บทที่ 102 ให้ตายเถอะเจ้าเด็กนี่
ในช่วงชีวิตของพวกเขา หลายคนยังมิอาจหยั่งรู้ศิลากระบี่ได้แม้แต่เล่มเดียว ซึ่งหยางเสี่ยวเทียนกลับสามารถหยั่งรู้ศิลากระบี่ได้ถึงสามเล่มในวันเดียว ไม่ให้เรียกเทพแล้วจะให้เรียกเขาว่าอะไร
ครั้นหยางเสี่ยวเทียนมาหยุดอยู่ตรงหน้าศิลากระบี่เล่มที่หก ทุกคนรอบตัวเขาก็ต่างเริ่มอิจฉาตาร้อน ที่ยังคงเห็นท่าทีสงบของเขาพร้อมดำดิ่งสู่พิภพแห่งศิลากระบี่อย่างรวดเร็ว หาได้สนใจในสายตาแดงก่ำจากพวกเขาไม่
เมื่อหยางเสี่ยวเทียนเริ่มหยั่งรู้ ทุกผู้โดยรอบจัตุรัสต่างสงัดเงียบ เปรียบดั่งบรรยากาศก่อนเกิดพายุลูกใหญ่ เหลือไว้เพียงเสียงหายใจอันแผ่วเบาเท่านั้น
ส่วนหลินหยงและเฉินหยวนทั้งคู่ ล้วนตกสู่ห้วงภวังค์ไปก่อนหน้านั้นแล้ว
การหยั่งรู้ครานี้ เหมือนจะใช้เวลายาวนานกว่าเล่มก่อนหน้ามาก
ทุกคนจับจ้องมองหยางเสี่ยวเทียนเป็นตาเดียว
ทันใดนั้น ปราณกระบี่จรัสแสงอันแรงกล้า ก็พุ่งออกมาจากศิลากระบี่เล่มที่หกพร้อมเสียงดังกึกก้อง ปรากฏต่อสายตาฝูงชนเบื้องหน้าโดยพลัน
ครืน!
แสงสว่างไสวประทับในดวงตาทุกคู่ ก่อนที่จัตุรัสอันเงียบเชียบแต่เดิมจะพลันระเบิดเสียงโห่ร้องยินดี ซึ่งนั่นเป็นเสียงของบรรดาอาจารย์และศิษย์เกือบทุกคนที่กำลังยกแขนขึ้นอย่างดีอกดีใจ
มิเพียงแต่พวกเขาเหล่านั้น แม้แต่หลินหยงและเฉินหยวนเอง ต่างก็ตะโกนด้วยความปิติเช่นกัน
“สำเร็จ!”
ศิลากระบี่เล่มที่หก เขาหยั่งรู้สำเร็จแล้ว!
ทันทีที่พวกเขารับรู้ว่าหยางเสี่ยวเทียนหยั่งรู้ศิลากระบี่เล่มที่หกสำเร็จ สีหน้าพวกเขาก็มิอาจนิ่งเงียบได้อีกต่อไป ต่างส่งเสียงแสดงถึงความสุขใจเผยขึ้นบนใบหน้าจากก้นบึ้ง
แม้นว่านั่นจะมิใช่ความสำเร็จของพวกเขา แต่สิ่งที่หยางเสี่ยวเทียนกระทำอยู่นั้น นับเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของสำนักเสินเจี้ยนแห่งนี้!
ทว่า หยางเสี่ยวเทียนยามนี้กำลังจมอยู่ในห้วงพิภพแห่งปราณกระบี่ของศิลาเล่มที่หก จึงมิอาจรับรู้เสียงสนับสนุนจากภายนอกได้ ถึงมันจะดังสนั่นไม่น้อยอยู่ก็ตาม
อีกด้านหนึ่งเวลาเดียวกัน บรรดานักปรุงโอสถของหอสมาคม ต่างแสดงอาการประหลาดใจเมื่อเห็นปราณกระบี่พุ่งทะลวงนภากาศอย่างต่อเนื่องจากสำนักเสินเจี้ยน นั่นรวมทั้งหลินหยวนด้วยเช่นกัน
“ให้ตายเถอะเจ้าเด็กน้อยคนนี้ เขาคงไม่คิดจะหยั่งรู้กระบี่ถึงเจ็ดเล่มในวันเดียวจริงๆ หรอกกระมัง” หลินหยวนกล่าวน้ำเสียงเนิบนาบพร้อมแสดงสีหน้าเจื่อนๆ
คงเป็นเพราะวาจาเขาวานนี้ ที่กล่าวว่าหากต้องการเข้าพบเฉินฉางชิง จำต้องหยั่งรู้ศิลากระบี่ให้ครบสิบเล่มเสียก่อน
ไม่คิดเลยว่า เช้าวันต่อมาเจ้าตัวน้อยนี่จะรีบร้อนหยั่งรู้ศิลากระบี่ให้ถึงสิบเล่มจริงๆ
จะมีผู้ใดล่วงรู้ ว่าการกระทำเช่นนี้ของหยางเสี่ยวเทียน ก็เพียงเพราะปรารถนาจะพบกับเฉินฉางชิง
ด้วยต้องการทราบแหล่งที่พบไฟศักดิ์สิทธิ์จากเฉินฉางชิงเท่านั้น
ครั้นหลินหยวนคะนึงนึกได้ก็พลางสายศีรษะด้วยเหนื่อยหน่ายใจ ต่อให้รู้ว่าไฟศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ใดแล้วอย่างไร สุดท้ายก็ไม่เคยมีใครพิชิตมันได้อยู่ดี
แม้แต่จักรพรรดิแห่งอาณาจักรมังกรศักดิ์สิทธิ์ ก็ยังมิอาจพิชิตไฟศักดิ์สิทธิ์ได้ สำมะหาอะไรกับเด็กน้อยอย่างหยางเสี่ยวเทียน
อาการตกตะลึงเช่นนี้ มิเพียงคนที่หอสมาคมนักปรุงโอสถเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเหล่าวิญญาจารย์ผู้แข็งแกร่งจากทั่วทุกสารทิศ ณ เมืองเสินเจี้ยนเพลานี้ พวกเขาก็ต่างแตกตื่นกับปราณกระบี่ในสำนักเสินเจี้ยนที่ปะทุขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นกัน
ครึ่งชั่วยามต่อมา หยางเสี่ยวเทียนก็สามารถหยั่งรู้ศิลากระบี่เล่มที่หกได้สำเร็จ
ทันทีที่การรับรู้ตื่นขึ้นพร้อมกับเขาลืมตาจากห้วงภวังค์แห่งพิภพศิลากระบี่ ก็ได้ยินเสียงโห่ร้องยินดีรายล้อมอยู่รอบตัวเขา
“หยางเสี่ยวเทียน! หยางเสิน!” ทันใดนั้น ศิษย์คนหนึ่งก็ตะโกนอย่างตื่นเต้น
“หยางเสิน!” ศิษย์ห้าคนตะโกนตาม
“หยางเสิน!” ศิษย์สามสิบคนแผดเสียง
“หยางเสิน!” เกือบทั้งหมดส่งเสียงคำราม
เสียงของผู้คนจำนวนมาก เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ประหนึ่งจะดังกังวานก้องไปทั่วสวรรค์และโลก
หลินหยงกับเฉินหยวน ทั้งคู่หันซ้ายแลขวามองตามบรรดาเสียงโห่ร้องปลาบปลื้มอย่างบ้าคลั่งของเหล่าอาจารย์และศิษย์ในสำนักทุกคนเพราะประหลาดใจ
แต่ในทางกลับกัน หยางเสี่ยวเทียนยังคงสืบเท้าไปยังศิลากระบี่เล่มที่เจ็ด ด้วยใบหน้าสงบนิ่งราวกับมิได้ยินเสียงเหล่านั้น
ทำเสียงตะโกนดังจากทุกคนด้วยตื่นเต้นพลางค่อยๆ ผ่อนเบาลงไปตามกันก่อนสุดท้ายจะหยุดเงียบเพียงชั่วครู่ จากนั้นเสียงเรียนขานนาม “หยางเสิน” จะสนั่นดังขึ้นอีกครั้ง
เสียงเรียก “หยางเสิน” สะท้านดังมิต่างกับเสียงฟ้าร้องยามพายุห่าฝน ดังก้องไปถ้วนทั่วสำนักเสินเจี้ยน
ถึงกระนั้นก็มิเป็นปัญหาต่อจิตใจอันสงบนิ่งประดุจน้ำนิ่งใต้ก้นบ่อของหยางเสี่ยวเทียน เขาตัดสัมผัสรับรู้จากเสียงยังโลกภายนอก แล้วเริ่มหยั่งรู้ศิลากระบี่เล่มที่เจ็ดต่อไป จนสำเร็จภายในหนึ่งก้านธูป
หลังจากผ่านไปเพียงสี่ถ้วยชา
หยางเสี่ยวเทียนก็บรรลุศิลากระบี่เล่มที่แปดอย่างสมบูรณ์
ก่อนที่อีกชั่วยามถัดมา หยางเสี่ยวเทียนจะเริ่มหยั่งรู้ศิลากระบี่เล่มที่สิบต่อโดยมิมีหยุดพัก หรือดูเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด
เมื่อใดที่เขาหยั่งรู้ศิลากระบี่ครบทั้งสิบเล่ม เขาก็จะสามารถพบกับเฉินฉางชิงได้เมื่อนั้น
หยางเสี่ยวเทียนยืนอยู่หน้าศิลากระบี่เล่มที่สิบ ในดวงตาอันมุ่งมั่นเห็นเพียงศิลาเบื้องหน้าเท่านั้น
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมฆาที่เลื่อนลอยอยู่บนนภากาศ ก็ผันเปลี่ยนรูปร่างไปคราแล้วคราเล่า
ในที่สุด หยางเสี่ยวเทียนก็หยั่งรู้ศิลากระบี่เล่มที่สิบได้สำเร็จ ภาพนั้นตราตรึงมาพร้อมกับเสียงโห่ร้องเรียกอันเดือดพล่าน “หยางเสิน” อีกครั้ง
หลังหยั่งรู้ศิลากระบี่ทั้งสิบเล่มอย่างสมบูรณ์ หยางเสี่ยวเทียนทอดถอนใจยาวด้วยความโล่งอก และหยุดลงตรงนั้นไม่เขยื้อนร่างไปต่อ ก่อนจะหมุนตัวเดินหาหลินหยงกับเฉินหยวน