บทที่ 104 ผู้อาวุโสทั้งห้าแห่งตำหนักกระบี่
เพียงตำหนักเดียวทั้งสำนัก ก็กินพื้นที่เขาทั้งลูกส่งภาพโดยรวมของตำหนักกระบี่ มีความยิ่งใหญ่ ทรงอำนาจสมคำล้ำลือดั่งที่ใครก็โหยหาเกียรติแลตำแหน่งการเป็นจ้าวตำหนัก ครั้นมองจากระยะไกล ความใหญ่โตโอฬารของมันยิ่งทำให้ใจเขาสะท้านสั่นด้วยตื่นเต้น
และทางเข้าตำหนัก ต้องเดินขึ้นบันไดยาวจากเชิงเขานี้เท่านั้น
“หลินหยงมีเรื่องต้องพบผู้อาวุโสทั้งห้า” หลังมาถึงซุ้มประตูใหญ่ยังทางเข้า หลินหยงก็ยืนหยุดนิ่งก่อนแผดเสียงดังกังวาน
ณ โถงกลางตำหนักกระบี่
เฉินฉางชิงและอีกสี่คนที่กำลังศึกษาวิถีกระบี่สูงสุด ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงอันน่ารำคาญของหลินหยง ซึ่งมารบกวนในยามนี้ พานทำให้หนึ่งในผู้อาวุโสทั้งห้าอารมณ์มิดีนัก
“มีอะไรก็รีบกล่าวออกมา อย่ามัวชักช้าเสียเวลาน่ารำคาญ” เหอเล่อเกรี้ยวกราดพลางกระแทกเสียงแทรกผ่านบานประตูหนาออกไปจากในตำหนัก
หลินหยงยิ้มเจื่อนอย่างขมขื่น แต่เขานั้นคุ้นเคยกับอารมณ์ฉุนเฉียวของผู้อาวุโสเหอเล่อมาช้านานแล้ว ดังนั้นจึงมิได้สนใจนัก
ก่อนหลินหยงจะเผยปากกล่าวอย่างตรงไปตรงมามิมีอ้อมค้อมว่า “ที่หลินหยงมารบกวนผู้อาวุโสทั้งห้าในครานี้ เพราะมีศิษย์ผู้หนึ่งของสำนักสามารถหยั่งรู้ศิลากระบี่ได้ทั้งสิบเล่ม จึงนำทางเขามาคารวะผู้อาวุโสทั้งห้า”
เฉินฉางชิงและอีกสี่คนหยุดการกระทำทุกอย่างในมือลงทันที
“หลังจากผ่านไปหลายทศวรรษ ในที่สุด ก็มีศิษย์ผู้สามารถหยั่งรู้ศิลากระบี่ได้มากถึงสิบเล่มแล้ว” ในโถงกลางยามนี้ เฉินฉางชิงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงปิติยินดียิ่ง
“ข้าอยากรู้นัก ว่าเป็นศิษย์ฝ่ายในคนใดกัน” จากนั้นเขาก็เอ่ยปากถามต่อ
“เขามิใช่ศิษย์ฝ่ายในของสำนัก แต่เป็นศิษย์ฝ่ายนอกปีหนึ่งของสำนักขอรับ” หลินหยงตอบคำถามอย่างรวดเร็ว
“อะไรนะ ศิษย์ปีหนึ่งงั้นรึ!” เฉินฉางชิงและเหอเล่ออุทานขึ้นเกือบจะพร้อมกันในทันที ไม่ช้าร่างทั้งห้าก็ทะยานปราดออกจากโถงกลางด้านในตำหนัก พร้อมกับคลื่นของปราณกระบี่อันน่าสะพรึงกลัวที่พุ่งออกมา
หยางเสี่ยวเทียนรู้สึกเพียงสายลมพลันวูบปะทะใบหน้า ก่อนร่างผู้อาวุโสทั้งห้าจะปรากฏกายยืนนิ่งต่อหน้าเขา
ในบรรดาผู้อาวุโสทั้งห้าคน ประกอบด้วยบุรุษสี่และสตรีหนึ่ง แววตาของทั้งห้าพลันจับจ้องมองดูหยางเสี่ยวเทียนด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ
“เจ้าหมายความว่า เด็กคนนี้ใช้เวลามากกว่าหนึ่งเดือนเพื่อหยั่งรู้ศิลากระบี่ทั้งสิบเล่มอย่างนั้นหรือ” เฉินฉางชิงถามหลินหยงเสียงเข้ม
เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้วตั้งแต่สำนักเริ่มทำการเรียนการสอน เฉินฉางชิงพร้อมทั้งคนอื่นๆ ต่างเข้าใจไปเองว่าหยางเสี่ยวเทียน ใช้เวลามากกว่าหนึ่งเดือนเพื่อหยั่งรู้ศิลากระบี่ทั้งสิบเล่ม
เพียงหนึ่งเดือน กับศิลากระบี่สิบเล่ม! ความเร็วเช่นนี้ จึงมิแปลกที่จะทำให้เฉินฉางชิงและอีกสี่คนถึงกับตกใจพุ่งพรวดออกมา
เฉินฉางชิงเคยอวดอ้างว่าตนนั้นมีทักษะการหยั่งรู้ศิลากระบี่ที่เป็นเลิศ กระนั้นแล้วเขายังต้องใช้เวลามากถึงเจ็ดปี กว่าจะหยั่งรู้ศิลากระบี่ได้สิบเล่ม แต่เด็กคนนี้นั้นใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือนกลับสามารถเทียบเท่ากับเขาเจ็ดปี แล้วจะมิให้เขาตกใจได้อย่างไรกัน
หลินหยงส่ายหัวพลางกล่าวว่า “ผิดแล้ว อันที่จริงเขาใช้เวลาเพียงสี่วันในการหยั่งรู้ทั้งสิบศิลากระบี่เท่านั้น”
ห่ะ! สี่วัน!
ครั้นได้ยินดังนั้น เฉินฉางชิง เหอเล่อ และอีกสามคน ยืนแสบสะท้านไปทั้งทรวงราวกับถูกอัสนีศักดิ์สิทธิ์เก้าสวรรค์ ฟาดกระหน่ำพวกเขาอย่างมิปรานี
“ไม่ เป็นไปไม่ได้!” เรื่องน่าเหลือเชื่อเช่นนี้ ทำเหอเล่อแทบเส้นลมปราณแตกสลาย มือไม้พลางสั่นอย่างอ่อนแรง
“สี่วันหรือ เจ้าจะบอกว่าเขาหยั่งรู้ในสี่วันเองกระนั้นเรอะ” เหอเล่อกล่าวน้ำเสียงแหบแห้ง
แม้พวกเขาจะรู้อยู่เต็มอก ว่าหลินหยงมิได้ตลกกับเรื่องนี้แต่อย่างใด ทว่า เฉินฉางชิง และคนอื่น ๆ ก็ยังคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ มันจะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร
“เด็กน้อย เจ้าช่วยแสดงให้เราได้เห็นอย่างถนัดชัดตาทีว่า เพลงกระบี่จากศิลาทั้งสิบเล่มที่เจ้าหยั่งรู้มานั้น มันเป็นอย่างไร” เฉินฉางชิงมองไปที่หยางเสี่ยวเทียน เด็กน้อยผู้มีใบหน้าขาวบริสุทธิ์ ท่าทีดูนิ่งสงบราวกับรูปปั้นหยกตรงหน้าเขา
เขาพยายามควบคุมอารมณ์ให้ได้มากที่สุดขณะสบตากับหยางเสี่ยวเทียน แต่เสียงของเขาที่มิได้เปล่งออกมานับหลายสิบปียามนี้กลับสั่นเครือ
หยางเสี่ยวเทียนพยักหน้า แล้วบิดตัวเยื้องย่างไปยังพื้นที่โล่งกว้างหน้าตำหนักกระบี่ ครั้นเมื่อบรรลุถึง เขาจึงชักกระบี่แล้วร่ายรำออกไปอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้น ปราณกระบี่อันน่าทึ่ง ก็เปล่งแสงแรงกล้าราวกับสุริยันที่พร้อมจะแผดเผาทุกสรรพสิ่งให้เป็นเถ้าถ่าน ปรากฏออกมาประจักษ์ชัดต่อสายตาเหล่าผู้อาวุโสทั้งห้ายังเบื้องหน้าทันที
สิ่งที่หยางเสี่ยวเทียนกำลังแสดงอยู่นี้ คือ “เพลงกระบี่ระพีแผดเผา” เคล็ดวิชาจากศิลากระบี่เล่มแรก หากมองจากระยะไกล แสงของปราณกระบี่ดูสว่างไสวขึ้นๆ ลงๆ ประหนึ่งดวงสุริยันอันแข็งแกร่งแลทรงพลังยิ่ง
คราได้ประสบกับเพลงกระบี่ระพีแผดเผาของหยางเสี่ยวเทียน ดวงตาของเฉินฉางชิงพร้อมทั้งสี่คนก็สั่นไหว
“ขั้นฉลาดล้ำเลิศ!”
เดิมที พวกเขาต่างคิดว่าหยางเสี่ยวเทียนนั้น เพิ่งหยั่งรู้เคล็ดวิชาจากศิลากระบี่ได้หมาดๆ คงมิอาจแสดงพลังได้มากเท่าไรนัก
แต่ยามนี้ กลับต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ไปมิใช่น้อย เพราะเพลงกระบี่ระพีแผดเผาของหยางเสี่ยวเทียนที่ร่ายรำออกมานั้น ได้ฝึกฝนจนบรรลุขั้นฉลาดล้ำเลิศแล้ว
มิเพียงผู้อาวุโสทั้งห้าเท่านั้น แต่หลินหยงและเฉินหยวนต่างก็ตะลึงลานเช่นกัน เนื่องด้วยมิคาดคิดว่าหยางเสี่ยวเทียนจะฝึกฝนเพลงกระบี่ระพีแผดเผา จนบรรลุขั้นฉลาดล้ำเลิศได้ในเวลาเพียงสี่วันเท่านั้น
เพียงหนึ่งถ้วยชา หยางเสี่ยวเทียนก็จบกระบวนท่าของเพลงกระบี่ระพีแผดเผา ไม่ถึงอึดใจก็ใช้กระบวนท่าต่อไปทันที “เพลงกระบี่จันทราเยือกแข็ง”
เกล็ดหิมะเริ่มโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้ากระจ่างใสเบื้องบน แม้นจะเป็นยามกลางวันที่แสงแดดนั้นแรงกล้า แต่หิมะสีขาวกลับร่วงหล่นลงมาอย่างน่าประหลาดใจยิ่ง
ท่ามกลางปราณกระบี่น้ำแข็งที่โปรยปรายหิมะอันหนาวเหน็บ กลับมีพระจันทร์ลอยเด่นอยู่เหนือฟากฟ้าเบื้องหน้า แผ่กลิ่นอายเย็นเฉียบออกมาประหนึ่งเป็นเหมันต์ฤดู
เฉินฉางชิงและคนอื่นๆ ต่างเบิกตาทึ่งตกใจจนมิสอดคล้องกัน เพลงกระบี่นี้ก็บรรลุถึงขั้นฉลาดล้ำเลิศอีกแล้วงั้นรึ!