บทที่ 97 เปลวไฟแห่งสวรรค์และโลก
หลังจากที่หยางเสี่ยวเทียนกลับถึงจวน และฝึกฝนเพลงกระบี่จันทราเยือกแข็งจนบรรลุขั้นฉลาดล้ำเลิศ เขาออกจากลานฝึกเดินขึ้นห้องของตน วางเตาหลอมไว้เบื้องหน้าแล้วเริ่มทำการหลอมโอสถเช่นเคย
โอสถขั้นเซียนเทียน เช่นโอสถวิญญาณสี่ประการระดับสวรรค์ ที่เขากำลังจะหลอมขณะนี้เป็นการตระเตรียมเผื่อไว้ยามเหตุจำเป็นต้องใช้ในภายภาคหน้า เขาจึงไม่คิดจะหลอมมันมากนักให้มีแค่พอใช้เท่านั้น
สมุนไพรที่เคยได้มาจึงเหลือใช้มากอยู่ไม่น้อย ซึ่งเขาจะหลอมมันอีกเมื่อไรก็ย่อมได้หากมีเวลาหรือมีความจำเป็นอื่นๆ
หลังหลอมโอสถกระทั่งดึกดื่น ก็เป็นเวลาที่หยางเสี่ยวเทียนจะเริ่มบ่มเพาะปราณมังกรแรกเริ่มอีกครั้ง เขานั่งขัดสมาธิเข้าณานบนเตียงหยกเย็นพร้อมค่อยๆ หลับตาโคจรปราณแท้ในกายเช่นทุกคืน
เช้าวันรุ่งขึ้น
ทันทีที่แสงแดดอ่อนต้องกระทบใบหน้าหยางเสี่ยวเทียนยามเช้า เขาก็ตื่นลืมตาลุกนั่งบนเตียงยืดเส้นยืดสาย หลังล้างหน้าพร้อมเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เขาจึงออกจากห้องมุ่งหน้าไปยังลานฝึก หมายฝึกฝนวรยุทธขั้นเซียนสวรรค์ชั้นยอด ที่เพิ่งเปลี่ยนจากหอคัมภีร์วานนี้
ในทุกๆ วัน เขามักจะฝึกฝนเพลงกระบี่อย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งถือว่าขาดความหลากหลายในด้านวรยุทธนัก ครานี้จึงตั้งใจเปลี่ยนคัมภีร์เคล็ดวิชาขั้นเซียนสวรรค์เป็นวรยุทธด้านอื่นๆ บ้าง
โดยคัมภีร์เคล็ดวิชาขั้นเซียนสวรรค์ที่เขาได้มาในหนนี้ เรียกว่า “เพลงเตะเทวาสลาตัน”
หลังได้อ่านมันเพียงคร่าวๆ เพลงเตะเทวาสลาตันนี้ค่อนข้างน่าสนใจไม่น้อย หากฝึกฝนจนบรรลุขั้นสมบูรณ์แบบ จะสามารถสร้างวังวนพายุคลั่งขนาดใหญ่ได้ด้วยการเตะออกไปเพียงครั้งเดียว
หยางเสี่ยวเทียนเริ่มอ่านคัมภีร์เคล็ดวิชาเพลงเตะเทวาสลาตันอย่างตั้งใจอีกครั้ง ไม่นานก็จดจำกระบวนท่าและการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดได้เป็นอย่างดี เขาวางคัมภีร์ในมือลงบนโต๊ะข้างลาน ก่อนพุ่งตัวปราดไปยังกลางลานฝึกยุทธ์พร้อมตั้งท่า
ขณะร่างผอมบางกำลังเหวี่ยงขาเตะออกไปเบื้องหน้า จู่ๆ กระแสลมพัดก็พลันสืบรวมเป็นสายมายังลานฝึก ทุกครั้งที่เขาเหวี่ยงสะบัดขา จากสายลมหมุนเล็กๆ จนเริ่มก่อตัวเป็นพายุที่โหมกระหน่ำรุนแรงขึ้น รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
แม้กระนั้น หยางเสี่ยวเทียนก็ยังคงฝึกฝนต่อเนื่องมิมีหยุดหย่อน หรือรู้สึกเกรงกลัวถึงภาพมรสุมเบื้องหน้า ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายยังลานฝึกเลย
ครั้นดวงตะวันขึ้นสูงถึงกลางท้องนภา หยางเสี่ยวเทียนก็ฝึกฝนเพลงเตะเทวาสลาตันจนบรรลุขั้นฉลาดล้ำเลิศ พร้อมผ่อนปรนความเร็วระหว่างท่วงท่าและหยุดลงในที่สุด ก่อนใคร่ครวญอยู่ครู่
ก่อนหน้านี้ หยางเสี่ยวเทียนเริ่มมีความรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าเวลาฝึกฝนในแต่ละวันนั้น ไม่เพียงพอให้เขาได้เรียนรู้มากเท่าไรนัก
โดยเฉพาะหลังจากหยั่งรู้ศิลากระบี่แล้ว เขาต้องใช้เวลามากถึงครึ่งวันในการฝึกฝนเคล็ดวิชาจากแท่นศิลากระบี่ ซึ่งมันทำให้เขาสูญเสียเวลาเรียนรู้อย่างอื่นไปมากยิ่ง
เขายืนนิ่งขณะขบคิดไตร่ตรองอยู่ครู่กว่าจะตัดสินใจได้
หยางเสี่ยวเทียนตัดสินใจว่าวรยุทธขั้นเซียนสวรรค์จากหอคัมภีร์นั้น เขาจะฝึกฝนจนบรรลุถึงขั้นสำเร็จเล็กน้อยเท่านั้น อย่างไรเสีย เขาก็มั่นใจว่าตนนั้นจดจำมันได้แน่นอน นี่เป็นเพียงหนทางเดียวที่จะรักษาเวลาได้ดีที่สุด
เพราะวรยุทธเหล่านี้ ไม่ช้าก็เร็วเขาสามารถฝึกมันจนบรรลุขั้นฉลาดล้ำเลิศหรือขั้นสมบูรณ์แบบเมื่อใดก็ได้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องรีบเร่งฝึกฝนในวันเดียวพร้อมๆ กัน
หากทำเช่นนี้ได้ดังหวัง ตัวเขาจะมีเวลาทำอย่างอื่นได้มากขั้นอีกหนึ่งชั่วยาม เวลาหนึ่งชั่วยามนี้หากใช้หลอมโอสถก็ได้หลายเม็ดเลยทีเดียว หรือจะฝึกเคล็ดวิชาอื่นเพิ่มเติมก็ย่อมได้เช่นกัน
หลังตัดสินใจเช่นนั้นแล้ว หยางเสี่ยวเทียนได้เดินไปยังลานฝึกของหลัวชิง เมื่อมาถึง เขาก็ได้พบว่าหลัวชิงกำลังฝึกฝนเพลงหมัดอยู่
ครั้นมองดูการเคลื่อนไหวให้ดี ทุกครั้งที่หลัวชิงออกหมัด จะมีปราณหมัดมากกว่าสิบพุ่งไปยังอากาศเบื้องหน้า
ยิ่งกว่านั้น ปราณหมัดเขายังมีเปลวไฟพิลึกพิลั่นผสานอยู่ด้วย ซึ่งดูทรงพลังกว่าปราณหมัดทั่วไปมากนัก
คราได้เห็นเปลวไฟแปลกประหลาดนี้ หยางเสี่ยวเทียนก็พลันฉงนใจ นี่หรือไม่ ที่เรียกว่าไฟแห่งสวรรค์และโลก
ทุกวันนี้ เขายังอ่านคัมภีร์การหลอมโอสถ และพอมีความเข้าใจเกี่ยวกับเปลวไฟแห่งสวรรค์และโลกอยู่บ้าง
ระหว่างสวรรค์และโลก ล้วนมีเปลวไฟอยู่หลายประเภท ทั้งไฟวิญญาณ ไฟประหลาด และไฟศักดิ์สิทธิ์
หากเขาสามารถพิชิตเปลวไฟเหล่านี้และหลอมรวมมันเข้ากับปราณแท้ในกายเขาได้ สิ่งนี้จะไม่เพียงสามารถเสริมสร้างการโจมตีให้ทรงพลังจนน่าสะพรั่งพรึงเท่านั้น แต่มันยังเพิ่มประสิทธิภาพในการหลอมโอสถของเขา ให้มีคุณภาพล้ำค่าขึ้นอีกด้วย
แต่เปลวไฟที่ออกจากหมัดของหลัวชิง เป็นไฟวิญญาณหรือไฟประหลาดกันนะ
