บทที่ 96 ข้าอยากให้เด็กนั่นหายไปเสีย
พานให้ทุกคนขณะยืนมองอย่างเผลอไผลกับความงดงามมันอยู่นั้น ต่างพากันถอยร่นออกไปให้ห่างจากจัตุรัสด้วยความตกใจ เพราะแรงกดดันอันมหาศาลที่ส่งผ่านมานั้น ดูมิธรรมดาใช่น้อยเลย
คราที่เกล็ดหิมะกำลังจะถมทั้งจัตุรัสอยู่รอมร่อ ทันใดนั้น มันก็สงบลงอย่างหน้าพิศวง มิได้เอ่อล้นออกจากจัตุรัสแม้แต่น้อย
จากนั้น แสงจรัสที่พุ่งสูงจากศิลากระบี่ก็เริ่มเลือนหายไปทีละน้อย ค่อยๆ ผ่อนปรนกลับลงยังศิลากระบี่ จนเขาสู่สภาวะปกติดั่งเช่นที่เคยเป็นก่อนหน้า
ส่วนปรานกระบี่น้ำแข็งที่แผ่ปกคลุมไปทั่วร่างของหยางเสี่ยวเทียนเมื่อครู่ ก็ค่อยๆ อันตรธานหายไปจนสิ้น เหลือไว้เพียงความว่างเปล่าดังเดิม
แม้แต่เกล็ดหิมะอันงดงามที่โปรยปรายและโหมกระหน่ำท่ามกลางแสงแดด ยามนี้ก็ค่อยๆ เลือนหายไปอย่างช้าๆ
ตอนนี้ บรรยากาศกลับสู่ความสงบเหมือนไม่เคยเกิดสิ่งใดมาก่อน ไม่ช้าหยางเสี่ยวเทียนก็ลืมตาตื่นขึ้น ขณะสัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันแรงกล้า ส่งผ่านออกมาจากฝูงชนรอบข้าง
ครั้นกวาดสายตามอง ก็เห็นว่าเป็นหูซิงผู้ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนจำนวนมาก จับจ้องมายังเขาด้วยสายตาอาฆาตแค้นประหนึ่งเป็นดวงตาของสัตว์ป่าที่หมายขย้ำเหยื่อ
ยามนี้ หยางเสี่ยวเทียนจับจ้องไปในดวงตาของหูซิง ต่างฝ่ายต่างมองตากัน มิมีผู้ใดลดรอนสายตาลงแม้แต่น้อย ดั่งโบราณว่าหากศัตรูพบหน้าความอิจฉาจะมากขึ้น
ขณะทุกคนกำลังตกอยู่ในภวังค์ หลินหยงและเฉินหยวนก็รีบสืบเท้าปรี่เข้าหาหยางเสี่ยวเทียนในทันที
หากเทียบกับท่าทางของวานนี้ ทั้งสองดูจะมีความตระหนกตกใจกว่ามาก
“เสี่ยวเทียน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่” เฉินหยวนรีบเปิดปากถามหยางเสี่ยวเทียนเมื่อครั้นบรรลุถึงเขา
น้ำเสียงที่เปล่งวาจานั้นเต็มไปด้วยความห่วงใย คล้ายหยางเสี่ยวเทียนเป็นสิ่งล้ำค่าสูงสุดของเขา
ทว่า น้ำเสียงที่อ่อนโยนและรอยยิ้มอันสดใสของเขา กลับทำให้ผู้คนโดยรอบรู้สึกขนลุกซู่ไปยันกระดูสันหลัง
แม้แต่หยางเสี่ยวเทียนเองก็ยังแปลกใจ หลังได้ยินเฉินหยวนไถ่ถามว่าเขานั้นรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่
แท้จริงแล้วเรื่องที่เฉินหยวนหวั่นวิตกก็คือ หยางเสี่ยวเทียนหยั่งรู้ศิลากระบี่สองเล่มในสองวันติดต่อกัน เขาเลยกังวลว่าหยางเสี่ยวเทียนจะมิอาจแยกแยะกระบวนท่าได้หมด ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง คาดว่าหยางเสี่ยวเทียนคงถูกธาตุไฟเข้าแทรกจนเป็นอันตรายได้
