บทที่ 95 เคล็ดวิชาศิลากระบี่เล่มที่สอง
ไม่เพียงหูซิงเท่านั้นที่ไม่เชื่อ เฉิงเป้ยเป้ยและหยางจง ทั้งสองคนก็มิอาจหลงเชื่อในข่าวคราวอันกำลังแพร่สะพัดไวดั่งกระแสน้ำขณะนี้เช่นกัน แค่คิดพวกเขาก็รู้แจ้งว่าเรื่องนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้น
เพราะศิลากระบี่ เป็นเรื่องยากมากจะหยั่งรู้ ด้วยเพียงเล่มเดียวก็นับว่าหายากนัก ที่จะมีผู้ใดสามารถหยั่งรู้เคล็ดวิชายังศิลากระบี่ได้ภายในไม่กี่ปี
สิ่งนั้นจึงทำให้พวกเขามั่นใจหนักหนา ว่าหยางเสี่ยวเทียนจะไม่มีทางหยั่งรู้ศิลากระบี่เล่มที่สองได้ ในเวลาสองวันติด
ซึ่งทางฝั่งของหลินหยงและเฉินหยวนก็ได้รับข่าวนี้โดยบังเอิญ จากเสียงเอิกเกริกด้านนอกจนทะลุเข้ามาเช่นกัน
“วันนี้เขาจะหยั่งรู้ศิลากระบี่เล่มที่สองงั้นรึ” หลินหยงอุทาน
“เจ้าเด็กนี่ ชักจะทะเยอทะยาน กระหายในความสำเร็จมากเกินไปรึไม่” หลินหยงครุ่นคิด แอบเป็นกังวลภายในใจเงียบๆ
แม้นตัวเขาจะมิอาจปฏิเสธได้ ว่าหยางเสี่ยวเทียนเป็นอัจฉริยะนักกระบี่ผู้มิมีใครเทียบ แต่เขาก็อดคิดว่าเป็นเรื่องเลวไหลไม่ได้ ที่หยางเสี่ยวเทียนจะสามารถหยั่งรู้ศิลากระบี่เล่มที่สอง หลังเพิ่งบรรลุเล่มแรกไปวานนี้
“เช่นนั้นเราไปดูกันดีหรือไม่” เฉินหยวนถามหลินหยงทันที เพราะในใจเขารู้สึกว่าเด็กคนนี้อาจสร้างปาฏิหาริย์ให้เขาได้ตะลึงอีกครั้ง
หลินหยงพยักหน้า แล้ววางคัมภีร์เกี่ยวกับวิญญาณยุทธ์ที่เขาเพิ่งรวบรวมมาลงบนโต๊ะ จากนั้นเขาท่องกระบี่เหินไปยังจัตุรัสร้อยกระบี่พร้อมเฉินหยวนทันใด
ทว่า ขณะที่ทั้งสองอยู่มิใกล้มิไกลจากจัตุรัสร้อยกระบี่นัก ทันใดนั้น ปราณกระบี่อันน่าอัศจรรย์ก็พุ่งปราดขึ้นสูงสู่นภาเบื้องหน้า ทำพวกเขาเบิกตาค้างกว้างสู้ลำแสงนั่นอย่างมิอาจยับยั้งสติสัมปชัญญะตนได้
ไฉนปราณกระบี่จึงเกิดขึ้นอย่างกระทันหันเช่นนี้ ด้วยความรวดเร็วนี้ พานให้ทั้งสองต้องชะงักกึกกลางอากาศทันที
มิเพียงเท่านั้น ปรานกระบี่นี้ยังรุนแรงอีกด้วย!
ระหว่างทั้งสองยังตกอยู่ในความฉงนสงสัยนั้น ปราณกระบี่อีกระลอกก็พลันปรากฏขึ้นอีกหน ทั้งยังทรงพลังกว่าครั้งแรกนัก!
