บทที่ 101 หยางเสิน!
เช้ามืดในวันรุ่งขึ้น หยางเสี่ยวเทียนได้มาที่หอคัมภีร์ของสำนัก เพื่อแลกเปลี่ยนคัมภีร์เล่มใหม่เช่นทุกครา
ครั้นแลกเปลี่ยนคัมภีร์วรยุทธเสร็จ หยางเสี่ยวเทียนก็รุดหน้าไปยังจัตุรัสร้อยกระบี่ เพราะต้องการหยั่งรู้ศิลากระบี่ให้ถึงสิบเล่มโดยเร็ว
เวลานี้ ท้องฟ้าอึมครึมยามรุ่งสางเริ่มสว่างใส ศิษย์หลายคนในสำนักเสินเจี้ยนขณะกำลังฝึกกระบี่อยู่ ต่างพากันหยุดทุกการเคลื่อนไหวลงหลังเห็นหยางเสี่ยวเทียน มุ่งหน้าตรงไปจัตุรัสร้อยกระบี่
บรรดาศิษย์เหล่านั้นต่างทิ้งกระบี่ในมือลง แล้วออกตัวติดตามหยางเสี่ยวเทียนด้วยความตื่นเต้น
ไม่ช้า หยางเสี่ยวเทียนก็มาถึงจัตุรัส แล้วปรี่ตรงไปหยุดอยู่ยังศิลากระบี่เล่มที่สี่ในจัตุรัส
ทันใดนั้น ปราณกระบี่อันน่าอัศจรรย์ก็พุ่งทะลวงความเงียบสงบยามเช้า สร้างความโกลาหลไปทั่วสำนักทันที
บรรดาศิษย์และอาจารย์ ครั้นเห็นปรานกระบี่ก็ต่างพากันวิ่งอย่างอลหม่าน ไหลมารวมเป็นกลุ่มขนาดใหญ่โอบล้อมจัตุรัสร้อยกระบี่ ทำบริเวณโดยรอบดูมืดฟ้ามัวดินในทันตา
ครึ่งชั่วยามผ่านไป
หยางเสี่ยวเทียนหยั่งรู้ศิลากระบี่เล่มที่สี่ได้ถ่องแท้จนบรรลุสำเส็จ ท่ามกลางสายตาอันคอยจับจ้องอย่างระทึกใจขณะนี้
เมื่อทุกคนคิดว่ามันจบลงแล้วและกำลังจะแยกย้าย จู่ๆ ร่างผอมของหยางเสี่ยวเทียนกลับย่างกรายตรงไปยังศิลากระบี่เล่มที่ห้าต่อ ทำเอาผู้คนโดยรอบถึงกับยืนตะลึงลาน
“นั่นคงมิใช่ว่าหยางเสี่ยวเทียนกำลังจะ จะหยั่งรู้ศิลากระบี่เล่มที่ห้าต่อใช่หรือไม่” ศิษย์หนึ่งในนั้นอุทานออกมาน้ำเสียงสั่นเครือ
ท่ามกลางฝูงชนที่หนาแน่น หลินหยงและเฉินหยวนสะบัดหน้าหากัน ก่อนจะพบว่าแววตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความตกใจอย่างเหลือเชื่อ
ก่อนหน้านี้ หยางเสี่ยวเทียนสามารถหยั่งรู้ศิลากระบี่หนึ่งเล่มได้ในหนึ่งวัน ซึ่งนั่นก็น่าประหลาดใจมากพออยู่แล้ว แต่ตอนนี้ เขากลับต้องการหยั่งรู้ศิลากระบี่ถึงสองเล่มในวันเดียวเลยกระนั้นหรือ
โดยปกติ การหยั่งรู้ศิลากระบี่ในหนึ่งวันนั้นก็นับว่ายากพอแล้ว แต่เมื่อเห็นการกระทำของเขาในวันนี้ นี่เป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่ามาก
อะไรกัน มันหยั่งรู้ได้ง่ายขนาดนั้นเลยเชียวรึ!
ทั้งสองคนต่างฉงนสงสัยกับการกระทำของหยางเสี่ยวเทียนตรงหน้า ไม่รู้จะอธิบายความบ้าดีเดือดเขาขณะนี้เช่นไร
“เขาจะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?” ครั้นเฉินหยวนเห็นหยางเสี่ยวเทียนเดินดุ่มๆ หาศิลากระบี่เล่มที่ห้า สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความกังวลใจนัก
หยางเสี่ยวเทียนเพิ่งหยั่งรู้ศิลากระบี่เล่มที่สี่ไปเพียงครู่เดียว ตอนนี้ เขากลับกำลังเดินเข้าหาศิลากระบี่เล่มที่ห้าเพื่อหยั่งรู้อีก ภาพนั่นทำเฉินหยวนเริ่มเกรงด้วยพะวงว่าหยางเสี่ยวเทียนจะกลายเป็นคนวิกลไปเสียก่อน
หลินหยงผู้ยืนอยู่ข้างๆ เฉินหยวนยามนี้ ก็มีสีหน้ามิแตกต่างกัน แม้เด็กคนนี้จะเป็นอัจฉริยะนักกระบี่ แต่การกระทำเช่นนี้ช่างเป็นการหยั่งรู้ที่บ้าระห่ำยิ่งนัก
ภายใต้ความโกลาหลในหมู่ฝูงชน ขณะนี้ หยางเสี่ยวเทียนเดินมาหยุดอยู่หน้าศิลากระบี่เล่มที่ห้าพร้อมปลดปล่อยจิตวิญญาณแห่งกระบี่เพื่อเปิดการรับรู้ ชั่วพริบตา เขาก็เริ่มหยั่งรู้ทันทีอย่างมิมีรั้งรอ
เมื่อทุกสายตาประจักษ์ดังนั้น ก็พลันกลั้นหายใจอย่างลุ้นระทึก บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัดลง จนได้ยินเพียงเสียงหัวใจกำลังเต้น
ไม่ถึงสามลมหายใจ ปราณกระบี่ขนาดใหญ่ก็ส่องแสงแยงทะยานขึ้นสู่นภากาศอีกครั้ง แหวกหมู่มวลเมฆากระจายออกเป็นวงกว้างทันที
“นี่ มันจะเป็นไปได้จริงงั้นเรอะ!” หนึ่งในบรรดามวลชนโดยรอบจัตุรัส พลันอุทานขึ้นอย่างมิอาจเชื่อในสายตา ใบหน้าพลางซีดเผือดเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
ขณะนี้ หยางเสี่ยวเทียนอยู่ในห้วงพิภพแห่งศิลากระบี่เล่มที่ห้าเช่นทุกครั้ง แต่ทว่าภายนอกกายนั้น ปราณกระบี่ได้กระจายแผ่ออกปกคลุมไปทั่วทั้งพื้นที่แลผู้คนโดยรอบแล้ว
เดิมที พวกเขาก็ตกใจมิใช่น้อยอยู่แล้ว หลังได้ประสบเห็นปรานกระบี่อันทรงพลังเช่นนี้ จนใบหน้าซีดเซียวลงกว่าเดิมเป็นหนักหนา ปากก็ชาขาก็สั่น มิคิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริงไปได้
“นี่มันอะไรกัน เขายังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า” ศิษย์จำนวนมากต่างมีแววตาเวิ้งว้างว่างเปล่า น้ำเสียงที่กล่าวก็แผ่วเบายิ่งนัก
ในสายตาศิษย์หลายคนของสำนักเสินเจี้ยน คราได้เห็นหยางเสี่ยวเทียนหยั่งรู้ศิลากระบี่ทุกวันอย่างถนัดชัดตา ตอนนี้เขาแทบจะไม่ใช่มนุษย์ เพราะมีศิษย์บางคนเห็นเขาเป็นเทพไปเสียแล้ว
โดยพวกเขาเหล่านั้น ต่างเรียกนามแทนหยางเสี่ยวเทียนว่า “หยางเสิน” (เทพหยาง)
หลินหยงและเฉินหยวนผู้มีทีท่าวิตกกังวลในตอนแรกนั้น เพลานี้ก็ได้ประจักษ์แล้วว่า หยางเสี่ยวเทียนสามารถหยั่งรู้ศิลากระบี่เล่มที่ห้าได้จริง จนพวกเขาถึงกับผ่อนปรนลมหายใจด้วยคลายกังวล
เฉินหยวนยกมือขึ้นกุมหน้าอกสัมผัสหัวใจของตน ก่อนส่งยิ้มให้หลินหยงแล้วกล่าวว่า “ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา การกระทำของเสี่ยวเทียนแต่ละครั้ง พานให้หัวใจของชายชราเช่นข้า เปราะบางมากขึ้นเรื่อยๆ”
นี่ไม่ใช่การกล่าวเกินจริงแต่อย่างใด ทุกคำล้วนออกมาจากส่วนลึกของจิตใจ ใช่เสแสร้งแกล้งทำ
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา หยางเสี่ยวเทียนได้เข้าใจเกี่ยวกับศิลากระบี่ ซึ่งสิ่งที่เขาทำ นับเป็นเรื่องค่อนข้างจะเสี่ยงอยู่มิใช่น้อยสำหรับเด็กเช่นเขา
เพราะหากมีเหตุอันใดผิดพลาด มาตรว่าหยางเสี่ยวเทียนจะถูกพลังจากปราณกระบี่ย้อนเข้าตัว ทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดีต่อตัวเขาเองในอนาคต
หลินหยงยิ้มกึ่งหัวเราะและกล่าวว่า “เราทั้งสองดูท่าจะรู้สึกเช่นเดียวกัน เกรงว่าคงต้องหาเคล็ดวิชาฟื้นฟูหัวใจมาฝึกปรือแล้วกระมัง ฮ่า ฮ่า”
หลังจากนั้น ทั้งสองก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกัน ลั่นทั้งจัตุรัสโดยรอบ
ศิลากระบี่เล่มที่ห้าคือ “เพลงกระบี่อัสนีคลั่ง”
ครึ่งชั่วยามต่อมา หยางเสี่ยวเทียนก็หยั่งรู้ศิลากระบี่เล่มที่ห้า จนบรรลุตามความคาดหวังสำเร็จ
ขณะที่หลินหยงและเฉินหยวน กำลังจะเดินเข้าหาหยางเสี่ยวเทียนกลางลานจัตุรัสด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าเพราะเห็นว่าการหยั่งรู้นั้นจบลงแล้ว
แต่ยังมิทันไร พวกเขาก็ต้องชะงักเท้ากึก สีหน้ายิ้มแย้มบานสำราญเมื่อครู่ ผันเปลี่ยนเป็นหุบลงอย่างกระทันหัน ด้วยเห็นหยางเสี่ยวเทียนเดินเบี่ยงไปหาศิลากระบี่เล่มที่หก
หลินหยงพร้อมเฉินหยวนอ้าปากค้างขณะตกตะลึง อึ้งจนมิสามารถปริปากหรือเขยื้อนตัวตามความคิดไปไหนได้
ด้านเกาลู่ อาจารย์และบรรดาศิษย์ทั้งหลายยามนี้ ก็มิแตกต่างจากสองผู้อาวุโสที่ยืนแข็งทื่อราวถูกแช่แข็งกันทั้งจัตุรัส
“เขาใคร่หยั่งรู้ศิลากระบี่เล่มที่หก!” มีคนตัวสั่น
นี่เขา จะหยั่งรู้ศิลากระบี่เล่มที่หกอีกงั้นรึ!
หรือจริงๆ แล้วหยางเสี่ยวเทียน ตั้งใจจะหยั่งรู้ศิลากระบี่ถึงสามเล่มพร้อมกันในวันเดียว
แทนที่จะเป็นสอง!
นัยน์ตาหลินหยงและเฉินหยวน ที่จับจ้องมองหยางเสี่ยวเทียนมิวางตาตั้งแต่คราแรก เพลานี้ มันได้สั่นไหวพร้อมกับหัวใจดวงน้อยๆ จนสะท้านอีกครั้ง เมื่อเห็นร่างเด็กคนนั้นก้าวเท้าอย่างหนักแน่นเข้าหาศิลากระบี่เล่มที่หก
“ศิลากระบี่สามเล่มในหนึ่งวัน! เขากำลังจะถูกจารึกชื่อลงในประวัติศาสตร์ของสำนักเสินเจี้ยนเรา”
“หากเขาบรรลุศิลากระบี่ทั้งสามเล่มได้ในวันเดียว นั่นมิเท่ากับเป็นเทพงั้นรึ!”
เมื่อมองไปยังร่างหยางเสี่ยวเทียนยามนี้ สายตาของศิษย์หลายคนต่างริษยามาก