บทที่ 301: เถ้าแก่ฉิน มันเป็นเอฟเฟกต์ที่คุณไม่คาดฝันแน่นอน!
เมื่อฉินหลินได้ยินสิ่งที่รัฐมนตรีหลู่พูดเขาก็บอกความจริงไปว่า “ท่านรัฐมนตรี สูตรลับที่คุณให้ผมมาก็แทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย ส่วนใหญ่ก็แค่บำรุงร่างกายนิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้นไม่ได้มีอะไรเพิ่มเติม”
“เฮ่อ~ ก็ตามคาดล่ะนะ” รัฐมนตรีหลู่ถอนหายใจ
แต่ฉินหลินกลับเสริมว่า “แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ได้มีแต่ของไร้ประโยชน์อย่างเดียว มันยังมีของดี ๆ ซุกซ่อนอยู่ด้วย”
พูดจบเขาก็ยื่นสูตรลับ 2 สูตรให้กับอีกฝ่าย
หนึ่งคือสูตรเดิมของผงฉางเต้ากุ้ยหยวน ส่วนอีกหนึ่งเป็นฉบับของหมอต็อด
“จริงเหรอ?”
เมื่อเห็นแบบนั้นแล้วรัฐมนตรีหลู่ก็รีบรับสูตรลับสองสูตรที่ฉินหลินยื่นให้มาอ่าน แต่ก็ต้องแปลกใจมากกว่าเดิมจนต้องถามออกมา “สูตรลับนี่มันมีประโยชน์จริง ๆ เหรอ? นี่มันสูตรเดิม ๆ ของสมาคมแพทย์แผนโบราณทั่วไปเลยหนิ”
ฉินหลินอธิบายว่า “ใช่แล้วครับ อันนี้เป็นสูตรเดิม ๆ ซึ่งผมอ่านครั้งแรกแล้วก็รู้สึกว่ามันแปลกมาก เพราะว่าสรรพคุณทางยาของตัวยาหลาย ๆ ตัวมันขัดต้านฤทธิ์กันทำให้ยาเป็นกลางซึ่งเป็นอะไรที่ไม่ควรเป็น”
“เพราะงั้นผมเลยลองใช้วิธีพิเศษจัดการคัดแยกเอาตัวยาที่พออยู่ด้วยกันแล้วทำให้เกิดฤทธิ์ที่เป็นกลางออก แล้วก็เอาที่เหลือมาเรียบเรียงใหม่ก็ได้ยาสูตรนี้ออกมานี่แหละครับ”
“จากที่ผมวิเคราะห์ดูแล้วผงยาชนิดนี้ควรออกฤทธิ์ในลำไส้นะ ท่านลองเอาสูตรนี้ไปให้คนที่สมาคมการแพทย์แผนโบราณทั่วไปลองปรุงยาแล้วทดสอบเพื่อหาผลลัพธ์ที่ละเอียดดูอีกทีแล้วกันนะครับ”
เมื่อศาสตราจารย์เหรินได้ยินดังนั้นก็เกิดความสนใจขึ้นมาทันที “ไม่ต้องไปไกลขนาดนั้นก็ได้นะเถ้าแก่ฉิน เดี๋ยวคุณช่วยปรุงยาให้ผมเลยแล้วผมจะจัดการทดลองด้วยตัวเองเลยดีกว่า”
เขาอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับผงยานี้มาก
เถ้าแก่ฉินได้นำยาออกมา 2 ชนิดแล้ว อันแรกใช้สำหรับเสริมสร้างร่างกาย ส่วนอีกอันเป็นยาระบาย แล้วยังมีอันนี้อีกที่กระตุ้นความสนใจของเขาได้...