เฉินหยวนและหลินหยง ต่างมองไปยังต้นทางของปรานกระบี่ด้วยสีหน้าตะลึงลาน
เพราะทิศทางที่มองไปนั้นคือจัตุรัสร้อยกระบี่นั่นเอง
หรือเจ้าเด็กน้อยนั่นจะ…
ทั้งสองเบิกตามองหน้ากันด้วยความตกใจ และแล้วก็เคลื่อนตัวท่องกระบี่เหินไปยังจัตุรัสร้อยกระบี่ ด้วยความเร็วยิ่งยวดอย่างไม่เคยทำมาก่อน ระหว่างลอยอยู่ท่ามกลางนภากาศ หัวใจของทั้งสองก็สั่นไหวเต้นมิเป็นจังหวะ
เมื่อคราเฉินหยวนและหลินหยงเหินมาถึง โดยรอบของจัตุรัสก็ถูกอัดแน่นไปด้วยเหล่าอาจารย์และศิษย์จากทั้งสำนักแล้ว
ท่ามกลางฝูงชน ยังมีร่างหนึ่งซึ่งยืนกำหมัดแน่นพลางมองหยางเสี่ยวเทียนด้วยสายตาอาฆาตแค้น คนผู้นั้นมิใช่ใครอื่นแต่เป็นหูซิง ทีใบหน้ายามนี้เต็มไปด้วยความริษยาทวียิ่ง
หยางจงที่ยืนข้างเขา ก็มองยังหยางเสี่ยวเทียนผู้ยืนนิ่งอยู่หน้าแท่นศิลากระบี่ ทว่าเขามิใช่มองด้วยสายตาชิงชัง แต่เป็นสายตาที่มองด้วยความสิ้นหวังต่างหาก
แม้แต่ใบหน้างดงามของเฉิงเป้ยเป้ยเพลานี้ ก็ถูกประดับด้วยความประหลาดใจเช่นกัน
เกี่ยวกับศิลากระบี่ ณ จัตุรัสร้อยกระบี่ มีตำนานที่สำนักเสินเจี้ยนเล่าขานไว้ ว่าผู้ใดก็ตามที่สามารถหยั่งรู้ศิลากระบี่เหล่านี้ได้ จำเป็นต้องมีจิตวิญญาณแห่งกระบี่อันทรงพลังยิ่ง จึงจะสามารถหยั่งรู้ถึงแก่นแท้ของศิลากระบี่ได้
แต่ทุกครั้งที่หยั่งรู้ศิลากระบี่ ต่อให้จิตวิญญาณแห่งกระบี่จะมีพลังมากแค่ไหนก็ตาม อย่างน้อยต้องใช้เวลาหนึ่งปีในการแยกแยะกระบวนท่าทั้งหมดให้แตกฉานเสียก่อน จึงจะสามารถหยั่งรู้ศิลากระบี่ที่สองต่อไปได้
ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงตามตำนานว่า แล้วหยางเสี่ยวเทียนผู้กำลังยืนนิ่งอยู่หน้าแท่นศิลากระบี่เล่า
ไฉนเขาจึงสามารถหยั่งรู้ศิลากระบี่เล่มที่สองได้อีกครั้งในวันรุ่งทันที หลังเพิ่งจะบรรลุไปวานนี้โดยมิต้องใช้เวลามากถึงหนึ่งปีอย่างตำนานกล่าว
หยางเสี่ยวเทียนสามารถทำได้อย่างไร เขาแยกแยะกระบวนท่าทั้งหมดในวันเดียวได้อย่างไรกัน
ไม่เพียงเฉิงเป้ยเป้ยเท่านั้นที่คลางแคลงใจ กระทั่งบรรดาอาจารย์และศิษย์ทุกคนในตอนนี้ ก็ต่างไม่เข้าใจเช่นกัน
ต่อให้เป็นผู้อาวุโสเช่นหลินหยงและเฉินหยวน ก็ยังมิอาจเข้าใจสถานการณ์นี้ได้ ว่าเด็กน้อยตัวเท่านี้จะสามารถหยั่งรู้เอาเคล็ดวิชาจากศิลากระบี่ระดับนี้ หลังเพิ่งเข้าเป็นศิษย์สำนักเสินเจี้ยนไม่ถึงปีราวกับอยู่มานานมากพอแก่กล้าเคล็ดวิชาวรยุทธต่างๆ จนไม่เหลืออะไรให้เรียนรู้จำต้องมาเดินเล่น ณ ที่แห่งนี้
เว้นเสียแต่จิตวิญญาณแห่งกระบี่ของหยางเสี่ยวเทียน จะมีพลังอันน่าสะพรึงซ่อนอยู่อย่างมหาศาล มิฉะนั้น เขาจะทำเรื่องอัศจรรย์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเช่นนี้ได้อย่างไร
คิดได้ดังนั้น สายตาทุกคู่ก็ต่างจับจ้องไปยังร่างผอมของคนๆ เดียวหน้าแท่นศิลาขณะมีปราณจากกระบี่รายล้อมรอบตัวเขาไว้ภายใน
ยามนี้ หยางเสี่ยวเทียนผู้ยืนหลับตานิ่งหน้าศิลากระบี่ ตกอยู่ในห้วงจิตว่าตนยืนอยู่ท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งและหิมะ บรรยากาศโดยรอบพลันหนาวเหน็บประหนึ่งจะถูกแช่แข็งจากความเย็นเฉียบ คล้ายช่วงเหมันต์ฤดู
ในห้วงแห่งพิภพสีครามนั้น ปราณกระบี่อันเย็นเยียบประดุจน้ำแข็ง กำลังเหินบินว่อนท่องทั่วนภากาศ มีการเคลื่อนไหวหลายรูปแบบ ทั้งทะยาน สะบัด และกวัดแกว่ง
ก่อนลำแสงของปราณกระบี่เบื้องหน้าที่ประจักษ์ในสายตาหยางเสี่ยวเทียน จะทะยานลงพื้นสีขาวบริสุทธิ์กลายร่างเป็นบรรดานักกระบี่ จากปราณกระบี่น้ำแข็งขณะบินว่อนเมื่อครู่
บรรดานักกระบี่แห่งพิภพเหมันต์ยามนี้ ต่างเริ่มร่ายรำแสดงกระบวนท่าทักษะกระบี่ของตน ครั้นพวกเขากวัดแกว่งกระบี่ สายลมจากทั่วสี่ทิศแปดด้านก็พลันก่อตัวเกิดเป็นพายุหมุน หอบรวมเอาเกล็ดหิมะทำโหมกระหน่ำ จนกายเขารู้สึกเย็นเฉียบหนักกว่าเดิม
ระหว่างเขายืนจับจ้องกระบวนท่าต่างๆ เหล่านั้น กระบวนท่าแรกจากนักกระบี่เหมันต์ก็พุ่งเข้าใส่หว่างคิ้วเขา ตามด้วยกระบวนท่าที่สอง สาม เรื่อยๆ จนครบทุกกระบวนท่าของเคล็ดวิชาศิลากระบี่เล่มนี้ พร้อมภาพธรรมเล็กๆ ขณะนักกระบี่เหมันต์เหล่านั้นร่ำทักษะของตน ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะหยางเสี่ยวเทียน
แต่ในสายตาของผู้คนรอบจัตุรัส กลับได้เห็นเพียงเกล็ดหิมะโปรยปรายลงมาจากท้องนภา เหนือศีรษะของหยางเสี่ยวเทียน ทั้งยังค่อยๆ ขยายขอบเขตออกไปเรื่อยๆ
ไม่นานนัก เกล็ดหิมะที่กำลังโปรยปราย ก็แผ่ขยายปกคลุมทั่วทั้งจัตุรัสร้อยกระบี่จนเริ่มขาวโพลน
แม้นท้องฟ้ายามนี้จะเจิดจ้าจากดวงตะวัน ทว่าหิมะกลับโปรยลงมาทั่วจัตุรัสร้อยกระบี่ เป็นภาพปรากฏการณ์อันแปลกประหลาด แต่งดงามตราตรึงต่อสายตาพานให้หัวใจเบิกบานยิ่งนัก
เคล็ดวิชาแห่งศิลากระบี่เล่มที่สอง จากการหยั่งรู้หยางเสี่ยวเทียนคือ “เพลงกระบี่จันทราเยือกแข็ง”
ศิลากระบี่เล่มแรกคือ “เพลงกระบี่ระพีแผดเผา” ส่วนศิลากระบี่เล่มสองคือ “เพลงกระบี่จันทราเยือกแข็ง”
หนึ่งหยางหนึ่งหยิน หนึ่งสุริยันหนึ่งจันทรา หนึ่งแข็งแกร่งหนึ่งอ่อนโยน
คราใดที่หยินหยางผสานเป็นหนึ่ง ความแข็งแกร่งและความอ่อนโยนจะส่งเสริมกัน ผลักดันให้พลังของเพลงกระบี่ทั้งสองเพิ่มขึ้นอย่างทวี
เพลาล่วงเลยไปไม่นาน หิมะที่กำลังโปรยปรายในจัตุรัสร้อยกระบี่ ก็จับตัวกันเป็นชั้นน้ำแข็งหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนรอบข้างจัตุรัสต่างได้สัมผัสถึงความหนาวเย็นอันแผ่ออกมา
ยามใดที่มีกระแสลมแรงพัด มันจะม้วนหมุนเอาเกล็ดหิมะสีขาวตามไปด้วย ประดุจกับดูมังกรน้ำแข็งทะยานไปมารอบจัตุรัสมิมีผิด
แต่ทันใดนั้น จู่ๆ หิมะก็โหมกระหน่ำแรงขึ้น สร้างความผันผวนไปทั่วอาณาบริเวณ คล้ายจะก่อตัวเป็นพายุหิมะขนาดใหญ่ส่งเสียงคำรามกึกก้อง