บทที่ 92 ห้าเซียนกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่
ยิ่งเขากล่าวคำพูดเหล่านั้นออกมามากเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ กับสิ่งที่ได้รับรู้มามากขึ้นเท่านั้น เหตุใดเขาจึงตื่นเต้นขณะเล่าถึงเรื่องเป็นไปไม่ได้นี้
จู่ๆ สีหน้าเขาก็ดูเจื่อนลง น้ำเสียงอันหนักแน่นเมื่อครู่พลันเบาบางจนที่สุดก็เงียบสนิท
วิญญาณยุทธ์ระดับสองจะสามารถทำเช่นนี้ได้งั้นหรือ
ใครก็มองว่ามันพิลึกพิลั่น เป็นไปไม่ได้ที่วิญญาจารย์ผู้มีเพียงวิญญาณยุทธ์ระดับสอง จะมีสัมผัสทางจิตวิญญาณแข็งแกร่งมากเพียงพอ จะใช้ปลดผนึกเคล็ดวิชาของแท่นศิลากระบี่เพื่อหยั่งรู้มันได้ เพราะแม้แต่ผู้ที่มีวิญญาณยุทธ์สมบูรณ์แต่กำเนิดระดับสิบขึ้นไปยังมิมีทีท่าทำได้เช่นนั้นเลย
สำมะหาอะไรกับผู้มีเพียงวิญญาณยุทธ์ระดับสอง ต่อให้สามารถเลื่อนไปยังระดับสาม ไม่สิ แม้แต่ระดับสิบยังนับว่าเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ
แต่คราได้ฟังเรื่องเช่นนี้ เผิงจื้อกังกลับเริ่มครุ่นคิดไตร่ตรองพลางกล่าวพึมพำกับตนเองว่า
“วิญญาณยุทธ์เต่ายักษ์งั้นรึ”
เนื่องจากหลินหยงคือผู้ชี้ชัดให้ประจักษ์ด้วยตัวเอง มันจึงต้องเป็นวิญญาณยุทธ์ของเต่ายักษ์อย่างมิมีข้อกังขาแต่อย่างใด
แต่นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร ถ้าวิญญาณยุทธ์เต่ายักษ์ของเด็กผู้นั้นเป็นเพียงระดับสองจริงๆ เขาสามารถหยั่งรู้เคล็ดวิชาที่ศิษย์ในสำนักเสินเจี้ยนน้อยคนนักจะสามารถทำได้หรือ คงมิใช่ว่าเจ้าสำนักหลินมองเขาผิดไปกระมัง
อีกฟากหนึ่งใจกลางเมืองยามนี้ นักปรุงโอสถผู้ถูกส่งไปสืบข่าว ก็กลับมายังหอสมาคมนักปรุงโอสถแล้วรายงานผลให้หลินหยวนทราบเช่นกัน
“หยางเสี่ยวเทียนงั้นเรอะ” หลินหยวนสะดุ้งพลันลุกจากเก้าอี้หลังได้ยินนามนี้ แต่แล้ว จู่ๆ จากสีหน้าตกใจเมื่อครู่ก็ผันเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มอย่างสำราญยิ่ง
เป็นปรมาจารย์น้อยหยางเองหรือ เช่นนั้นก็หาใช่เรื่องควรประหลาดใจแต่อย่างใด
ก่อนหน้าเขายังตกใจไม่น้อย ที่สำนักเสินเจี้ยนได้สร้างอัจฉริยะนักกระบี่ผู้น่าทึ่งเช่นนี้ขึ้นมา
แต่ตอนนี้ เนื่องจากเป็นปรมาจารย์น้อยหยางคนนั้น มันจึงเป็นเรื่องปกติ เพราะอย่างไรเสียเขาก็ทึ่งในตัวเด็กคนนี้อยู่แล้ว
ในทุกๆ วัน ความสารมารถเช่นนั้นยังตราตรึงคราใดก็ตามที่เขานึกถึงทักษะการหลอมโอสถสร้างฐานวิญญาณของหยางเสี่ยวเทียน จนหัวใจสั่นไหวมิเป็นจังหวะยากนักจะสงบลงได้ และเพลานี้ก็เป็นเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ดูท่าเด็กคนนี้มีฝีมือร้ายกาจมากกว่าที่เขาจินตนาการไว้เสียอีก ไหนจะทักษะการหลอมโอสถอันน่าทึ่ง ทั้งยังมีพรสวรรค์ด้านกระบี่ที่สูงส่งอีก มิแน่ว่าเด็กคนนี้อาจสร้างความตื่นตะลึงไปทั่วยุทธภพก็เป็นได้ในอนาคต
