บทที่ 103 ท่านกัวเจี๋ยผู้ยิ่งใหญ่
ขณะที่หยางเสี่ยวเทียนเดินเข้าหาหลินหยงและเฉินหยวน เฉินหยวนกลับพุ่งตัวเข้าสวมกอดเขา ด้วยความปิติยินดีบนใบหน้าเหี่ยวย่น ก่อนหยางเสี่ยวเทียนจะทันใกล้ถึงตัวชายชราเสียด้วยซ้ำ
“ขอบใจนะเจ้าหนู!” วาจาที่กล่าวและอาการที่แสดง บ่งบอกว่าหัวใจดวงน้อยๆ ของชายชราผู้นี้ เอ่อล้นด้วยปลาบปลื้มในตัวเขาเพียงใด
สำนักเสินเจี้ยนของเราโชคดียิ่งนัก ที่มีศิษย์อย่างหยางเสี่ยวเทียน!
“ท่านรองเจ้าสำนักเฉิน ท่านรัดคอข้าแน่นเกินไป” น้ำเสียงติดๆ ขัดๆ ของหยางเสี่ยวเทียนเอ่ยขึ้นขณะจมอยู่ในอ้อมแขนที่ดูจะโรยราแต่เรี่ยวแรงกลับตรงกันข้าม
ทุกคนแทบสะดุดล้มหัวทิ่มคะมำ หลังได้ยินน้ำเสียงน่าเวทนาเช่นนั้นของหยางเสี่ยวเทียน
เฉินหยวนสะดุ้งตกใจด้วยรู้สึกตื่นเต้นเกินไปจนรีบปล่อยร่างเขาลงอย่างรวดเร็ว เพราะเกรงจะกอดรัดคอหยางเสี่ยวเทียนแน่นจริงๆ ทำเอาเขาเกือบจะโซซัดโซเซกายหกคะเมนตามผู้คนรอบจัตุรัส
“ท่านเจ้าสำนักหลิน ข้าจำได้ว่าสำนักเรามีกฎระบุไว้ หากผู้ใดหยั่งรู้ศิลากระบี่สิบเล่มขึ้นไป จะสามารถเข้าพบผู้อาวุโสทั้งห้ายังตำหนักกระบี่ได้ใช่หรือไม่” หยางเสี่ยวเทียนเปิดปากถามหลินหยงหลังจากเฉินหยวนคลายตัวเขาออก
หลินหยงอึ้งไปครู่ จากนั้นยิ้มพลางกล่าวว่า “ใช่ เราจะพาเจ้าไปพบผู้อาวุโสทั้งห้าตอนนี้”
กล่าวจบ เขาและเฉินหยวนก็เดินนำหยางเสี่ยวเทียนไปยังลานฝ่ายในของสำนักทันที
สำนักเสินเจี้ยนแห่งนี้ แบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือลานฝ่ายนอกเป็นพื้นที่ของศิษย์ทั่วไปของสำนัก และส่วนที่สองคือลานฝ่ายใน เป็นพื้นที่สำหรับศิษย์สายตรงหรือศิษย์ฝ่ายในของสำนัก
ศิษย์ทั่วไปจะต้องผ่านการประเมินความสามารถอยู่หลายต่อหลายครั้ง ก่อนจะสามารถเป็นศิษย์ฝ่ายในของสำนักได้
โดยปกติ ผู้ที่สามารถเข้าออกลานฝ่ายในได้ คือบรรดาอาจารย์และศิษย์ฝ่ายในของสำนักเท่านั้น
ระหว่างทาง ศิษย์ฝ่ายในต่างพากันมองตามหยางเสี่ยวเทียนด้วยสีหน้าซับซ้อน ทั้งดูถูก เหยียดหยามบ้างก็ชื่นชมเคล้าสงสัยปะปนกันไป
ณ ลานฝ่ายใน ล้วนเต็มไปด้วยแมกไม้โบราณนานาชนิด ประกอบกับหอและตำหนักมากมายดูมีความเก่าแก่แลตระการตาน่านับถือ ทั้งยังให้ความรู้สึกแบบโบราณกาลยิ่ง
ตามผืนผนังของส่วนต่างๆ ถูกจารึกด้วยอักษรรูนเกี่ยวกับเพลงกระบี่ คล้ายจะเป็นเคล็ดวิชาปรากฏอยู่ทุกที่ รวมถึงกระบวนท่าสลักไว้มากมายสุดคณานับ และกลิ่นอายจากปราณกระบี่ที่หลงเหลือ แผ่กระจายอยู่ทั่วสี่ทิศแปดด้าน
หยางเสี่ยวเทียนกวาดสายตามองบริเวณโดยรอบ ก่อนจะชะงักเห็นรูปปั้นสูงตระหง่าน ฝีมือนับได้ว่าประณีตนัก ทั้งยังมีหลายรูปลักษณ์ประดับอยู่ตามลานฝ่ายใน
“บุคคลทั้งสี่นี้ เป็นเซียนกระบี่ผู้มีความสามารถที่สุดในประวัติศาสตร์ของสำนักเรา” หลินหยงแนะนำบรรดารูปปั้นเหล่านั้นให้หยางเสี่ยวเทียนฟังหลังเห็นเขาดูมีท่าทีสนใจ
และกล่าวเสริมว่า “พวกเขาแต่ละคน สามารถหยั่งรู้ศิลากระบี่ได้มากถึงหกสิบเล่ม!”