รัฐมนตรีหลู่เห็นดังนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้วล่ะเถ้าแก่ฉิน ต้องให้คุณมาช่วยตั้งแต่ต้นจนจบนี่เอาตรง ๆ ผมล่ะผิดหวักกับไอ้พวกนั้นที่สมาคมการแพทย์แผนโบราณทั่วไปจริง ๆ”
คำขอของรัฐมนตรีหลู่นั้นถือเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับฉินหลินดังนั้นเขาจึงตอบตกลง “ในปรุงผงยาชนิดนี้จะต้องซื้อเครื่องมือปรุงยาเฉพาะของมันกับวัตถุดิบก่อน”
“เดี๋ยวผมให้คนไปจัดการให้เดี๋ยวนี้เลย” รัฐมนตรีหลู่พูดพร้อมหยิบมือถือออกมาโทรสั่งงาน ซึ่งการทำงานของลูกน้องรัฐมนตรีนั้นเรียกได้ว่าทรงประสิทธิภาพอย่างยิ่ง
ใช้เวลาไม่นานเครื่องไม้เครื่องมือที่จำเป็นในการปรุงผงยารวมไปถึงวัตถุดิบที่จำเป็นสำหรับผงยาฉางเต้ากุ้ยหยวนก็มาพร้อมตรงหน้า
ฉินหลินให้เฉิ่นลี่ช่วยจัดหาสถานที่และติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ
เนื่องจากเป็นทักษะที่มาจากระบบทำให้การปรุงยาผงฉางเต้ากุ้ยหยวนนี้ฝังลึกลงในสมองและร่างกายของเขา ดังนั้นการตั้งค่าต่าง ๆ รวมไปถึงการเคลื่อนไหวของเขาจึงดูชำนาญเหมือนกับทำมาแล้วเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง
ขนาดการชั่งตวงวัดอัตราส่วนของส่วนผสมต่าง ๆ เขายังใช้มือกะน้ำหนักเอาแทนการใช้ตาชั่งโดยอาศัยความรู้สึกที่กล้ามเนื้อจดจำได้
ฉากนี้ทำให้รัฐมนตรีหลู่และศาสตราจารย์เหรินคิดว่าเขาจะต้องเป็นคนที่ศึกษาการแพทย์แผนโบราณอย่างลึกซึ้งมาอย่างแน่นอนนั่นเอง
ศาสตราจารย์เหรินเห็นแล้วก็ต้องประหลาดใจไม่หาย “เถ้าแก่ฉินนี่ไม่จำเป็นต้องใช้ตาชั่งเลยแฮะ ดูท่าจะเข้าใจในวัตถุดิบตัวยาพวกนี้อย่างลึกซึ้งแล้วจริง ๆ”
รัฐมนตรีหลู่พยักหน้าเห็นด้วย “จริง ๆ แล้วเถ้าแก่ฉินถึงขั้นสามารถบอกได้ว่าวัตถุดิบนั้น ๆ มีฤทธิ์แรงพอหรือไม่โดยเพียงแค่แตะลิ้นเท่านั้น ซึ่งนี่เองก็ทำให้เขาสามารถจับร้านขายยาปลอมได้ด้วย”
“สุดยอดขนาดนั้นเลยเหรอ?” ศาสตราจารย์เหรินอดประหลาดใจไม่ได้
เมื่อฉินหลินเตรียมผงฉางเต้ากุ้ยหยวนเสร็แล้วคนทั้งคู่ก็เดินเข้ามาดูทันที
มันเป็นผงยาสีเทาในชามเล็ก ๆ ซึ่งมีกลิ่นยาที่แรงมาก
จริง ๆ ผงยากับยาน้ำนั้นมันมีความแตกต่างกันอยู่ โดยยาน้ำนั้นจะเกิดจากการต้มยาเพื่อสกัดเอาตัวยาออกมาโดยทิ้งกากยาที่ไม่มีประโยชน์แล้วไปซะ
แต่ผงยานั้นคือสิ่งที่ทำจากวัตถุดิบทางยาโดยใช้เครื่องมือในการปรุงซึ่งวิธีใช่คือการรับประทานโดยตรงโดยไม่ต้องผ่านการต้มหรืออะไรก่อนเลย
“นี่คือผงยาที่ปรุงขึ้นตามสูตรลับและใช้โดยกินเข้าไปได้เลยใช่มั้ย” รัฐมนตรีหลู่ถาม
ฉินหลินไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนแต่บอกไปว่า “ถ้าเอาตามทฤษฎีล่ะก็ใช่ แต่ผมก็ไม่รับประกันนะว่ามันจะมีสารพิษอะไรอยู่รึเปล่า เพราะถึงยังไงมันก็ยังไม่ได้รับการทดสอบทางคลินิกเลย ต้องตรวจสอบอย่างละเอียดจริง ๆ ก่อนถึงจะรู้”
แน่นอนว่าเรื่องพิษอะไรนั่นเป็นไปไม่ได้
เพราะถ้าหากมีพิษจริง ๆ ล่ะก็ระบบจะต้องให้โบนัสคุณสมบัติเช่นเป็นพิษ +1 แน่นอน
แค่ว่าเรื่องบางเรื่องมันพูดมากเกินไปไม่ได้ มันต้องพูดแบบคลุมเครือเข้าไว้ เวลามีอะไรเกิดขึ้นจะได้มีทางให้หลบหลีก
รัฐมนตรีหลู่กับศาสตราจารย์เหรินกลับไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก ศาสตราจารย์เหรินหยิบผงยาขึ้นมาแล้วบอกว่า “ผมจะเอาไปตรวจก่อน”
แล้วก็เดินออกไปเพื่อไปตรวจสอบในห้องแล็บเลย
ผงฉางเต้ากุ้ยหยวนเป็นยาผงที่ใช้รักษามะเร็งได้ทำให้การทดสอบย่อมไม่ง่ายเหมือนยาระบาย ดังนั้น หลังจากรออยู่ประมาณ 2 ถึง 3 ชั่วโมงแล้วก็ไม่มีข่าวคราวใด ๆ ฉินหลินจึงออกจากห้องแล็บไป
เพราะยังไง ๆ เขาก็รู้ผลลัพธ์ของมันอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องรอลุ้นผลการตรวจสอบของศาสตราจารย์เหรินหรอก
ในห้องทดลอง
ศาสตราจารย์เหรินกับผู้ช่วยต่างช่วยกันทำงานกันอย่างหนักหน่วง แต่ละคนต่างเดินไปเดินมาระหว่างเครื่องมือต่าง ๆ เพื่อตรวจเช็กผลการทดสอบส่วนผสมที่มีอยู่ในผงยา
ศาสตราจารย์เหรินต้องยอมรับเลยว่าผงยาในครั้งนี้มีความสลับซับซ้อนยิ่งกว่ายาระบายก่อนหน้านี้อย่างมาก แต่ถึงกระนั้นใบหน้าของเขากลับแสดงถึงความรู้สึกตื่นเต้นเพราะว่าได้ค้นพบสารที่มีฤทธิ์ทางยาหลาย ๆ ตัวในผงยานี้
“ศาสตราจารย์ครับมาดูส่วนประกอบตัวนี้สิครับ!” จู่ ๆ ผู้ช่วยก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นโคตร ๆ
ศาสตราจารย์เหรินจึงรีบไปดูส่วนประกอบที่ผู้จัดแสดงให้เห็น เมื่อเห็นแล้วก็รีบสั่งการทันที “รีบไปหารัฐมนตรีหลู่แล้วขอให้ท่านยื่นคำร้องขอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยมะเร็งลำไส้ใหญ่ทั้งหมดจากสถาบันฯมาเร็ว!”
ข้อมูลการวิจัยของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติถูกเก็บเป็นความลับจากคนนอกและเป็นความลับสุดยอด เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเชื่อมต่อเพื่อค้นข้อมูลผ่านเครือข่ายภายนอก ขนาดคนในก็ยังเข้าไปตรวจสอบได้ยากเลยดังนั้นเรื่องการจะส่งข้อมูลออกมาข้างนอกนั้นไม่ต้องพูดถึง
สิ่งเหล่านี้คือข้อมูลหลักฐานทั้งหมดที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าด้วยเงินที่ไม่ทราบจำนวนจากงบประมาณของประเทศ แม้ว่าศาสตราจารย์เหรินจะต้องการสิ่งเหล่านั้นแต่ก็ไม่มีคุณสมบัติ
เฉพาะเจ้าหน้าที่ระดับสูงอย่างรัฐมนตรีหลู่ขึ้นไปเท่านั้นที่จะสามารถยื่นคำร้องขอเบิกเอกสารได้
เมื่อรัฐมนตรีหลู่ได้รับคำขอจากศาสตราจารย์เหรินแล้วก็รีบเข้ามาหาทันทีพร้อมกับถามด้วยความตื่นเต้น “ศาสตราจารย์เหริน ผงยาที่เถ้าแก่ฉินทำให้มันสุดยอดขนาดนั้นเลยเหรอ มีผลกับมะเร็งลำไส้ด้วยเลยเหรอเนี่ย!”