หยางเสี่ยวเทียนงั้นรึ? เฉินจื่อหานผู้ยืนอยู่ข้างๆ มาโดยตลอดพลางได้ยินรายงานนี้เช่นกัน สีหน้านางพลันนึกคิดหลังทราบเรื่อง ก่อนเปลี่ยนเป็นสับสนว่าทำไมนามนี้จึงคุ้นเคยมากนัก
ทันใดนั้น นางเบิกตางามกว้างขึ้น เพราะคะนึงได้ว่าบุคคลนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องของหยางจง ผู้แอบอ้างตนว่าเป็นนักปรุงโดสถยังสมาคมอย่างน่าไม่อาย
ใบหน้างามของเฉินจื่อหานพลันขมวดคิ้ว ครั้งนึกถึงวาจาจากเฉิงเป้ยเป้ย ที่กล่าวว่าบุคคลนี้ทำทีเดินออกจากหอสมาคมเพื่อจะได้แสร้งตนเป็นนักปรุงโอสถ ให้ผู้อื่นเชื่อถือง่ายๆ แต่คงไม่คิดว่าจะมีใครโง่เขลารู้เท่าทันสติปัญญาเช่นนั้นกระมัง
นับแต่นั้น นางก็ไม่มีความประทับใจที่ดีต่อคน นามว่าหยางเสี่ยวเทียนผู้นี้เลย
ต่อให้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เด็กน้อยอย่างหยางเสี่ยวเทียนก็ไม่มีทางเป็นคนของทางสมาคมนักปรุงโอสถได้ แม้เขาจะพยายามหลอกลวงผู้อื่นมากเพียงใด ก็หาได้มีใครคิดเชื่อ
ครึ่งชั่วยามผ่านไป
ยามนี้ หยางเสี่ยวเทียนก็เข้าใจการเคลื่อนไหวของกระบี่ทั้งหมดในพิภพแห่งศิลากระบี่ได้อย่างสมบูรณ์
ปราณกระบี่อันแรงกล้าจากแท่นศิลากระบี่ที่เจิดจรัสสู่ท้องนภาเมื่อครู่ เริ่มค่อยๆ อ่อนกำลังลงอย่างเชื่องช้า ก่อนไม่นานจะอันตรธานหายไปเหลือไว้เพียงปราณกระบี่ที่ปกคลุมรอบกายหยางเสี่ยวเทียน
ซึ่งเพียงชั่วพริบตา จากปราณกระบี่ที่เคยแผ่ปกคลุมทั่วสรรพางค์กายของหยางเสี่ยวเทียน ตอนนี้เริ่มจางออกไปพร้อมเลือนหายจากสายตาทุกคู่ขณะนี้เช่นกัน
ไม่ช้า บรรยากาศโดยรอบพลันเงียบสงบ วายุเมฆาที่ปั่นป่วนทั่วสี่ทิศแปดด้านก็สลายหายไป จนกลับสู่ความสงัด ประหนึ่งว่ามันไม่เคยเกินสิ่งใดขึ้นก่อนหน้านี้
ครั้นที่เขาตื่นลืมตาขึ้น ก็ต้องประสบพบพานเหตุการณ์คล้ายคลึงกับหลินหยงเผชิญเมื่อครู่นั้นมิมีผิด ฝูงชนมืดมนรอบจัตุรัสร้อยกระบี่ต่างจับจ้องมายังเขาเป็นตาเดียว
ทุกคนต่างจ้องมองเขาดวงตาเป็นมัน สร้างแรงกดดันมหาศาลต่อหยางเสี่ยวเทียนผู้ยืนโดดเดี่ยวใจกลางจัตุรัส พานให้เขาทำตัวไม่ถูกเหงื่อแทบตกเลยทีเดียว
หยางเสี่ยวเทียนสูดหายใจลึก ก่อนเบนสายตาไปทางหลินหยงและเฉินหยวน ยกมือขึ้นประสานหมัดแน่นขณะหันหาทั้งสองพร้อมกล่าวว่า
“ท่านเจ้าสำนักหลิน ท่านรองเจ้าสำนักเฉิน บัดนี้เสี่ยวเทียนบรรลุในศิลากระบี่แล้ว แต่ยังต้องกลับไปฝึกฝนต่อ หากท่านทั้งสองไม่มีอะไรชี้แนะ เช่นนั้นข้าขอลา”
กล่าวจบดังนั้น เขาก็หันหลังกลับและเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
หลินหยงและเฉินหยวนกำลังจะเปิดปากของพวกเขา ทว่ากลับไม่ทันเสียแล้ว เพราะหยางเสี่ยวเทียนไม่เว้นช่องให้เขาทั้งสองกล่าวสิ่งใดอีก
เดิมทีในระหว่างที่หยางเสี่ยวเทียนหยั่งรู้ ทั้งสองต่างกำลังขบคิดคำถามเรื่องต่างๆ เอาไว้มากมาย แต่เพลานี้กลับไม่ได้กล่าวอะไรสักคำ
หลินหยงเฝ้าดูหยางเสี่ยวเทียนเดินลับหายไปจากจัตุรัสร้อยกระบี่อย่างช้าๆ ก่อนเอียงตัวหันถามเฉินหยวนที่ยืนอยู่ข้างๆ น้ำเสียงแผ่วเบา
“เจ้าคิดว่าเจ้าตัวน้อยนี่ กำลังโกรธข้าอยู่หรือเปล่า”
เฉินหยวนที่ได้เห็นอากัปกิริยาของหลินหยงดูกระวนกระวายใจยามนี้ เขาก็อดประหลาดใจไม่ได้
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ประสบพบเห็นเจ้าสำนักหลินมีท่าทีเป็นวิตกเช่นนี้
หลินหยงเป็นถึงเจ้าสำนักเสินเจี้ยนผู้เคร่งขรึมดูสุขุมจริงจังกับทุกอย่าง แต่ตอนนี้ ท่าทีเหล่านั้นกลับเปลี่ยนเป็นคร่ำเครียดด้วยกังวลว่าศิษย์จะโกรธเขาหรือไม่
สีหน้าหม่นหมองพลางให้ไม่สบายใจเช่นนี้ ทำเฉินหยวนหันมองไปตามแผ่นหลังของหยางเสี่ยวเทียน เขาเพียงแต่ส่ายหัวไม่กล่าวอะไรกับหลินหยง เพราะก็ไม่สามารถรับรู้สิ่งที่เด็กน้อยคนนั้นกำลังคิดเช่นกัน
ยามนี้ เป็นฤดูที่ใบแปะก๊วยในสำนักเสินเจี้ยนร่วงหล่น ทำให้เศษใบไม้สีทองอร่ามพัดปลิว คล้อยตามร่างของหยางเสี่ยวเทียนไปอย่างเฉื่อยช้า หากมองจากระยะไกลเด็กน้อยร่างผอมผู้นั้นก็คล้ายดั่งเซียนตัวน้อยย่างกรายอยู่บนสรวงสวรรค์มิมีผิด
หลังหยางเสี่ยวเทียนหายลับไปในที่สุด บรรดาอาจารย์และศิษย์จากสำนักเสินไห่ทุกคน ก็กล่าวคำอำลาและจากไป
พวกเขาไม่มีหน้าอยู่ต่ออีกแล้ว เพราะละอายกับการกระทำของศิษย์ตน
เมื่อมองยังเหล่าอาจารย์และศิษย์จากสำนักเสินไห่เคลื่อนขบวนไป หลินหยงและเฉินหยวนก็มีสีหน้าเกลียดชังยิ่ง มิคิดว่าสำนักเสินไห่จะกระทำการอันไร้ยางอายเช่นนี้ต่อหยางเสี่ยวเทียน ศิษย์ของพวกเขา
“ท่านเจ้าสำนัก เราแจ้งเรื่องนี้ต่อเหล่าเซียนกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งห้า เกี่ยวกับหยางเสี่ยวเทียนดีหรือไม่” เฉินหยวนนึกขึ้นได้จึงหันมาบอกกล่าวกับหลินหยงทันที
แม้หลินหยงจะเป็นถึงเจ้าสำนักเสินเจี้ยน แต่ในแง่ของความอาวุโสยังนับว่าน้อยกว่าเซียนกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งห้าแห่งสำนักเสินเจี้ยนมากนัก
เพียงว่าเซียนกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งห้าคนพำนักอยู่โถงตำหนักยังลานด้านในของสำนักเสินเจี้ยน นั่งเคร่งเครียดอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เพื่อศึกษาศาสตร์แห่งวิถีกระบี่สูงสุด และไม่ได้ออกจากห้องโถงกระบี่มาชั่วนาตาปีแล้ว
หากไม่มีเรื่องใหญ่สำคัญๆ แม้แต่หลินหยงก็ไม่สามารถไปรบกวนเหล่าเซียนกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งห้าได้