บทที่ 98 นั่งคลุกฝุ่นอยู่กับพื้น
จากนั้น หยางเสี่ยวเทียนได้ถามไถ่เกี่ยวกับสถานการณ์การฝึกฝนช่วงนี้ของหลัวชิงอีกครั้ง
ซึ่งหลัวชิงกล่าวว่าหลังจากกลืนโอสถวิญญาณสี่ประการระดับสวรรค์แล้ว ปราณแท้ของเขาก็ดีขึ้นบ้าง แต่ยังยากจะทะลวงเข้าสู่ขั้นบรรพจารย์ยุทธ์
พอได้ทราบถึงสถานการณ์ช่วงนี้ของหลัวชิงว่าไม่มีอะไรที่เขาต้องกังวล หยางเสี่ยวเทียนก็ลาหลัวชิงปลีกกายไปพบอัตกับอาลี่ต่อ และตามด้วยเจ้าสัตว์วิญญาณเกราะทองเป็นตัวสุดท้าย
ยามนี้ อัตและอาลี่กำลังบ่มเพาะปราณเทพสงคราม พร้อมขัดเกลาโอสถวิญญาณสี่ประการระดับสวรรค์ไปด้วย
ขณะนี้ ทั้งสองก้าวหน้ารวดเร็วจนสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นเซียนสวรรค์ระดับสองแล้ว นับว่าโอกาสที่ดีสำหรับทั้งสองนัก
หยางเสี่ยวเทียนพยักหน้าและไม่อยู่รบกวนทั้งสองอีก จึงเดินออกจากเรือนเล็กนี้ มุ่งหน้าไปยังลานอันเป็นที่พำนักของเจ้าสัตว์วิญญาณเกราะทองทันที
ครั้นไปถึง เขาก็เดินวนสังเกตดูโดยรอบตัวของเสี่ยวจิน ซึ่งดูท่าแล้วคงไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่กล่าววาจาคล่องขึ้นและไม่มีคำไหนติดอ่างอีกเช่นทุกครั้ง
เพียงแต่เจ้าตัวเล็กนี้ ชอบกินเนื้อสัตว์มากจนมีอาการหงุดหงิดทุกครั้งหากไม่ได้กินของที่มันชอบ ทุกวันมันจึงมักออกไปล่าสัตว์นอกเมืองเป็นอาหาร
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้หยางเสี่ยวเทียนเป็นกังวลคือมันชอบทำตัวเป็นที่สนใจแถมยังชอบทำตัวซุกซนเหมือนเด็กอายุหกหรือเจ็ดขวบ ทั้งยังมักยืนสองขาอีกต่างหาก
รุ่งเช้าวันต่อมา
หยางเสี่ยวเทียนรีบออกจากจวนในทันที ขณะเดินสืบเท้าเข้าสำนักเสินเจี้ยนก็พลางนึกถึงเปลวไฟแห่งสวรรค์และโลก จึงตัดสินใจไปยังหอคัมภีร์ของสำนักเป็นที่แรก
หากเขาสามารถพิชิตเปลวไฟแห่งสวรรค์และโลกได้ มาตรว่ามันจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการหลอมโอสถของเขาในภายภาคหน้า ซึ่งโอสถเหล่านั้นจะต้องมีสรรพคุณล้ำค่ามากอยู่มิใช่น้อย
แม้นผู้ที่เป็นนักปรุงโอสถ จะมีสัมผัสทางจิตวิญญาณแข็งแกร่งมากขนาดไหน หรือต่อให้ไฟจากสวรรค์และโลกจะโชติช่วงมากเพียงใด โอสถที่เขาสามารถหลอมได้เหล่านั้น ก็เป็นเพียงระดับสวรรค์เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หากเขาสามารถควบคุมไฟศักดิ์สิทธิ์และใช้มันเพื่อหลอมโอสถได้ คาดว่าโอสถระดับสวรรค์ที่เขาสามารถหลอมได้ในตอนนี้นั้น จะบริสุทธิ์ขึ้นจนถึงขั้นโอสถระดับนิรันดร์
ซึ่งแน่นอนว่าพลังของโอสถระดับสวรรค์นั้น มิอาจเทียบได้กับโอสถระดับนิรันดร์ ทั้งอัตราการเพิ่มพูนของพลังยุทธ์และผลข้างเคียงที่ตามมา
โอสถระดับนิรันดร์ที่ถูกหลอมโดยไฟศักดิ์สิทธิ์ จะมีความบริสุทธิ์สูงมากจนทำให้มีผลข้างเคียงน้อยกว่าโอสถระดับอื่นๆ หากใช้มันในการบ่มเพาะพลังยุทธ์ มาตรว่าจะทะลวงระดับได้อย่างรวดเร็วเป็นแน่
ทว่าพูดง่ายกว่าลงมือทำ เพราะในโลกนี้มีไฟศักดิ์สิทธิ์น้อยเกินไป ซึ่งมีเพียงสิบชนิดเท่านั้น อีกทั้งไฟศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ มักซ่อนอยู่ตามภูเขาและมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ที่ยากจะหาได้ง่ายๆ
แล้วมันยังเป็นเพียงตำนาน หากเขาต้องการ เกรงต้องใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตก็อาจหาไม่พบ
“ข้าใคร่สงสัยนัก ว่าจะมีคัมภีร์เกี่ยวกับไฟศักดิ์สิทธิ์ในหอคัมภีร์ของสำนักหรือไม่” หยางเสี่ยวเทียนพึมพำกับตัวเอง
หลังมาถึงหอคัมภีร์ หยางเสี่ยวเทียนก็แลกเปลี่ยนเอาเคล็ดวิชากระบี่ขั้นเซียนสวรรค์ชั้นยอด แล้วเริ่มมองหาคัมภีร์เกี่ยวกับไฟศักดิ์สิทธิ์ครั้นเดินถึงส่วนลึกของหอคัมภีร์ ไม่ช้า เขาก็พบเล่มหนึ่งที่มีบันทึกไว้
แต่คัมภีร์เล่มนี้กลับมีเพียงสิบหน้า ซึ่งอธิบายเกี่ยวกับไฟศักดิ์สิทธิ์เฉพาะรูปลักษณ์และพลังของมันเท่านั้น ไม่มีข้อมูลแหล่งพบเห็นหรือสิ่งอื่นใดที่พอจะเป็นประโยชน์ได้เลยแม้แต่น้อย
หยางเสี่ยวเทียนเดินคอตกออกจากหอคัมภีร์พร้อมกับเคล็ดวิชากระบี่ขั้นเซียนสวรรค์ชั้นยอดด้วยความผิดหวัง
แต่ทันทีที่บรรดาศิษย์ในหอคัมภีร์เห็นหยางเสี่ยวเทียนเดินพ้นออกจากประตูหอคัมภีร์ไป พวกเขาก็เคลื่อนตัวติดตามเขาเรียงเป็นทางยาวราวกับฝูงมดเดินมิมีผิด
ระหว่างที่พวกเขาดินตามหยางเสี่ยวเทียนอยู่นั้น ก็ต่างพากันซุบซิบสนทนาคาดการณ์ว่าวันนี้เขาจะยังไปยังจัตุรัสร้อยกระบี่ เพื่อหยั่งรู้ศิลากระบี่เล่มที่สามต่อหรือไม่
“ข้าพนันได้เลย ว่าวันนี้หยางเสี่ยวเทียนจะสามารถหยั่งรู้ศิลากระบี่เล่มที่สามได้!”
“ต่อให้ถูกทุบตีจนตายข้าก็ไม่มีทางเชื่อ ว่าวันนี้หยางเสี่ยวเทียนจะยังสามารถหยั่งรู้ศิลากระบี่เล่มที่สามได้!”
“ข้าได้ยินว่าหลังจากศิษย์พี่หูซิงกลับไปวานนี้ เขาทำลายเสาหินทั้งหมดในลานฝึกจนกลายเป็นซากปรักหักพัง”
“ลานฝึกยุทธ์กลายเป็นซากปรักหักพัง แล้วต่อไปเขาจะใช้ที่ไหนฝึกฝน นั่งคลุกฝุ่นอยู่กับพื้นงั้นรือ? ฮ่า ฮ่า”
ศิษย์ที่อยู่ด้านหลังเขาต่างพากันซุบซิบถึงหูซิงอย่างสนุกปาก แล้วยังพลันหัวหัวเราะเสียงดังลั่น
หยางเสี่ยวเทียนเผยยิ้ม ขณะได้ฟังการสนทนาของศิษย์ที่อยู่ข้างหลังเขา
นั่งคลุกฝุ่นอยู่กับพื้นงั้นรึ? ชักน่าสนุกแล้วสิ
หากวันนี้ข้าหยั่งรู้ศิลากระบี่เล่มที่สามได้สำเร็จ หูซิงจะไม่ถึงขั้นทุบหน้าดินเปิดออกทั้งเรือนเลยรึ
จู่ๆ แววตาของหยางเสี่ยวเทียนก็ลุกวาวผันเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์ทันที ตอนแรกเขาแค่มาแลกคัมภีร์และจะรีบกลับจวนไปฝึกฝน ทว่า คราได้ฟังเช่นนั้น จะมิให้เขาเปลี่ยนเส้นทางมุ่งหน้าไปยังจัตุรัสร้อยกระบี่ได้อย่างไร
ครั้นนึกสนุกได้ดังนั้น หยางเสี่ยวเทียนจึงรุดมายังจัตุรัสร้อยกระบี่ แล้วย่างก้าวเข้าหาศิลากระบี่เล่มที่สาม ท่ามกลางสายตาที่ต่างจับจ้องอย่างกระวนกระวายของศิษย์ที่อยู่ข้างหลังเขา
เมื่อเห็นว่าหยางเสี่ยวเทียนใคร่หยั่งรู้ศิลากระบี่เล่มที่สามวันนี้จริง ศิษย์พวกนั้นก็เบิกตาโพลงด้วยตกตะลึงทันที
“รึ… รึ…หรือว่าหยางเสี่ยวเทียนกำลังจะหยั่งรู้ศิลากระบี่เล่มที่สามจริงๆ!” ศิษย์หนึ่งในนั้นปากสั่น พลางตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเกือบมิเป็นภาษา
หลังพากันตั้งสติได้ ศิษย์เหล่านั้นก็เริ่มส่งข่าวต่อกันเป็นทอดๆ จนแพร่กระจายอย่างรวดเร็วราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกราก
หยางเสี่ยวเทียนหันมองไปยังศิษย์พวกนั้นแล้วถึงกับพูดไม่ออก เมื่อเห็นพวกเขากำลังกุลีกุจอแทบหัวชนกันขณะรีบเร่งส่งข่าว ดูเหมือนว่าการที่เขาหยั่งรู้ศิลากระบี่จะเป็นเรื่องน่ายินดีอันยิ่งใหญ่สำหรับสำนักเสินเจี้ยนอยู่ไม่น้อย
ทันทีที่หลินหยงและเฉินหยวนได้ยินว่าหยางเสี่ยวเทียนกำลังจะหยั่งรู้ศิลากระบี่เล่มที่สาม
พวกเขาก็เขวี้ยงคัมภีร์เกี่ยวกับวิญญาณยุทธ์ทิ้งลง แล้วรีบกระโจนขึ้นกระบี่ท่องไปยังจัตุรัสในทันใด แต่ด้วยเกรงว่าจะไม่ทันการณ์ ทั้งสองถึงกับต้องกลืนโอสถกันคนละเม็ดเพื่อเพิ่มความเร็วในการท่องกระบี่
แต่ยังไม่ทันไร เพียงทั้งสองมาได้ครึ่งทาง เสียงกึกก้องพร้อมลำแสงของปราณกระบี่ก็พุ่งขึ้นสู่ท้องนภา ทำพวกเขาแทบร่วงตกจากกระบี่ด้วยความตกใจ
“โอ้ย บัดซบ!” หลินหยงอุทานเสียงหลงเพราะใจหายพร้อมยังแสบลูกตาเป็นที่สุด
ช้าไปก้าวเดียว!
แสงจากปราณกระบี่อันเจิดจรัส บดบังสายตาของหลินหยงและเฉินหยวน ทำให้มองเห็นจัตุรัสร้อยกระบี่ได้เพียงลางเลือน ยามนี้ทั้งสองหันมองหน้ากันอย่างแทบไม่อยากเชื่อ
ไม่ต่างจากบริเวณลานฝึกของหูซิงตอนนี้ที่ดูเลือนลางขมุกขมัวด้วยฝุ่นเช่นกัน หลังได้เห็นปราณกระบี่พุ่งสูงไปบนนภากาศ เสียงคำรามราวได้รับบาดเจ็บของหูซิงก็แผดดังขึ้นทันที
ดั่งที่หยางเสี่ยวเทียนคาดเอาไว้ เพราะตอนนี้ หูซิงกำลังใช้มือทุบหน้าดินทั่วลานฝึกยุทธ์ด้วยความฉุนเฉียวเป็นที่สุด