในชุมชนเป็นการส่วนตัวได้ไหมครับ"
ชาวียังใช้ความนิ่งสยบความเคลื่อนไหวเขาต้องการที่จะคุยกับผู้นำชุมชนเพื่อที่จะอธิบายทุกอย่างให้ฟังอย่างชัดเจนเพราะหากคุยกันอยู่ตรงนี้กับชาวบ้านหลายๆคนอธิบายให้ตายยังไงคงไม่รู้เรื่องเป็นแน่เพราะมากคนก็จะมากความ
"ใครจะอาสาคุยกับท่านประธานเป็นการส่วนตัวครับ"
แดนเทพหาอาสาที่จะพูดคุยกับชาวี
"ผมเอง"
และแล้วก็มีชายสูงอายุที่ดูท่าน่าจะเป็นแกนนำพาทุกคนมาที่นี่ยกมือขึ้น
"เชิญตามผมมาทางนี้ครับ"
ชาวีเห็นดังนั้นก็รีบเดินนำหน้าชายสูงอายุมาพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว
ครู่ต่อมา
"ลุงชื่ออะไรครับ"
ชาวีพาชายสูงอายุมาที่ห้องทำงานของเขาและพูดคุยกับอีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร
"ผมชื่อเกรียง"
ชายสูงอายุตอบชาวีอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นักแต่ก็ไม่ได้โวยวายอะไร
"ลุงเกรียงครับผมจะอธิบายให้ฟังแบบนี้นะครับเรื่องที่ชุมชนถูกเผาพวกผมไม่รู้เรื่องจริงๆและถ้าทุกคนถูกขู่ให้ขายที่เรื่องนี้ผมต้องขอโทษด้วยผมจะสั่งคนของผมไม่ให้ทำแบบนี้อีกขอให้ลุงเกรียงสบายใจได้ครับแต่ถ้าหากคนในชุมชนหาหลักฐานมาได้ว่าเป็นคนของผมไปเผาชุมชนจริงผมก็จะยอมรับผิดโดยไม่มีข้อแม้ครับ"
ชาวีพูดคุยกับอีกฝ่ายด้วยท่าทีจริงจังเขารู้ว่าใครทำให้เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นแต่เขาไม่สามารถพูดมันออกมาได้จริงๆเขาคิดว่าคำสัญญาของลูกผู้ชายอย่างเขาจะพอทำให้ชายตรงหน้าเชื่อใจและจะพากันกลับไปได้
"พูดให้มันเป็นคำพูดด้วยนะคุณและจะบอกให้ทราบตรงนี้ให้ตายยังไงคนในชุมชนก็ไม่มีวันขายที่ให้พวกคุณผมขอตัว"
เกรียงไกรค่อนข้างพอใจกับคำมั่นของชาวีแต่เขาก็ขอยื่นคำขาดให้ประธานหนุ่มได้รู้ว่ายังไงคนในชุมชนก็ไม่ยอมขายที่ให้พวกเขาแน่นอนแม้ว่าจะใช้วิธีใดมาบีบบังคับพวกเขาก็ตามเมื่อพูดจบจึงรีบเดินกลับไปทันทีเพราะคิดว่าเรื่องนี้ได้พูดคุยกันรู้เรื่องแล้ว
"ครับ"
สิบนาทีต่อมา
"เฮ้อออ.."
เมื่อรู้ว่าคนในชุมชนได้กลับกันไปเรียบร้อยแล้วชาวีก็นั่งกุมขมับถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างหนักใจ
“โอเคไหมครับคุณวี”
แดนเทพคอยดูอาการของชาวีอยู่ไม่ห่าง
"เย็นนี้ผมจะเข้าไปหาคุณพ่อไปคุยกับท่านเรื่องนี้ใหม่อีกที"
"จ..จะดีเหรอครับ"
แดนเทพไม่ค่อยเห็นด้วยกับความคิดของชาวีเท่าไหร่นักเพราะรู้ว่าคนอย่างชนะพลยังไงก็ไม่ยอมฟังชาวีเป็นแน่หากชาวีไปก็จะทำให้หมางใจกับคนเป็นพ่อบุญธรรมเปล่าๆ
"ผมคงปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้"
ชาวีรู้ว่าพ่อของเขาคงจะไม่ยอมฟังเขาดีๆแต่เรื่องนี้ยังไงเขาก็ต้องคัดค้านให้ได้เพราะถ้าหากชาวบ้านยอมขายที่ดีๆเขาจะไม่ว่าอะไรเลยแต่นี่มันคือการบังคับเขาไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้เท่าไหร่
12.00 น.