“ข้าสบายดี” หยางเสี่ยวเทียนส่ายศีรษะขณะบอกกล่าว
ทั้งหลินหยงและเฉินหยวน ซึ่งเดิมทีรู้สึกหวั่นใจ ก็ถอนใจยาวคลายความกังวลจนหมดสิ้น
“หากไม่มีอะไรแล้ว ท่านเจ้าสำนัก ท่านรองเจ้าสำนัก ข้าขอตัวลา” หยางเสี่ยวเทียนกล่าวพลางยกหมัดประสานแน่นทำความเคารพ
เมื่อเห็นท่าทางของหยางเสี่ยวเทียน หลินหยงก็รีบเปิดปากอย่างรวดเร็ว เพราะกลัวเขาจะเดินพ้นไปเสียก่อนที่ตนจะทันได้บอกกล่าวสิ่งใด
“ได้ๆ แต่ว่าหลังจากที่เจ้ากลับไปแล้ว อย่าได้ฝืนสังขานฝึกฝนหนักจนเหนื่อยเกินไป เพราะว่าร่างกายของเจ้าก็ต้องการเติบโตเช่นกัน”
“ลูกเอ๋ย แม้หมั่นฝึกฝนนั้นจะดี แต่การพักผ่อนให้เพียงพอก็นับว่าสำคัญมิแพ้กัน เจ้าอย่าได้ลืมเรื่องนี้เชียว เข้าใจหรือไม่”
น้ำเสียงที่หลินหยงเปล่งออกมานั้น มิต่างอันใดกับน้ำเสียงของเฉินหยวนเมื่อครู่แม้แต่น้อย ล้วนแล้วแต่เป็นน้ำเสียงที่ทำให้ผู้ได้ฟังต่างขนลุก ทั้งใบหน้ายังยิ้มแย้มสำราญยิ่งขณะกล่าวอีกด้วย
“เจ้าได้ยินรึไม่ เขาบอกว่าอย่าได้ฝืนสังขานฝึกฝนหนักจนเหนื่อยเกินไป”
“การพักผ่อนให้เพียงพอก็นับว่าสำคัญมิแพ้กันงั้นหรือ ข้าหูไม่ฝาดไปใช่รึไม่”
เสียงกระซิบกระซาบจากฝูงชน ขณะทุกคนมองดูหลินหยงด้วยสายตาประหลาดใจ
ท่านเจ้าสำนัก คนที่เคยมีสีหน้าเคร่งขรึมดูน่าหวั่นเกรงแลเข้มงวดกับกฎระเบียบอยู่เสมอ เขารู้จักห่วงใยศิษย์ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“ขอรับท่านเจ้าสำนัก” หยางเสี่ยวเทียนกล่าวกับหลินหยง พร้อมหมุนตัวเดินจากไปหลังกล่าวจบ
ขณะเขาเคลื่อนกายออกไปอย่างเชื่องช้าไม่เร่งรีบ ทุกคนยังจัตุรัสร้อยกระบี่ต่างจับจ้องยังแผ่นหลังของเด็กน้อย ด้วยอารมณ์แต่กต่างกันไป
ท่ามกลางแสงแดดอันกระจ่างตา สาดส่องกระทบร่างของหยางเสี่ยวเทียนที่ค่อยๆ สืบตรงไปตามทางข้างหน้า
เผยรูปร่างอันผอมเพรียวของหยางเสี่ยวเทียน ประหนึ่งถูกปกคลุมไปด้วยแสงเรืองรองสีทองจากสรวงสวรรค์
หลินหยงและเฉินหยวนมองหยางเสี่ยวเทียนเขยื้อนกรายออกไป ด้วยใบหน้าอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น พร้อมรอยยิ้มที่ประดับอยู่ยามนี้ก็มิอาจหุบลงได้
“ให้คนเร่งรวบรวมคัมภีร์เกี่ยวกับวิญญาณยุทธ์จากทั่วทุกมุมโลก” หลินหยงหันกล่าวกับเฉินหยวนทันที
เพลานี้ เขาชักเกิดความกังวลด้วยใคร่รู้เกี่ยวกับวิญญาณยุทธ์ของหยางเสี่ยวเทียน ทวีขึ้นมากเรื่อยๆ ว่ามันคืออะไรกันแน่
“ตกลง” เฉินหยวนพยักหน้าพร้อมปลีกตัวไปทันที
มิต้องสงสัยเลยว่า ครั้นเมื่อหยางเสี่ยวเทียนกลับถึงจวนเขาจะทำอะไร เพราะเขายังทำเฉกเช่นเดิมทุกวัน ยังคงมุ่งหน้าไปลานฝึกยุทธ์เพื่อฝึกฝนเพลงกระบี่จันทราเยือกแข็ง
แต่อีกด้านหนึ่ง เมื่อหูซิงกลับมายังเรือนของตน เขาก็ชักกระบี่ออกมาเหวี่ยงฟาดไปยังเสาหินทั้งหมดในลานฝึก จนแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“ศิษย์พี่หู ข้าสืบทราบมาแล้วว่าหยางเสี่ยวเทียนอาศัยอยู่นอกสำนัก ไว้ข้าจะหาโอกาสสังหารเขาซะ” เติ้งอี้ ศิษย์ฝ่ายในผู้ภักดีต่อหูซิงกล่าวพร้อมแสดงอาการกระเหี้ยนกระหือรือใคร่สังหาร
เติ้งอี้เป็นศิษย์ฝ่ายในของสำนักเสินเจี้ยน พรสวรรค์ของเขานับว่าโดดเด่นและความแข็งแกร่งด้านพลังยุทธ์ก็อยู่ในขั้นเซียนสวรรค์ระดับสิบ
หูซิงส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “การจะสังหารเขาในเมืองเสินเจี้ยน นั้นออกจะโจ่งแจ้งเกินไป”
หลังใคร่ครวญเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาก็เผยปากขึ้น “ในการสอบปลายภาค จะมีการทดสอบล่าสัตว์อสูรในป่า เราจะรอจนกว่าถึงตอนนั้น แล้วค่อยสังหารเขา ต้องรู้จักอดเปรี้ยวไว้กินหวาน”
เมื่อกล่าวถึงสิ่งนี้ดวงตาของเขาก็ฉายแววเย็นชา “ข้าอยากให้ร่างเจ้าเด็กนั้น หายไปทั้งหมด!”
ในการทดสอบล่าสัตว์อสูรทุกๆ ปีของช่วงการสอบปลายภาค มักมีศิษย์ต้องตายเพราะถูกสัตว์อสูรฆ่ากินเป็นอาหาร และปีก่อนหน้า ก็มีศิษย์บางคนถูกสังหารโดยสัตว์อสูรพวกนั้น
ซึ่งนั่นจะเป็นโอกาสให้พวกเขาลงมือสังหารหยางเสี่ยวเทียน แล้วปล่อยให้สัตว์ร้ายพวกนั้น ฉีกกินร่างเจ้าเด็กนั่นจนไม่เหลือซาก จัดฉากให้มันเป็นเรื่องของอุบัติเหตุไปเสีย หากเขาทั้งสองปิดตาอุดหู ผู้ใดจะล่วงรู้กันเล่า
หากหยางเสี่ยวเทียนถูกสัตว์อสูรกลืนกินแล้วไซร้ ต่อให้สำนักเสินเจี้ยนต้องการสืบหาความจริงมันก็ยากยิ่งจะตกถึงเรา
เติ้งอี้แสยะยิ้มพลางกล่าวว่า “ดี! เป็นแผนที่ดีมาก! เช่นนั้นเราจะรอจนถึงช่วงสอบปลายภาค แล้วข้าจะสับเขาเป็นหมื่นๆ ชิ้น ปล่อยให้เดรัจฉานเหล่านั้นกินเสีย”
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ เติ้งอี้ก็พลันสงสัยก่อนจะเอ่ยถามออกไปว่า “เจ้าว่า เด็กนั่นจะกลับไปหยั่งรู้ศิลากระบี่ในวันพรุ่งนี้อีกหรือไม่”
ครั้นได้ยินดังนั้น หูซิงก็รู้สึกราวกับถูกทิ่มแทงด้วยเข็มหมื่นเล่มพานให้เจ็บปวดทั่วสรรพางค์กาย ทำเขาสั่นเกร็งจนเส้นเลือดปูดโปนยังสองขมับบนพักตร์หน้า
“ข้าไม่เชื่อ ว่าพรุ่งนี้เขาจะหยั่งรู้ศิลากระบี่เล่มที่สามได้!” เขาแผดเสียงแหบห้าวดังลั่น ในใจพลางเกลียดชังแล้วยังหวาดหวั่นว่านั่นจะเป็นจริงอีกด้วย