“ศิลากระบี่หกสิบเล่ม” หยางเสี่ยวเทียนอุทานด้วยรู้สึกประหลาดใจ
สำหรับศิษย์ ผู้สามารถหยั่งรู้ศิลากระบี่ได้หนึ่งเล่ม ก็นับว่าดีมากพอเป็นที่เลื่องลือในสำนักเสินเจี้ยน และอัจฉริยะที่สามารถหยั่งรู้ศิลากระบี่มากถึงสิบเล่ม ก็ถือเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างหาใครเทียบได้
“ถูกต้อง แล้วเจ้าก็เป็นหนึ่งในอัจฉริยะพวกนั้นเช่นกัน” เฉินหยวนกล่าวเสริมด้วยรอยยิ้ม
“หากใครก็ตาม ที่สามารถหยั่งรู้ศิลากระบี่มากถึงหกสิบเล่ม เขาจะถูกสร้างรูปปั้นคล้ายตัวแทนไว้เพื่อเป็นสิ่งยืนยันในความสามารถ ทั้งยังได้รับความชื่นชมจากศิษย์คนอื่นๆ อีกด้วย และบุคคลนี้คือ ผู้อาวุโสคนที่สองของสำนักเราตั้งแต่ก่อตั้ง ท่านกัวเจี๋ยผู้ยิ่งใหญ่” เฉินหยวนกล่าวพลางชี้ไปยังรูปปั้นหนึ่งในนั้น
“เขาเป็นผู้หยั่งรู้ศิลากระบี่ ได้มากถึงเจ็ดสิบเจ็ดเล่มเลยทีเดียวเชียว” เฉินหยวนกล่าวสืบต่อพร้อมด้วยท่าทางชื่นชมแลนับถือบนในหน้าชราของเขา
วาจาเฉินหยวนที่กล่าวออกมาเมื่อครู่ ได้เขย่าหัวใจของหยางเสี่ยวเทียนให้สั่นไหว เพราะรู้สึกประทับใจครั้นได้ยินดังนั้น
หยั่งรู้ศิลากระบี่เจ็ดสิบเจ็ดเล่ม!
หลินหยงแหงนมองไปยังรูปปั้นของกัวเจี๋ย แล้วกล่าวคำชื่นชมเสริมวาจาเฉินหยวนเมื่อครู่ “เขาเป็นเพียงคนเดียวในสำนัก ที่สามารถบรรลุเคล็ดวิชาจากศิลากระบี่ได้มากสุดในประวัติศาสตร์ของสำนักเสินเจี้ยนอีกต่างหาก ด้านฝีมือก็นับว่าร้ายกาจมากนัก”
เป็นศิษย์เพียงคนเดียวในบรรดาศิษย์ส่วนใหญ่ ที่สามารถหยั่งรู้ได้มากขนาดนี้
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ยังมิมีผู้ใดสามารถหยั่งรู้ศิลากระบี่ทั้งร้อยเล่มในจัตุรัสได้สักคน
“ท่านเจ้าสำนักหลิน ข้าอยากรู้ว่าผู้อาวุโสเฉินฉางชิง หยั่งรู้ศิลากระบี่ได้กี่เล่ม” หยางเสี่ยวเทียนเปิดปากถามอย่างใคร่สงสัย
ตอนนี้ เฉินฉางชิงเป็นปรมาจารย์ระดับสูงของสำนักเสินเจี้ยน
“ผู้อาวุโสเฉินฉางชิงหยั่งรู้ศิลากระบี่ได้ห้าสิบเจ็ดเล่มแล้ว” หลินหยงกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
ดังนั้น ในหลายร้อยปีมานี้ สำนักเสินเจี้ยนของเราจึงมีเพียงสี่คนเท่านั้น ที่เป็นบุคคลผู้สามารถหยั่งรู้ศิลากระบี่ได้มากสุดถึงหกสิบเล่ม
และเฉินฉางชิงผู้สามารถหยั่งรู้ศิลากระบี่ถึงห้าสิบเจ็ดเล่ม ก็แสดงให้เห็นถึงทักษะอันเก่งกาจด้านเพลงกระบี่ระดับสูงของเขาแล้ว ว่าเขาคู่ควรเหมาะสมกับความแข็งแกร่งแค่ไหน
“ห้าสิบเจ็ดเล่มเลยหรือ” หยางเสี่ยวเทียนพึมพำกับตนเองเงียบๆ
นั่นหมายความว่ายังเหลือศิลากระบี่อีกสามเล่ม ที่เขาต้องหยั่งรู้ให้สำเร็จ
เวลานั้นเอง เฉินหยวนที่ได้ยินเสียงพึมพำด้วยประหลาดใจของหยางเสี่ยวเทียน ก็เผยยิ้มให้อย่างเมตตาพลางกล่าวเสริมกำลังใจ
“อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่เจ้าสามารถหยั่งรู้ศิลากระบี่ได้ถึงสามสิบเล่ม เจ้าก็สามารถเป็นผู้อาวุโสของตำหนักกระบี่ได้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นเสี่ยวเทียน เจ้าต้องหมั่นเพียรให้มาก”
หลินหยงแย้มยิ้มและกล่าวว่า “ใช่แล้ว หากเจ้าสามารถเป็นผู้อาวุโสของตำหนักกระบี่ได้ สถานะของเจ้าก็จะเทียบเท่าข้าในฐานะเจ้าสำนัก”
“ไม่เพียงเท่านั้น เจ้ายังสามารถเพลิดเพลินกับทรัพยากรที่ศิษย์หลายคนในสำนักเสินเจี้ยนไม่สามารถเข้าถึงได้ แม้แต่คัมภีร์ลับที่อยู่ชั้นบนสุดของหอคัมภีร์ก็สามารถเข้าถึงได้เช่นกัน สะดวกสบายเสียนี่กระไร” หลินหยงกล่าวเสริม
ชั้นบนสุดของหอคัมภีร์สำนัก มีคัมภีร์ลึกลับและคัมภีร์หายากมากมาย ที่ถูกรวบรวมแลรักษาไว้อย่างยากลำบากมานานนับร้อยๆ ปี ซึ่งชั้นนั้นไม่ได้เปิดให้อาจารย์และศิษย์ในสำนักเข้าไปได้ จะมีก็เพียงระดับผู้อาวุโสของสำนักเท่านั้น
แน่นอนว่า หากหยางเสี่ยวเทียนสามารถเป็นผู้อาวุโสแห่งตำหนักกระบี่ได้ เขาก็สามารถเข้าและออกชั้นบนสุดของหอคัมภีร์ได้เช่นกัน
หยางเสี่ยวเทียนพยักหน้ารับทราบ ก่อนหันมาพินิจนึกบางอย่าง
ผู้อาวุโสแห่งตำหนักกระบี่เช่นนั้นหรือ
คงจะดีมิใช่น้อย หากเขาสามารถเป็นผู้อาวุโสของตำหนักกระบี่ได้จริงๆ
เพราะในฐานะผู้อาวุโสของตำหนักกระบี่ การที่เขาจะกระทำสิ่งต่างๆ ล้วนมีความสะดวกง่ายกว่ามาก และที่สำคัญ หูซิง เฉิงเป้ยเป้ยและคนอื่นๆ จะต้องให้ความเคารพเขาในฐานะผู้อาวุโส ต้องคอยก้มหัวคำนับทุกครั้งเมื่อได้เห็นอย่างมิอาจขัดขืน
หลังจากนั้นไม่นาน หลินหยงและเฉินหยวนก็พาหยางเสี่ยวเทียนมาถึงตำหนักกระบี่
ตำหนักกระบี่นั้น ตั้งอยู่ในส่วนลึกสุดของสำนักเสินเจี้ยน