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่านั้นจะเป็นไฟวิญญาณหรือไฟประหลาด มันก็ยากยิ่งที่จะพิชิตได้ง่ายๆ เพราะพลังงานจากเปลวไฟแห่งสวรรค์และโลกเหล่านี้ ล้วนรุนแรงแลแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าอะไร โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการพิชิตพวกมัน ก็นับว่ามีน้อยมากเช่นกัน
บรรดาวิญญาจารย์ผู้แข็งแกร่งหลายคนที่ล้มเหลวในการพิชิตเปลวไฟเหล่านี้ ล้วนถูกพลังงานจากเปลวไฟแห่งสวรรค์และโลกแผดเผาจนเป็นเถ้าถ่านมาแล้วก็มากมาย
ซึ่งหลัวชิง ถือเป็นผู้แข็งแกร่งที่ประสบความสำเร็จในการพิชิตมันได้อย่างมิมีใครคาด
“นายน้อย”
ทันทีที่หลัวชิงเห็นหยางเสี่ยวเทียนเดินเข้ามาใกล้ เขาผู้กำลังฝึกฝนเพลงหมัดอยู่ก็พลันหยุดการเคลื่อนไหวนั้นทันควัน พร้อมสืบเท้าเข้าหาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หยางเสี่ยวเทียนผิวปากฮัมเพลงเล็กน้อย ก่อนเผยปากถามขณะแย้มยิ้มให้เช่นกัน “หลัวชิง เปลวไฟยังผนึกหมัดของเจ้าเป็นประเภทใด ใช่ไฟประหลาดหรือไม่”
หลัวชิงตอบน้ำเสียงพินอบพิเทา “ใช่นายน้อย ข้าโชคดีได้รับไฟประหลาดนี้ในตอนนั้น แต่เป็นเพียงเปลวไฟวายุนิลกาฬ ที่มีระดับต่ำสุดของบรรดาไฟประหลาดพวกนั้น”
หยางเสี่ยวเทียนพยักหน้า
เปลวไฟที่อยู่ในกายหลัวชิงตอนนี้ เป็นประเภทของไฟประหลาดจริงๆ ดั่งเขาคาดการณ์
ในด้านของความแข็งแกร่งท่ามกลางบรรดาเปลวไฟแห่งสวรรค์และโลก ไฟวิญญาณนั้นทรงพลังน้อยที่สุด ตามด้วยไฟประหลาด ส่วนเปลวไฟที่ทรงพลังแลแข็งแกร่งสูงสุด คือไฟศักดิ์สิทธิ์
แม้นไฟประหลาดที่เขาครอบครองอยู่ จะเป็นระดับต่ำสุดของบรรดาไฟประหลาดทั้งหลาย แต่ก็นับว่ามีความแข็งแกร่งมากกว่าผู้ที่มีไฟวิญญาณ ไว้ในครอบครองเสียยิ่งกว่านัก
ยิ่งไปกว่านั้น จำนวนของไฟประหลาดเหล่านี้มีน้อยมาก เพราะพวกมันมีเพียงไม่กี่ร้อยชนิดเท่านั้น
ซึ่งนับเป็นเรื่องยากมากจริงๆ ที่หลัวชิงสามารถพิซิตไฟประหลาดอย่างเปลวไฟวายุนิลกาฬ แล้วหลอมรวมมันผสานเข้ากับปราณแท้ของตัวเขาได้
หลัวชิงถอนหายใจขณะนึกถึงตอนที่ได้มันมาและกล่าวว่า “กว่าข้าจะสามารถพิชิตเปลวไฟวายุนิลกาฬนี้ได้ ก็เกือบเอาชีวิตไม่รอดจากการถูกมันเผาตายเช่นกัน โชคดีที่ข้าพ้นมาได้อย่างหวุดหวิด”
เขายังคงรู้สึกหวาดกลัวทุกครั้ง ครั้นนึกย้อนถึงช่วงเวลาที่เขาเกือบได้ตายไปตอนนั้น และเขาคงไม่มีโอกาสพบพานหยางเสี่ยวเทียนตอนนี้ ที่นับว่าเป็นความโชคดียิ่งกว่าช่วงเวลาไหนๆ ในชีวิต