ตอนที่แล้วบทที่ 98 นั่งคลุกฝุ่นอยู่กับพื้น
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 100 ไฟศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ใด

บทที่ 99 สำนักเสินเจี้ยนให้กำเนิดมังกร


แม้นทั้งทรายและฝุ่นจะก่อตัวเป็นลูกคลื่น กระจายฟุ้งไปทั่วบริเวณลานเรือนหูซิง แต่ปราณกระบี่ของหยางเสี่ยวเทียนยังคงพุ่งออกไปตามสวรรค์ทั้งเก้า บุกทะลวงเป็นรูขนาดใหญ่บนท้องนภามิหยุดหย่อน

ศิษย์โดยรอบจัตุรัสร้อยกระบี่ต่างรู้สึกตกใจกันถ้วนทั่ว เมื่อเห็นปราณกระบี่อันทรงพลังและจรัสแสงรุนแรงยิ่ง

ปกติแล้ว ศิษย์ในสำนักเหล่านี้มักจะโอ้อวดวรยุทธกระบี่ชั้นยอดของตนจนเย่อหยิ่งเป็นนิสัย แต่ครั้นได้เห็นปราณกระบี่ขณะทะลวงไปตามสวรรค์ทั้งเก้า เจาะนภากาศแหวกเมฆากระจายเป็นวงกว้าง ความภาคภูมิที่มีในตนตอนนี้ ทำพวกเขาถึงกับสั่นคลอนใจหล่นไปยังตาตุ่ม

ณ จวนของเจ้าเมืองเสินเจี้ยน

ในเวลาเดียวกัน เผิงจื้อกัง เจ้าเมืองเสินเจี้ยนผู้กำลังยืนไขว้หลังขณะใบหน้าแหงนมองดูลำแสงของปราณกระบี่ ที่ทะลวงขึ้นสู่ท้องนภาทิศทางจากสำนักเสินเจี้ยน ดวงตาเขาเบิกกว้างด้วยความตกใจเพราะมันเกิดขึ้นต่อกันถึงสามวันติด

“สำนักเสินเจี้ยนกำลังให้กำเนิดมังกรขึ้นมาแล้ว” เผิงจื้อกังพึมพำพลางทอดถอนใจ

มังกร!

ที่หมายถึงราชาแห่งสัตว์มีเกล็ดทั้งปวงเช่นนั้นหรือ

ทั้งยังเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เจ้าแห่งสวรรค์และโลก

ครั้นเหล่าวิญญาจารย์แห่งจวนเจ้าเมืองที่ยืนเบื้องหลังเขาได้ยินดังนั้น ก็พลันมองเผิงจื้อกังด้วยใบหน้าตกตะลึงทันที

“ช่างอัศจรรย์กระไรปานนั้น” เผิงจื้อกังมองปราณกระบี่ สีหน้าเริ่มดูประหลาดใจมากขึ้นเรื่อยๆ

แล้วกล่าวเสริมว่า “อีกสิบปีข้างหน้า เด็กคนนี้จะกลายเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรเสินไห่ของเราแน่นอน!”

อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรเสินไห่งั้นเรอะ!

  

อีกสิบปีข้างหน้า!

ได้ยินมิผิดใช่หรือไม่ เจ้าเมืองเผิงจื้อกังประเมินหยางเสี่ยวเทียนไว้สูงขนาดนี้เชียวหรือ

บรรดาวิญญาจารย์ทุกคนในจวนเจ้าแห่งเมืองเสินเจี้ยน ต่างตกใจอีกครั้งหลังได้ยินคำเหล่านั้นออกจากปากเผิงจื้อกัง

ตอนนี้ หยางเสี่ยวเทียนอายุแค่แปดขวบเท่านั้น คงมิได้หมายความว่าหยางเสี่ยวเทียนจะสามารถเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรเสินไห่ ได้ตอนอายุเพียงสิบแปดปีใช่หรือไม่

แต่วิญญาจารย์ทั้งมวลของเจ้าเมือง กลับไม่คิดเช่นนั้นและไม่อาจเชื่อว่าเด็กนั่นจะสามารถเป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้ด้วยวิญญาณยุทธ์ระดับสอง

อีกด้านหนึ่ง ณ โถงแห่งหอสมาคมนักปรุงโอสถ

หลินหยวนรู้สึกประหลาดใจครั้นได้เห็นปราณกระบี่ทะลวงไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน เขาปรี่ตัวออกจากห้องหลอมโอสถทันทีหลังได้ยินเสียงจากปราณกระบี่เช่นวานนี้ ซึ่งมันก็เป็นไปตามสิ่งที่เขาคาดจริงๆ

นี่เขาหยั่งรู้ศิลากระบี่สามเล่มติดต่อกันในเวลาเพียงสามวัน ความสามารถด้านกระบี่ที่สูงส่งเช่นนี้ มันเกินกว่าคำว่าสัตว์ประหลาดไปแล้ว

“ปีนี้ ตำหนักกระบี่แห่งสำนักเสินเจี้ยน อาจจะมีผู้อาวุโสเพิ่มอีกหนึ่งคนก็เป็นได้” หลินหยวน พึมพำกับตัวเอง

เฉินจื่อหานซึ่งยืนอยู่มิไกลได้ยินถึงเสียงพึมพำของหลินหยวนชัดเจน ไม่ช้า ใบหน้างามสูงศักดิ์ก็ถูกประดับด้วยความตกตะลึง ก่อนริมฝีปากบางนั้นจะเผยอเอ่ยว่า

“อาจารย์ นั่นมันเป็นไปไม่ได้”

การจะได้รับตำแหน่งผู้อาวุโสของตำหนักกระบี่แห่งสำนักเสินเจี้ยน อย่างน้อยต้องแตกฉานในศิลากระบี่ ณ จัตุรัสร้อยกระบี่มากถึงสามสิบเล่มขึ้นไป

ตำหนักกระบี่ของสำนักเสินเจี้ยนดำรงอยู่มาหลายร้อยปีแล้ว ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมามีผู้อาวุโสมากสุดเพียงห้าคนเท่านั้น ไม่เคยมีผู้อาวุโสหกคนเลยในประวัติของตำหนักกระบี่

เพราะการหยั่งรู้ศิลากระบี่แต่ละเล่ม มันยากเกินไปที่จะเข้าใจจนบรรลุได้

“ทุกสิ่งในโลกนี้ ล้วนเป็นไปได้ สิ่งใดจริงสิ่งใดเท็จกาลเวลาจะพิสูจน์ให้เห็นเอง” หลินหยวนเหลือบมองศิษย์ของตนขณะกล่าวเชิงชี้แนะ

เขาเข้าใจและรับรู้มาโดยตลอดว่าศิษย์ของตนนั้น มีความสามารถที่อยากจะหาผู้ใดเทียบได้ ซึ่งนั่นเป็นเพียงอดีต แต่ตอนนี้ หลังได้พบหยางเที่ยวเทียนความคิดเขาถึงได้เปลี่ยนไปคล้ายกบที่หลุดพ้นออกจากกะลา

เมื่อเปรียบเฉินจื่อหานกับหยางเสี่ยวเทียนแล้ว ทั้งสองกลับแตกต่างกันราวหนอนแมลงและดวงอาทิตย์

เฉินจื่อหานส่ายศีรษะ “ข้าไม่เชื่อว่าในปีนี้ หยางเสี่ยวเทียนจะสามารถหยั่งรู้ศิลากระบี่ได้มากถึงสามสิบเล่ม”

แม้เจ้าเด็กนั่นจะสามารถหยั่งรู้ศิลากระบี่สามเล่มในเวลาสามวันติดต่อกันได้ แต่หัวเด็ดตีนขาดยังไง นางก็ไม่มีทางเชื่อว่าหยางเสี่ยวเทียนจะสามารถแตกฉานศิลากระบี่ทั้งสามสิบเล่มได้ภายในหนึ่งปี และกลายเป็นผู้อาวุโสคนที่หกของตำหนักกระบี่แห่งสำนักเสินเจี้ยน

หลินหยวนแย้มยิ้มให้นางและไม่กล่าวสิ่งใดอีก เพราะต่อให้บอกกล่าวเช่นไรไป หากนางเอาแต่ปิดหูปิตาไม่รับฟัง มันก็ไร้ค่าอยู่ดี

ณ จัตุรัสร้อยกระบี่

ยามนี้ หยางเสี่ยวเทียนผู้ยืนสงบอยู่หน้าศิลากระบี่เล่มที่สาม ขณะเข้าสู่พิภพทะเลทรายในห้วงจิตไปแล้ว แต่ปราณกระบี่ภายนอกกลับม้วนตัวก่อเป็นพายุทรายละเอียด ฟุ้งกระจายเหนือนภากาศรอบกายเขาตลอดเวลา

เคล็ดวิชาจากศิลากระบี่เล่มที่สามเรียกว่า “เพลงกระบี่โลกธาตุ”

ในห้วงดวงตาของหยางเสี่ยวเทียน ปราณกระบี่จากทรายละเอียดเหล่านี้ไม่มีการเคลื่อนไหว หรือเหินบินไปมาเหมือนปราณกระบี่สองเล่มก่อนหน้า แต่ปราณกระบี่ที่เป็นทรายละเอียดทั้งมวลนี้ กลับเริ่มผสานกันจากพื้นด้วยทรายเม็ดเล็กๆ ก่อตัวเป็นรูปร่างขึ้นอย่างต่อเนื่อง

จนที่สุด ทรายนับหมื่น ก็ได้ผสานรวมกันเป็นปราณกระบี่ขนาดใหญ่เพียงเล่มเดียว

ปราณกระบี่นี้ เปรียบเสมือนพลังแห่งผืนพิภพ ทั้งหนักหน่วง กว้างใหญ่ไพศาลมีความหนาและแข็งแกร่งอย่างยิ่ง

ซึ่งเพลงกระบี่นี้มีเพียงกระบวนท่าเดียวเท่านั้น!

กระบวนท่าของมันเรียกว่า “กระบี่ปฐพี”

อย่างไรก็ตาม แม้เพลงกระบี่โลกธาตุนั้นมีการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถแตกฉานกระบวนท่าของมันได้ง่ายๆ

เพราะเขาต้องใช้เวลาในการจดจำเคล็ดวิชานี้ นานกว่าเพลงกระบี่ระพีแผดเผาและเพลงกระบี่จันทราเยือกแข็งก่อนหน้า ให้ถี่ถ้วนอยู่มากนักถึงจะฝึกฝนจนบรรลุได้

ทุกคนโดยรอบจัตุรัสเพลานี้ ต่างได้ประจักษ์เห็นคลื่นพายุทรายที่โหมกระหน่ำกันชัดตา มันหมุนปกคลุมไปทั่วร่างกายของหยางเสี่ยวเทียน ทั้งยังมีปราณกระบี่เวียนวนภายใต้พายุนั้นอย่างน่าประหลาดใจ

เวลาเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว ไม่ช้า ก็ถึงหนึ่งชั่วยาม

ระหว่างนี้ ปราณกระบี่จากแท่นศิลากระบี่ที่โหมกระหน่ำดั่งพายุทรายเมื่อครู่ ก็ค่อยๆ อันตรธานหายไป

มวลคลื่นมากมายก็เริ่มแทรกซึมกลับสู่พื้นพิภพ กระทั่งปราณกระบี่ของหยางเสี่ยวเทียนลับหายจากสายตาผู้คนเช่นกัน

เมื่อหยางเสี่ยวเทียนเปิดตาขึ้น เช่นเดียวกับสองวันก่อนหน้า จัตุรัสร้อยกระบี่ถูกปกคลุมไปด้วยความอึมครึมเพราะฝูงชนอันแน่นหนา

ทันทีที่หยางเสี่ยวเทียนปรับวิสัยจนแจ่มชัด นัยน์ตาก็พลันประสานกับใบหน้านวลผ่องของเฉิงเป้ยเป้ยเป็นภาพแรก ทั้งสองสบตากันอยู่ครู่ก่อนหยางเสี่ยวเทียนจะหลบสายตาไปด้านข้างประสบพบหยางจงผู้ยืนปะปนอยู่ท่ามกลางฝูงชนจำนวนมาก

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด