บทที่ 93 เคล็ดวิชาศิลากระบี่เล่มแรก
หลินหยงอดลังเลไม่ได้เช่นกัน เมื่อได้ยินเฉินหยวนถามว่าควรรายงานสถานการณ์ของหยางเสี่ยวเทียนต่อเซียนกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งห้าหรือไม่ เพราะเขาก็อยากรู้ไม่น้อยไปกว่าใคร ว่าวิญญาณยุทธ์ของเด็กผู้นั้นอยู่ในระดับใดกันแน่
แต่หากจะให้ไปรบกวนเซียนกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งห้า ที่กำลังศึกษาศาสตร์แห่งวิถีกระบี่สูงสุดยังตำหนักกระบี่ลานในสำนักเสินเจี้ยน เขาคงได้โดนเอ็ดตะโรด้วยไปยุ่มย่ามช่วงเวลาความเป็นความตายของพวกเขา
เว้นแต่จะมีศิษย์ที่สามารถเข้าใจศิลากระบี่สิบหรือมากกว่าสิบเล่มขึ้นไปจากหนึ่งร้อยเล่มในจัตุรัสร้อยกระบี่ เขาถึงจำต้องรายงานต่อเซียนกระบี่ทั้งห้า ดั่งที่พวกเขาเคยบัญชาไว้อย่างเด็ดขาดก่อนเข้าเก็บตัวเงียบยังโถงตำหนัก
แม้พรสวรรค์ในด้านหยั่งรู้กระบี่ของหยางเสี่ยวเทียนจะน่าทึ่ง แต่ตอนนี้ เขาเพิ่งบรรลุมันเพียงศิลากระบี่เล่มเดียว ซึ่งยังไม่ถึงกับเป็นเรื่องใหญ่โตหรือสำคัญต่อพวกเขาทั้งห้ามากเท่าไรนัก
ยิ่งนึกถึงพวกเขา หลินหยงยิ่งรู้สึกเหนื่อยหน่ายใจ เพราะไม่มีใครแล้ว ที่จะสามารถชี้ชัดว่าวิญญาณยุทธ์ในตัวหยางเสี่ยวเทียนคืออะไรกันแน่ เผื่อไขความกระจ่างให้แก่เขาเพลานี้ได้
“ห้าเซียนกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่กล่าวไว้ หากไม่มีศิษย์ผู้ใดสามารถเข้าใจศิลากระบี่ได้มากกว่าสิบเล่ม ก็ไม่จำเป็นต้องรายงานเรื่องอื่นแก่พวกเขา” หลินหยงกล่าวตอบหลังไตร่ตรองอยู่ครู่
“เราไม่ควรรายงานเรื่องของหยางเสี่ยวเทียน ต่อห้าเซียนกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ทราบ” เขาเสริม
แต่ครั้นนึกถึงสิ่งหนึ่งขึ้นได้ เขาก็กล่าวกับเฉินหยวน “ท่านช่วยรวบรวมคัมภีร์ทั้งหมด ที่เกี่ยวกับวิญญาณยุทธ์มาให้ข้าที ข้าอยากรู้ว่ามันคืออะไรกันแน่”
เขาต้องการศึกษาวิญญาณยุทธ์ของหยางเสี่ยวเทียนอีกครั้งให้ประจักษ์ชัดแจ้ง ว่ามันเป็นวิญญาณยุทธ์ประเภทใด
อีกด้านหนึ่ง เผิงจื้อกังเจ้าเมืองเสินเจี้ยนก็มีความคิดคล้ายคลึงมิต่างจากหลินหยง เพราะตัวเขามิอาจเชื่อได้ ว่าวิญญาณยุทธ์เต่ายักษ์แท้จริง จะเป็นเพียงระดับสองเท่านั้น
หรือว่า วิญญาณยุทธ์เต่ายักษ์ของหยางเสี่ยวเทียน จะแตกต่างจากวิญญาณยุทธ์เต่าของเหล่าวิญญาจารย์ทั่วไป
ยิ่งคิดก็ยิ่งฉงนใจพิกล เขาต้องการทราบความจริง จึงสั่งให้องครักษ์ตนค้นหาคัมภีร์ทุกเล่มทั่วเมืองเสินเจี้ยน มิแน่ว่าอาจมีคัมภีร์เล่มใดที่บันทึกเกี่ยวกับวิญญาณยุทธ์เต่ายักษ์ของหยางเสี่ยวเทียนเอาไว้ก็เป็นได้
แม้ตอนนี้ เขาจะยังไม่เคยเห็นหยางเสี่ยวเทียนปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์เต่ายักษ์มาก่อน ครั้นเขาคะนึงถึงรูปร่างของเต่ายักษ์นั้นว่าเป็นอย่างไร ก็ยิ่งพานให้สงสัยมากขึ้นเท่านั้น
“ตกลงตามนั้น เดี๋ยวข้าจะขอให้บรรณารักษ์หอคัมภีร์ รวบรวมคัมภีร์เกี่ยวกับวิญญาณยุทธ์ทั้งหมดตอนนี้” เฉินหยวนพยักหน้ารับคำของหลินหยง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เฉินหยวนเคลื่อนตัวจากไปโดยไม่ลังเลใจหรือมีข้อกังขาแม้แต่น้อย หากการรวบรวมคัมภีร์เกี่ยวกับวิญญาณยุทธ์ทั้งหมดในหอคัมภีร์หรือจะที่ไหนๆ ไกลแสนไกล เขาก็ยินดีช่วยค้นหาคำตอบไขข้อข้องใจเหล่านั้น ด้วยใคร่สงสัยมิด้อยไปกว่าใครที่สุด
ผู้คนในจัตุรัสร้อยกระบี่ต่างแยกย้ายกันไป จากกลุ่มคนนับร้อยทำอาณาบริเวณมืดครึ้ม เพลานี้พลันสว่างตาขึ้นทันที
ตัดมายังหูซิง ผู้กลับถึงเรือนของตนก็พลางสะบัดแขนเสื้อปลดปล่อยปราณกระบี่อันน่าอัศจรรย์พุ่งทะยานเข้าหาเรือหินขนาดใหญ่ในลานฝึก พานให้เรือหินนั้นแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทันที
บรรดาศิษย์ที่ติดสอยห้อยตามหูซิงมาตลอด ครั้นได้เห็นใบหน้าฉุนเฉียวเกรี้ยวโกรธก็ต่างพากันหวาดกลัวจนขวัญกระเจิง ยืนสั่นสะท้านอยู่กับที่ มิกล้าปริปากแต่อย่างใด
“พวกเจ้ากลับไปก่อน” หูซิงโบกมือปัดพลางกล่าวต่อ “ข้าอยากอยู่คนเดียว”
ศิษย์เหล่านั้นมิกล้าเผยอเอ่ยสิ่งใด พลันยกมือประสานหมัดแล้วจากไปทีละคน
เมื่อเห็นว่าทุกคนจากไปแล้ว หูซิงจึงมิคิดปิดบังเจตนาฆ่าแต่อย่างใด แววตาประหนึ่งสัตว์ร้ายที่ได้รับความเจ็บแค้น
“หยางเสี่ยวเทียน แม้เจ้าจะบรรลุศิลากระบี่เล่มแรกแล้ว แต่ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะสามารถเข้าใจศิลากระบี่เล่มที่สองได้!”
ณ เมืองเสินเจี้ยน
หลังจากที่หยางเสี่ยวเทียนกลับถึงจวน เขาก็รีบสืบเท้าปรี่ไปยังลานฝึกยุทธ์ เพื่อฝึกฝนเคล็ดวิชาศิลากระบี่ที่พึ่งยังรู้ได้จากจัตุรัสร้อยกระบี่
เคล็ดวิชายังศิลากระบี่เล่มแรกนี้เรียกว่า “เพลงกระบี่ระพีแผดเผา”
เป็นเพลงกระบี่ที่แข็งแกร่งสุดของบรรดากระบี่หยาง (สุริยัน)
ครั้นชักกระบี่ออกมาหมายฝึกฝน ทันใดนั้น คลื่นความร้อนก็โถมเข้ามายังลานฝึกยุทธ์ของหยางเสี่ยวเทียนผสานเข้ากับปราณกระบี่ แพ้กลิ่นอายความร้อนลุกโชติช่วงไปทั่วลาน ประหนึ่งว่ามันจะผลาญทุกสรรพสิ่งให้เป็นเถ้าถ่าน
หยางเสี่ยวเทียนเหวี่ยงกระบี่ในมือสะบัดออกไปเบื้องหน้า ปราณกระบี่ที่พุ่งออกไปสว่างไสวเรืองรอง แผ่คลื่นความร้อนปะทุดุจแสงแห่งสุริยันดวงที่สองมิมีผิด
ในยามที่เขากำลังร่ายรำ ปราณกระบี่อันทรงพลังก็ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ครั้นฟ้ามืด เป็นเวลาแห่งรัตติกาล
เมื่อฝึกฝนจนบรรลุขั้นฉลาดล้ำเลิศสมดั่งใจหมาย หยางเสี่ยวเทียนก็คลายความเร็วในการเคลื่อนไหวกระทั่งหยุดนิ่ง ผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่ทุเลาความเหนื่อยล้า เก็บกระบี่เข้าฝักพร้อมกลับห้อง
หลังปิดประตูลงอย่างมิดชิด เขาก็ยังคงทำเช่นเดิมเหมือนทุกวัน ขึ้นไปนั่งขัดสมาธิบนเตียงหยกเย็นเริ่มบ่มเพาะพลังจากปราณมังกรแรกเริ่ม
ด้วยการบ่มเพาะพลังจากปราณมังกรแรกเริ่มอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปราณมังกรแท้จริงปรากฏเป็นภาพธรรมขึ้นมาหกตัวเล็กๆ เคลื่อนไหวรอบกายหยางเสี่ยวเทียน หากพวกมันตัวใหญ่มากกว่าสิบฉื่อคงดูน่าสะพรึงไม่น้อย
หลังจากทะลวงเข้าสู่ขั้นเซียนสวรรค์ระดับสี่ขั้นปลาย เขาก็ได้ปลุกปราณแท้มังกรให้ตื่นขึ้นอีกสองตัว
เท่ากับยามนี้ ปราณแท้มังกรทั้งหกถูกปลุกขึ้นอย่างสมบูรณ์
ซึ่งด้วยปราณแท้มังกรทั้งหก มันได้ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางกล้ามเนื้อ พลังป้องกัน การโจมตีอันแก่กล้า และยังช่วยปรับปรุงปราณแท้ในตันเถียนเช่นกัน
เหนือศีรษะของหยางเสี่ยวเทียนเวลานี้ วิญญาณยุทธ์เสวียนอู่กับวิญญาณยุทธ์อสรพิษนิลกาฬกำลังดูดกลืนพลังวิญญาณแห่งสวรรค์และโลกอย่างมิมีหยุดหย่อน
ทว่า หากเทียบกับเมื่อก่อน พวกมันทั้งสองก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปมากอยู่ไม่น้อย