แคนทีน
"พี่นุชว่าเมื่อเช้าท่านประธานคุยอะไรกับหัวหน้าชุมชนอะถึงได้กลับไปง่ายๆแบบนั้น"
สองสาวเฌอริตากับจิตรานุชนั่งทานข้าวกันอยู่ที่โรงอาหารของบริษัทเฌอริตาเองยังสงสัยกับเรื่องเมื่อเช้าไม่หายว่าประธานหนุ่มทำอย่างไรหัวหน้าชุมชนคนนั้นถึงยอมกลับไปโดยดี
"พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน...แต่เอาที่พี่คิดนะพี่คิดว่าท่านประธานเราคงน่าจะไม่ใช่คนที่สั่งการเรื่องที่ให้ไปกว้านซื้อแน่"
จิตรานุชเองก็ไม่รู้ว่าประธานหนุ่มของเธอใช้วิธีไหนเช่นกันแต่ที่เธอคิดว่าเรื่องที่เกิดมันไม่ได้เป็นฝีมือของประธานหนุ่มแน่นอน
"ทำไมเหรอ"
เฌอริตาเห็นว่าจิตรานุชน่าจะมีความคิดคล้ายๆกับเธอจึงถามความคิดของอีกฝ่ายอย่างอยากรู้
"ก็เพราะพี่รู้มาว่าท่านประธานเราไม่ได้มีสิทธิ์กับเงินกองกลางอะไรในบริษัทเลยที่มาทำงานบริหารระดับสูงนี้ก็ได้แค่เงินเดือนเท่านั้นแล้วจะเอาอำนาจที่ไหนไปตัดสินใจกว้านซื้อที่ดินได้"
"ที่พี่นุชพูดหมายถึงต้องคนเป็นพ่อเท่านั้นใช่ไหมถึงจะทำแบบนี้ได้"
"หัวไวนะเรา...กินข้าวกันเถอะ"
"ค่ะๆ"
เฌอริตาพยักหน้าเข้าใจเธอคิดว่าชนะพลน่าจะใช้ชาวีเป็นหัวโขนออกหน้าให้ตัวเองก็เท่านั้นหากเป็นอย่างที่จิตรานุชพูดมา
เย็นของวัน
คฤหาสน์หรู
"แกจะไปสนใจอะไรกับพวกชาวบ้านพวกนั้นที่ำเป็นโวยวายเพราะอยากได้เงินเพิ่มล่ะสิไม่ว่า"
ชนะพลเห็นว่าเรื่องที่ชาวีมาคุยกับเขาวันนี้มันเป็นสิ่งที่ขัดใจเขาอยู่ไม่น้อย
"แต่ถึงยังไงคุณพ่อก็ไม่น่าไปเผาไล่ที่พวกเค้าแบบนั้นนะครับ"
ชาวีพูดกับคนเป็นพ่อด้วยสีหน้าที่เจื่อนลงเล็กน้อย
"แกรู้ได้ยังไงว่าฉันเป็นคนทำ"
ชนะพลหันมาจ้องชาวีตาเขม็ง
"......"
ชาวียังคงก้มหน้าก้มตานิ่งไม่พูดอะไรเขารู้ได้อย่างไรงั้นหรือเพราะเรื่องนี้มันเดาได้ไม่ยากเลยสำหรับเขา
"คนอย่างแกไม่มีสิทธิ์มาสอนหรือสั่งฉันและคนอย่างแกก็ต้องทำทุกอย่างตามคำสั่งของฉันเท่านั้นจำใส่หัวของแกเอาไว้...ออกไปได้แล้ววันนี้ฉันไม่มีอารมณ์จะคุยกับแกแล้ว"
ชนะพลพูดกับลูกชายบุญธรรมของเขาด้วยเสียงแข็งและท่าทีที่ไม่พอใจที่ดูว่าลูกชายคนนี้จะแข็งข้อและหาเรื่องขัดคำสั่งของเขาอยู่บ่อยครั้งจึงต้องคอยเตือนกันอยู่เรื่อยทั้งสั่งให้ชายหนุ่มกลับไปก่อนที่เขาจะคุมอารมณ์ไม่อยู่
"ครับ"
ชาวีหันหลังกลับอย่างรวดเร็วเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเลยปากไล่
"อีกอย่างนะถึงคนพวกนั้นจะหาหลักฐานมาได้ว่าฉันเป็นคนทำแต่แกก็รู้ว่ากฏหมายทำอะไรฉันไม่ได้"
ชนะพลทิ้งท้ายให้ชาวีได้รับรู้ว่าคนอย่างเขาถ้าหมายใจจะทำอะไรก็ไม่มีใครมาห้ามได้ทั้งนั้น
"......"
ชาวีหยุดฟังคำพูดของพ่อเขาครู่หนึ่งและจึงเดินออกไปจากคฤหาสน์ด้วยสีหน้าอมทุกข์