ตอนที่แล้วบทที่ 96 ข้าอยากให้เด็กนั่นหายไปเสีย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 98 นั่งคลุกฝุ่นอยู่กับพื้น

บทที่ 97 เปลวไฟแห่งสวรรค์และโลก 


หลังจากที่หยางเสี่ยวเทียนกลับถึงจวน และฝึกฝนเพลงกระบี่จันทราเยือกแข็งจนบรรลุขั้นฉลาดล้ำเลิศ เขาออกจากลานฝึกเดินขึ้นห้องของตน วางเตาหลอมไว้เบื้องหน้าแล้วเริ่มทำการหลอมโอสถเช่นเคย

โอสถขั้นเซียนเทียน เช่นโอสถวิญญาณสี่ประการระดับสวรรค์ ที่เขากำลังจะหลอมขณะนี้เป็นการตระเตรียมเผื่อไว้ยามเหตุจำเป็นต้องใช้ในภายภาคหน้า เขาจึงไม่คิดจะหลอมมันมากนักให้มีแค่พอใช้เท่านั้น

สมุนไพรที่เคยได้มาจึงเหลือใช้มากอยู่ไม่น้อย ซึ่งเขาจะหลอมมันอีกเมื่อไรก็ย่อมได้หากมีเวลาหรือมีความจำเป็นอื่นๆ

หลังหลอมโอสถกระทั่งดึกดื่น ก็เป็นเวลาที่หยางเสี่ยวเทียนจะเริ่มบ่มเพาะปราณมังกรแรกเริ่มอีกครั้ง เขานั่งขัดสมาธิเข้าณานบนเตียงหยกเย็นพร้อมค่อยๆ หลับตาโคจรปราณแท้ในกายเช่นทุกคืน

เช้าวันรุ่งขึ้น

ทันทีที่แสงแดดอ่อนต้องกระทบใบหน้าหยางเสี่ยวเทียนยามเช้า เขาก็ตื่นลืมตาลุกนั่งบนเตียงยืดเส้นยืดสาย หลังล้างหน้าพร้อมเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เขาจึงออกจากห้องมุ่งหน้าไปยังลานฝึก หมายฝึกฝนวรยุทธขั้นเซียนสวรรค์ชั้นยอด ที่เพิ่งเปลี่ยนจากหอคัมภีร์วานนี้

ในทุกๆ วัน เขามักจะฝึกฝนเพลงกระบี่อย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งถือว่าขาดความหลากหลายในด้านวรยุทธนัก ครานี้จึงตั้งใจเปลี่ยนคัมภีร์เคล็ดวิชาขั้นเซียนสวรรค์เป็นวรยุทธด้านอื่นๆ บ้าง

โดยคัมภีร์เคล็ดวิชาขั้นเซียนสวรรค์ที่เขาได้มาในหนนี้ เรียกว่า “เพลงเตะเทวาสลาตัน”

หลังได้อ่านมันเพียงคร่าวๆ เพลงเตะเทวาสลาตันนี้ค่อนข้างน่าสนใจไม่น้อย หากฝึกฝนจนบรรลุขั้นสมบูรณ์แบบ จะสามารถสร้างวังวนพายุคลั่งขนาดใหญ่ได้ด้วยการเตะออกไปเพียงครั้งเดียว

หยางเสี่ยวเทียนเริ่มอ่านคัมภีร์เคล็ดวิชาเพลงเตะเทวาสลาตันอย่างตั้งใจอีกครั้ง ไม่นานก็จดจำกระบวนท่าและการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดได้เป็นอย่างดี เขาวางคัมภีร์ในมือลงบนโต๊ะข้างลาน ก่อนพุ่งตัวปราดไปยังกลางลานฝึกยุทธ์พร้อมตั้งท่า

ขณะร่างผอมบางกำลังเหวี่ยงขาเตะออกไปเบื้องหน้า จู่ๆ กระแสลมพัดก็พลันสืบรวมเป็นสายมายังลานฝึก ทุกครั้งที่เขาเหวี่ยงสะบัดขา จากสายลมหมุนเล็กๆ จนเริ่มก่อตัวเป็นพายุที่โหมกระหน่ำรุนแรงขึ้น รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

แม้กระนั้น หยางเสี่ยวเทียนก็ยังคงฝึกฝนต่อเนื่องมิมีหยุดหย่อน หรือรู้สึกเกรงกลัวถึงภาพมรสุมเบื้องหน้า ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายยังลานฝึกเลย

ครั้นดวงตะวันขึ้นสูงถึงกลางท้องนภา หยางเสี่ยวเทียนก็ฝึกฝนเพลงเตะเทวาสลาตันจนบรรลุขั้นฉลาดล้ำเลิศ พร้อมผ่อนปรนความเร็วระหว่างท่วงท่าและหยุดลงในที่สุด ก่อนใคร่ครวญอยู่ครู่

ก่อนหน้านี้ หยางเสี่ยวเทียนเริ่มมีความรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าเวลาฝึกฝนในแต่ละวันนั้น ไม่เพียงพอให้เขาได้เรียนรู้มากเท่าไรนัก

โดยเฉพาะหลังจากหยั่งรู้ศิลากระบี่แล้ว เขาต้องใช้เวลามากถึงครึ่งวันในการฝึกฝนเคล็ดวิชาจากแท่นศิลากระบี่ ซึ่งมันทำให้เขาสูญเสียเวลาเรียนรู้อย่างอื่นไปมากยิ่ง

เขายืนนิ่งขณะขบคิดไตร่ตรองอยู่ครู่กว่าจะตัดสินใจได้

หยางเสี่ยวเทียนตัดสินใจว่าวรยุทธขั้นเซียนสวรรค์จากหอคัมภีร์นั้น เขาจะฝึกฝนจนบรรลุถึงขั้นสำเร็จเล็กน้อยเท่านั้น อย่างไรเสีย เขาก็มั่นใจว่าตนนั้นจดจำมันได้แน่นอน นี่เป็นเพียงหนทางเดียวที่จะรักษาเวลาได้ดีที่สุด

เพราะวรยุทธเหล่านี้ ไม่ช้าก็เร็วเขาสามารถฝึกมันจนบรรลุขั้นฉลาดล้ำเลิศหรือขั้นสมบูรณ์แบบเมื่อใดก็ได้  ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องรีบเร่งฝึกฝนในวันเดียวพร้อมๆ กัน

หากทำเช่นนี้ได้ดังหวัง ตัวเขาจะมีเวลาทำอย่างอื่นได้มากขั้นอีกหนึ่งชั่วยาม เวลาหนึ่งชั่วยามนี้หากใช้หลอมโอสถก็ได้หลายเม็ดเลยทีเดียว หรือจะฝึกเคล็ดวิชาอื่นเพิ่มเติมก็ย่อมได้เช่นกัน

หลังตัดสินใจเช่นนั้นแล้ว หยางเสี่ยวเทียนได้เดินไปยังลานฝึกของหลัวชิง เมื่อมาถึง เขาก็ได้พบว่าหลัวชิงกำลังฝึกฝนเพลงหมัดอยู่

ครั้นมองดูการเคลื่อนไหวให้ดี ทุกครั้งที่หลัวชิงออกหมัด จะมีปราณหมัดมากกว่าสิบพุ่งไปยังอากาศเบื้องหน้า

ยิ่งกว่านั้น ปราณหมัดเขายังมีเปลวไฟพิลึกพิลั่นผสานอยู่ด้วย ซึ่งดูทรงพลังกว่าปราณหมัดทั่วไปมากนัก

คราได้เห็นเปลวไฟแปลกประหลาดนี้ หยางเสี่ยวเทียนก็พลันฉงนใจ นี่หรือไม่ ที่เรียกว่าไฟแห่งสวรรค์และโลก

ทุกวันนี้ เขายังอ่านคัมภีร์การหลอมโอสถ และพอมีความเข้าใจเกี่ยวกับเปลวไฟแห่งสวรรค์และโลกอยู่บ้าง

ระหว่างสวรรค์และโลก ล้วนมีเปลวไฟอยู่หลายประเภท ทั้งไฟวิญญาณ ไฟประหลาด และไฟศักดิ์สิทธิ์

หากเขาสามารถพิชิตเปลวไฟเหล่านี้และหลอมรวมมันเข้ากับปราณแท้ในกายเขาได้ สิ่งนี้จะไม่เพียงสามารถเสริมสร้างการโจมตีให้ทรงพลังจนน่าสะพรั่งพรึงเท่านั้น แต่มันยังเพิ่มประสิทธิภาพในการหลอมโอสถของเขา ให้มีคุณภาพล้ำค่าขึ้นอีกด้วย