ศาสตราจารย์เหรินตอบตามตรงว่า “นี่เป็นแค่หนึ่งในตัวยาที่เราตรวจเจอแต่ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัด ทว่ามันมีความคล้ายคลึงกับข้อมูลบางอย่างที่คล้ายคลึงกับข้อมูลที่ทางทีมวิจัยด้านชีวิตและสุขภาพของเราได้ศึกษาจากกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งลำไส้มาก่อนอย่างมาก เพราะงั้นเลยต้องลองเอาข้อมูลนั้นมาเปรียบเทียบกันดูก่อน”
“โอเค เดี๋ยวผมจะไปยื่นคำร้องเดี๋ยวนี้เลย!” รัฐมนตรีหลู่รีบเปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กล็อกอินเข้าเว็บแล้วยื่นคำร้องผ่านกล่องจดหมายของเว็บ จากนั้นก็เอามือถือออกมาโทรหาท่านผู้นำของตน
หากเป็นท่านผู้นำออกปากเองล่ะก็การส่งข้อมูลนั้นจะดำเนินการได้โดยเร็วที่สุด
เถ้าแก่ฉินได้บอกแล้วว่าผงยานี้อาจออกฤทธิ์กับลำไส้ แต่ใครมันจะไปนึกถึงได้ล่ะว่ามันอาจจะมีผลกับมะเร็งลำไส้ด้วยน่ะ
ค่ารักษาไอ้โรคบ้านี่ก็แพงแสนแพง แม้ว่ายารักษาบางตัวจะรวมอยู่ในสวัสดิการแล้วก็ตาม แต่เนื่องด้วยยารักษาในกลุ่มนี้มันมีราคาสูงจึงทำให้แม้จะตัดบางตัวออกไปแล้วก็ตามแต่ค่ารักษาที่เหลือก็ยังสูงพอให้ครอบครัวล่มสลายได้อยู่ดี
สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติได้ใช้เงินเป็นจำนวนมากในการวิจัยเกี่ยวกับโรคเวรนี่
ถ้าหากว่าสามารถยืนยันผลลัพธ์นี้ได้ล่ะก็จะดีมาก ๆ เพราะไม่เพียงแต่จะพิสูจน์ได้ว่าน้ำยาเสริมสร้างร่างกายนั้นไม่ใช่ข้อยกเว้น แต่ยังมีกระทั่งยาที่ช่วยรักษาโรคที่โคตรเชี่ยอย่างเช่นมะเร็งลำไส้ได้อีกด้วย
ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเต็ม ๆ
หลังจากได้รับการติดต่อจากรัฐมนตรีหลู่ ทางสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติก็ใช้เวลาเกือบ ๆ หนึ่งชั่วโมงในการส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องไปยังกล่องจดหมายของเขา
“ศาสตราจารย์เหริน” รัฐมนตรีหลู่เปิดกล่องจดหมายทันทีและยื่นคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กให้ศาสตราจารย์เหริน
ศาสตราจารย์เหรินรีบรับมาอ่านจากนั้นก็เอาข้อมูลทั้งสองมาเปรียบเทียบกัน
อ่านวนซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่นาน
จนรัฐมนตรีหลู่อดถามไม่ได้ “ศาสตราจารย์เหริน... เป็นไงมั่ง”
ใบหน้าของศาสตราจารย์เหรินแสดงสีหน้ายินดี “ข้อมูลย่อย ๆ นั้นเหมือนกันเป๊ะ เพียงแต่ว่าความก้าวหน้าของการวิจัยที่สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติมีจำกัดและยังห่างไกลจากผลลัพธ์ในการรักษามะเร็งลำไส้ แต่ไอ้เจ้าผงยานี่มัน... เราต้องรีบตรวจสอบเชิงลึกให้แน่ใจก่อน แล้วต้องด่วนที่สุดเลยด้วยครับ!”
หลังจากที่ศาสตราจารย์เหรินพูดจบก็เมินรัฐมนตรีหลู่แล้วรีบพาผู้ช่วยทำการทดสอบและวิเคราะห์อย่างจริงจังจนมืด ซึ่งการทดสอบก็เป็นไปยาว ๆ ตลอดทั้งคืน
ศาสตราจารย์เหรินนั้นแม้จะอายุเท่าเขาแต่ก็ยังต้องอดทนรอผลการทดสอบทั้งคืน ซึ่งนี่แสดงให้เห็นว่าเขาทุ่มเทเพียงใด
จนกระทั่งวันรุ่งขึ้นศาสตราจารย์เหรินก็ต้องประหลาดใจอย่างอดไม่ได้ “ฮ่า ๆ ๆ ได้ผลจริง ๆ ด้วยโว้ยยยยย ยานี่มันสุดยอดไปเลยยยยยยยยยย!”
รัฐมนตรีหลู่ที่รอมาทั้งคืนจนไม่ไหวต้องนั่งงีบบนเก้าอี้พอได้ยินเสียงตะโกนของศาสตราจารย์เหรินก็สะดุ้งตื่นนและถามด้วยความตื่นเต้น “ศาสตราจารย์เหริน! ผงยานี่มันใช้รักษามะเร็งลำไส้ได้จริง ๆ ใช่มั้ย!”
ศาสตราจารย์เหรินตอบด้วยความมั่นใจ “ชัดเลยครับว่ามันใช้รักษามะเร็งลำไส้ได้ ผลที่ได้ก็เป็นไปตามมาตรฐานที่ตั้งไว้ด้วย เฮ่อ~ ไม่คิดเลยว่าไอ้โรคระยำนี่มันจะถูกจัดการอยู่หมัดได้ด้วยสูตรยาแผนโบราณแบบนี้”
น้ำเสียงของศาสตราจารย์เหรินนั้นสะเทือนอารมณ์อย่างยิ่ง เพราะเขาคือคนที่รู้ดีที่สุดแล้วว่าต้องเสียงพลังงานและเวลารวมถึงเงินไปมากมายแค่ไหนเพื่อที่จะพัฒนายารักษามะเร็งนี่
จนถึงตอนนี้สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติได้เสียเงินลงทุนไปเป็นจำนวนมากกับการวิจัยมะเร็งลำไส้ แต่ความคืบหน้ากลับไม่เป็นที่น่าพอใจเลย ทว่าจู่ ๆ กลับมีผงยานี้ที่สามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้ปรากฏตัวขึ้น
ไม่ว่าตัวยาอื่น ๆ ของยานี่จะออกฤทธิ์แบบไหนบ้างก็ตามแต่ ทว่าเอาแค่อย่างเดียวนี้ก่อนก็ถือว่าน่ากลัวโคตร ๆ แล้ว
“เยส!”
รัฐมนตรีหลู่ที่ได้ยินข่าวดีก็กำหมัดแน่นพร้อมกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “ขอบคุณเถ้าแก่ฉินที่หาความลับของสูตรยานี่เจอ! ขอบคุณพวกที่สมาคมการแพทย์แผนโบราณที่มอบสูตรลับนี่ให้ แถมยังเป็นสูตรแรกที่ถูกโยนให้ซะด้วย ฮ่า ๆ ๆ ๆ”
แต่ศาสตราจารย์เหรินกลับเตือนด้วยรอยยิ้ม “ท่านรัฐมนตรี ไอ้เรื่องที่จะลิงโลดมีความสุขนั่นเอาไว้ทีหลังก่อนก็ได้มั้งครับ ตอนนี้เราควรไปแจ้งข่าวดีให้เถ้าแก่ฉินทราบก่อนไม่ดีกว่าหรือ ผมว่าเขาเองก็คงกำลังรอข่าวดีจากเราอยู่เหมือนกัน”
“ใช่ ๆ ๆ! โอย~ เกือบลืมเรื่องนี้ไปเลย รีบแจ้งข่าวดีให้เถ้าแก่ฉินเลยดีกว่า!” รัฐมนตรีหลู่พยักหน้ารัว ๆ เหมือนตำน้ำพริกก่อนจะหยิบรีบหยิบมือถือออกมาโทร
เถ้าแก่ฉินคือผู้ที่มีส่วนร่วมมากที่สุด
สายแรกไม่ติด มันบอกอีกฝ่ายไม่อยู่ในพื้นที่ให้บริการ จากนั้นก็โทรใหม่อีกประมาณ 3 สายในที่สุดก็โทรติด
ในโกดังเช่า
ฉินหลินพึ่งจะออกจากเกมมาและเห็นว่ารัฐมนตรีหลู่โทรหาจึงกดรับสาย ซึ่งปลายสายก็ได้ยินเสียงที่ตื่นเต้นมาก ๆ ของอีกฝ่ายดังเข้ามา “เถ้าแก่ฉิน ผมมีข่าวดีจะบอก เราตรวจเจอสรรพคุณของผงยานั่นแล้ว ลองทายดูซิว่ามันทำอะไรได้ แต่ผมว่าทายยังไงคุณก็ทายไม่ออกแน่ ๆ!”
ได้ยินแบบนี้แล้วฉินหลินก็อดที่จะยิ้มไม่ได้
ยังจะให้เขาทายอีก มีหรือเขาจะไม่รู้ว่าผงยานั่นมันมีฤทธิ์อะไรยังไงบ้าง
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังเสแสร้งแกล้งโง่ต่อไป “ได้ยินเสียงท่านตื่นเต้นขนาดนี้แปลว่ายานั่นน่าจะมีสรรพคุณที่ดีแน่ ๆ ล่ะ เลิกล้อเล่นเถอะครับตอนนี้ผมสงสัยจะตายอยู่แล้ว”
รัฐมนตรีหลู่ได้ยินน้ำเสียงอยากรู้ของฉินหลินแล้วก็ยิ้มหน้าบาน “คุณต้องไม่คิดมาก่อนแน่ ๆ ล่ะว่าผลของผงยานั่นใช้รักษามะเร็งลำไส้ได้! นี่มันน่าตกใจมากเลยนะ! แล้วที่สำคัญคือมันยังพิสูจน์ได้แล้วว่าน้ำยาเสริมสร้างกล้ามเนื้อนั้นไม่ใช่เป็นข้อยกเว้น แถมยังช่วยแก้ปัญหาใหญ่ที่ทางสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติติดอยู่มานานมากให้เราได้อีก ครั้งนี้ขอบคุณคุณมากจริง ๆ ผมติดหนี้บุญคุณคุณครั้งใหญ่แล้วล่ะ”
“อย่าพูดงั้นเลยครับ ผมก็แค่ทำสิ่งที่ตัวเองพอจะทำได้เท่านั้นเอง” ฉินหลินยกยิ้มมุมปากเพราะทุกสิ่งอย่างเป็นไปดังหวัง
“ยังไงผมก็ต้องขอบคุณมากจริง ๆ” รัฐมนตรีหลู่ขอบคุณเขาอีกครั้ง
หลังจากวางสายแล้วฉินหลินก็ขึ้นกระบะรถบรรทุกอีกรอบและเริ่มงานลูกหาบต่อ เสร็จแล้วก็ขับรถเอาของไปส่งที่บ้านไร่ชิงหลิน
............................................................................................
อีกด้านหนึ่ง
ในประเทศอันห่างไกล
ในห้องครัวของร้านอาหารตะวันตกได้มีชาวต่างชาติผิวขาวคนหนึ่งกำลังตักปลาไหลในหม้ออย่างชำนาญ
ราสต้า (บทที่ 211) นั้นทำงานอย่างจริงจังมาก ๆ ทุก ๆ ขั้นตอนล้วนทำอย่างระมัดระวัง
ในช่วงเวลานี้เขาได้ท้าแข่งกับเชฟชาวจีนเพื่อจะเรียนรู้อาหารจีน โดยเขาได้ทำข้อตกลงกับอีกฝ่ายว่าหากตนชนะล่ะก็อีกฝ่ายต้องสอนสูตรอาหารจีนดี ๆ ให้ตน
หลังจากที่ได้ร่วมงานกับเชฟชาวจีนชื่อดังมาแล้วหลายคนเขาก็ได้เรียนรู้เรื่องอาหารจีนไปด้วย
โดยเมนูปลาไหลต้มเหล้านี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น
ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงนี้ก็พึ่งจะได้ฝึกทำอาหารจีนด้วย เพราะบางครั้งใจมันก็พลันคิดถึงเมนูปลาไหลจีนที่เคยโดนไปก่อนหน้านี้
แน่นอนว่าต้องเป็นเมนูที่กินที่บ้านไร่ชิงหลินซึ่งเป็นอาหารที่อร่อยเหาะที่สุดที่เคยกินมาในชีวิตแล้ว
แม้ว่าเขาจะเป็นเชฟมิชลิน 3 ดาวนัมเบอร์วันแล้วก็ตาม แม้ว่าจะเอาชนะเชฟอาหารจีนชั้นนำมาแล้วมากมายก็เถอะ แม้ว่าคนในประเทศของตนจะเชียร์ตนว่าเป็นเชฟที่เก่งที่สุดในโลก แต่ในใจก็ยังคงรู้ดีว่าไอ้ที่หนึ่งในโลกที่ว่านี้มันช่างน่าตลกแค่ไหน
หลังจากที่เขาได้เรียนเมนูปลาไหลต้มเหล้าแล้วก็ได้ทำการฝึกฝนอย่างหนักโดยไม่ใช่แค่คิดจะทำเมนูจานอร่อยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ซักพักปลาไหลในหม้อก็สุกพร้อมลงจาน หลังจากที่ตักลงจานแล้วเขาก็หยิบตะเกียบมาคีบชิ้นปลาใส่ปากทันที
ให้พูดตามตรงเขาก็ไม่ได้เก่งเรื่องการใช้ตะเกียบมากนักหรอก แต่หลังจากที่เรียนทำอาหารจีนแล้วก็เลยต้องเรียนใช้ตะเกียบควบคู่ไปด้วยเลย
ในทางตรงกันข้าม เขาเรียนอาหารจีนและผสมผสานกับอาหารตะวันตกที่เขาได้เรียนรู้ ซึ่งทำให้ทักษะการทำอาหารของเขาพัฒนาขึ้นมาก
นอกจากนี้ยังทำให้เขารู้ว่าตัวเองนั้นไม่ควรทำตัวเป็นเหมือนพวกโง่ในประเทศที่เอาแต่คิดว่าอาหารตะวันตกของพวกตนนั้นยอดเยี่ยมที่สุดและเป็นกระแสหลักของโลกจนถึงขนาดไปดูถูกอาหารของประเทศอื่น ๆ เขา
เพราะทุกประเทศเองก็มีวัฒนธรรมด้านอาหารซึ่งมีข้อดีของตัวเองอยู่
เขาพึ่งได้เรียนรู้เรื่องอาหารจีนซึ่งช่วยให้ทักษะในการทำอาหารเพิ่มพูนขึ้นได้อย่างมาก เหมือนคำของประเทศที่บอกว่า ‘เรียนรู้จุดแข็งของผู้อื่น ชดเชยจุดอ่อนของตนเอง’
เขาคิดว่าคำนี้มันดีมาก ๆ แม้ว่าจะออกเสียงและเรียนรู้ได้ยากก็ตาม
กลับมาที่ปลาไหล ตอนนี้สีหน้าของราสต้านั้นเต็มไปด้วยความหงุดหงิด “อีกไกล ไกลเกินไปแล้ว!”
เอาตรง ๆ เลยว่าโคตรหงุดหงิด
ในระหว่างที่เขากลับมากักตัวฝึกฝนการทำอาหาร ทักษะฝีมือเขาเองก็ดีขึ้นมาก เชฟมิชลิน 3 ดาวทั้งหลายเองก็ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันกับตนอีกต่อไป ไม่สามารถทำอาหารอร่อยแบบที่ตนทำได้
ก็ปลาไหลเหมือนกันนี่หว่า แต่ปลาไหลที่ตนทำอย่างเอาใจใส่นี้พอเทียบกับเมนูปลาไหลที่กินที่บ้านไร่ชิงหลินแล้วกลับเหมือนขยะเลย
ไม่ว่าจะทำยังไงก็ทำตามไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเรียนหนักแค่ไหนหรือจะฝึกฝนยังไงก็ไม่สามารถรังสรรค์รสชาตินั้นออกมาได้เลย หรือบางทีอาจต้องไปขอเรียนที่บ้านไร่ชิงหลินวะ?
แม้ว่าเขาจะหยิ่งทนงทว่าในเรื่องการทำอาหารแล้วกลับมีความอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างยิ่ง
ในเวลานี้ชายผิวขาวในชุดสูทได้เดินเข้ามา “เฮ่~ ราสต้า เมนูใหม่อีกละเหรอ”
พูดไปก็หยิบชิ้นปลาเข้าปากไปเลย ไอ้หมอนี่ไม่บอกก็รู้ว่าใช้ตะเกียบไม่เป็น
เมื่อเห็นแบบนั้นราสต้าก็ส่ายหัว ไอ้หมอนี่ชื่อดั๊กซึ่งเป็นตัวแทนด้านอาหารของเขาเองซึ่งเป็นผู้ติดต่อในเรื่องการแข่งขันกับเชฟคนอื่น ๆ ให้
ถ้าไม่มีหมอนี่ล่ะก็เขาคงไม่มีเวลาฝึกทำอาหารแน่นอน
ซึ่งทันทีที่ปลาไหลเข้าปากดั๊กก็เอ่ยปากชมด้วยรอยยิ้มหน้าบาน “ราสต้าเอ๊ย ฝีมือดีขึ้นอีกแล้วนา อาหารจีนฝีมือนายนี่โคตรหร่อยเลย ตอนนี้ฝีมือนายยิ่งทิ้งห่างเชฟสามดาวคนอื่น ๆ ไปอีกก้าวแล้วนะเนี่ย”
แต่ราสต้ากลับไม่ค่อยพอใจกับเรื่องนี้เลย เขาไม่เคยสนใจพวกเชฟมิชลิน 3 ดาวคนอื่น ๆ เลย สิ่งเดียวที่เขาชื่นชมคือฝีมือการทำอาหารที่บ้านไร่ชิงหลินนั่น
แล้วดั๊กก็พูดว่า “ยังไงก็เหอะฉันได้ส่งจดหมายท้าแข่งกับเชฟบ้านไร่คนหนึ่งให้นายแล้วนะ อีกฝ่ายเห็นว่าจะมีชื่อเสียงมาก อาหารราคามื้อละหกหมื่นหยวนก็ประมาณเก้าพันเหรียญ แถมมื้อที่โด่งดังที่สุดนั่นยังตั้งชื่อเซตอาหารสูงสุดระดับฮ่องเต้หรือถ้าเทียบกะของเราก็คือประธานาธิบดีซะด้วย”
“???” เมื่อราสต้าได้ยินอีกฝ่ายอธิบายก็รู้สึกว่ามันแหม่ง ๆ
แต่ดั๊กที่ไม่ทันสังเกตก็ยังพูดต่อไปอีกว่า “ที่นั่นชื่อว่าบ้านไร่ชิงหลิน ฉันจองตัวให้นายละ เด๋วเราไปขึ้นเครื่องกันเลยนะ”
“อะไรนะ!!!” ราสต้าแทบจะตาถลน
‘ไอ้ห่าดั๊กเมื่อกี๊มึงบอกว่าไปท้าใครมานะ!
มึงไม่ได้กะจะวางยากูใช่มั้ยถามจริง!’