แต่เปลวไฟที่ออกจากหมัดของหลัวชิง เป็นไฟวิญญาณหรือไฟประหลาดกันนะ

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่านั้นจะเป็นไฟวิญญาณหรือไฟประหลาด มันก็ยากยิ่งที่จะพิชิตได้ง่ายๆ เพราะพลังงานจากเปลวไฟแห่งสวรรค์และโลกเหล่านี้ ล้วนรุนแรงแลแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าอะไร โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการพิชิตพวกมัน ก็นับว่ามีน้อยมากเช่นกัน

บรรดาวิญญาจารย์ผู้แข็งแกร่งหลายคนที่ล้มเหลวในการพิชิตเปลวไฟเหล่านี้ ล้วนถูกพลังงานจากเปลวไฟแห่งสวรรค์และโลกแผดเผาจนเป็นเถ้าถ่านมาแล้วก็มากมาย

ซึ่งหลัวชิง ถือเป็นผู้แข็งแกร่งที่ประสบความสำเร็จในการพิชิตมันได้อย่างมิมีใครคาด

“นายน้อย”

ทันทีที่หลัวชิงเห็นหยางเสี่ยวเทียนเดินเข้ามาใกล้ เขาผู้กำลังฝึกฝนเพลงหมัดอยู่ก็พลันหยุดการเคลื่อนไหวนั้นทันควัน พร้อมสืบเท้าเข้าหาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม

หยางเสี่ยวเทียนผิวปากฮัมเพลงเล็กน้อย ก่อนเผยปากถามขณะแย้มยิ้มให้เช่นกัน “หลัวชิง เปลวไฟยังผนึกหมัดของเจ้าเป็นประเภทใด ใช่ไฟประหลาดหรือไม่”

หลัวชิงตอบน้ำเสียงพินอบพิเทา “ใช่นายน้อย ข้าโชคดีได้รับไฟประหลาดนี้ในตอนนั้น แต่เป็นเพียงเปลวไฟวายุนิลกาฬ ที่มีระดับต่ำสุดของบรรดาไฟประหลาดพวกนั้น”

หยางเสี่ยวเทียนพยักหน้า

เปลวไฟที่อยู่ในกายหลัวชิงตอนนี้ เป็นประเภทของไฟประหลาดจริงๆ ดั่งเขาคาดการณ์

ในด้านของความแข็งแกร่งท่ามกลางบรรดาเปลวไฟแห่งสวรรค์และโลก ไฟวิญญาณนั้นทรงพลังน้อยที่สุด ตามด้วยไฟประหลาด ส่วนเปลวไฟที่ทรงพลังแลแข็งแกร่งสูงสุด คือไฟศักดิ์สิทธิ์

แม้นไฟประหลาดที่เขาครอบครองอยู่ จะเป็นระดับต่ำสุดของบรรดาไฟประหลาดทั้งหลาย แต่ก็นับว่ามีความแข็งแกร่งมากกว่าผู้ที่มีไฟวิญญาณ ไว้ในครอบครองเสียยิ่งกว่านัก

ยิ่งไปกว่านั้น จำนวนของไฟประหลาดเหล่านี้มีน้อยมาก เพราะพวกมันมีเพียงไม่กี่ร้อยชนิดเท่านั้น

ซึ่งนับเป็นเรื่องยากมากจริงๆ ที่หลัวชิงสามารถพิซิตไฟประหลาดอย่างเปลวไฟวายุนิลกาฬ แล้วหลอมรวมมันผสานเข้ากับปราณแท้ของตัวเขาได้

หลัวชิงถอนหายใจขณะนึกถึงตอนที่ได้มันมาและกล่าวว่า “กว่าข้าจะสามารถพิชิตเปลวไฟวายุนิลกาฬนี้ได้ ก็เกือบเอาชีวิตไม่รอดจากการถูกมันเผาตายเช่นกัน โชคดีที่ข้าพ้นมาได้อย่างหวุดหวิด”

เขายังคงรู้สึกหวาดกลัวทุกครั้ง ครั้นนึกย้อนถึงช่วงเวลาที่เขาเกือบได้ตายไปตอนนั้น และเขาคงไม่มีโอกาสพบพานหยางเสี่ยวเทียนตอนนี้ ที่นับว่าเป็นความโชคดียิ่งกว่าช่วงเวลาไหนๆ ในชีวิต

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด