บทที่ 8 นายอยากดูละครอะไร
บทที่ 8 นายอยากดูละครอะไร
คิ้วของซ่งเหยียนขมวดเล็กน้อย มองไปที่ฉู่เฉิน เมื่อเห็นว่าฉู่เฉินมีสีหน้าที่สงบนิ่ง ซ่งเหยียนก็ไม่ได้พูดอะไร
ท้ายที่สุดแล้ว ตลอดห้าปีมานี้ แม้ว่าฉู่เฉินจะเป็นลูกเขยที่แต่งเข้าบ้านของตระกูลซ่งในนาม แต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะมีที่นั่งบนโต๊ะอาหาร
คนตระกูลซ่งเดินออกจากห้องประชุมไปทีละคน
สุดท้ายก็เหลือแค่ซ่งเหยียนกับฉู่เฉินสองคน
“กลับไปแล้ว ล็อคประตูห้องให้ดี จำไว้ว่า ก่อนที่ฉันจะกลับไป ใครมาเคาะประตูก็ห้ามเปิด” ซ่งเหยียนกำชับฉู่เฉินอยู่หลายครั้ง
ฉู่เฉินพยักหน้า “ฉันรู้แล้ว”
ฉู่เฉินรู้ดีว่า ตอนนี้ซ่งเหยียนไม่ได้กังวลเรื่องเย่เส้าหวง แต่เป็นซ่งชิ่งเผิงที่เขาเพิ่งบังคับให้ดื่มน้ำลายร้อยตระกูล
ในความทรงจำของฉู่เฉิน ตลอดห้าปีมานี้ ซ่งชิ่งเผิงแกล้งเขา ลงมือกับเขาอยู่บ่อยๆ
มองไปที่แผ่นหลังของซ่งเหยียนที่กำลังจากไป ดวงตาของฉู่เฉินก็เปล่งประกาย
“ฉันกลับหวังว่า จะมีคนมาเคาะประตู”
ฉู่เฉินพึมพำกับตัวเอง จากนั้นก็ก้าวเดินออกไป
ซ่งหรูไห่รอฉู่เฉินอยู่ที่หน้าลิฟต์ ข้างๆ เขายังมีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ ฉู่เฉินจำได้ ชายหนุ่มคนนี้คือลูกชายของซ่งหรูไห่ ซ่งเปียว
ฉู่เฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย
ในตระกูลซ่ง ปกติซ่งเปียวสนิทกับซ่งชิ่งเผิงและพวก
“ฉู่เฉิน ตามซ่งเปียวกลับไป” ซ่งหรูไห่สั่ง “ท่านผู้นำตระกูลบอกว่า ให้พวกนายเดินลงบันได ออกไปทางประตูหลังของโรงแรม”
“พ่อ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ไอ้ปัญญาอ่อนคนนี้ ฝากไว้กับผมได้” ซ่งเปียวดูแข็งแรงมาก เขาหัวเราะออกมา พาฉู่เฉินเดินไปที่บันได
“เปียวเอ๋อ” ซ่งหรูไห่เรียก ชะงักไปครู่หนึ่ง กำชับว่า “ระวังหน่อย ฉู่เฉินยังไม่ได้เซ็นชื่อ”
ใบหน้าของซ่งเปียวมีรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรครับ ไอ้ปัญญาอ่อนกระสอบทรายนี่ ผมซ้อมจนชินแล้ว”
บทสนทนาที่ไม่เกรงใจกันของคนสองคน ไม่สนใจฉู่เฉินเลย
นี่เป็นวิธีที่คนตระกูลซ่งคุ้นเคยตลอดห้าปีมานี้
ไม่ว่าพวกเขาจะพูดอะไร ฉู่เฉินก็ฟังไม่รู้เรื่อง
ไม่มีใครสนใจคนปัญญาอ่อน
ทันทีที่เดินเข้าไปในบันได ฉู่เฉินก็เห็นร่างที่คุ้นเคย ซ่งชิ่งเผิง
ที่มุมบันได ซ่งชิ่งเผิงยังมีคนอยู่ข้างๆ อีกสองคน เมื่อเห็นซ่งเปียวพาฉู่เฉินมา ดวงตาของทั้งสามคนก็เป็นประกาย ทันใดนั้นก็โยนบุหรี่ในมือทิ้งลงบนพื้น เหยียบซ้ำ
“ฉู่เฉิน พวกเราพบกันอีกแล้ว”
ซ่งชิ่งเผิงเดินเข้ามาทีละก้าว แค่นเสียง “แกให้ฉันดื่มน้ำลายร้อยตระกูล คืนนี้ ฉันจะให้แกดื่มปัสสาวะร้อยตระกูล”
ฉู่เฉินถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แต่ซ่งเปียวก็เอามือมาจับไหล่ของเขาเอาไว้
“พวกนายจะทำอะไร?” ฉู่เฉินมีสีหน้าที่ตื่นตระหนก
“ทำให้ไอ้ปัญญาอ่อนอย่างแกนึกอะไรออกบ้าง!” สายตาของซ่งชิ่งเผิงดูโหดเหี้ยม “จัดการ”
ซ่งเปียวไม่ลังเล ชกไปที่ท้ายทอยของฉู่เฉินอย่างแรง
ฉู่เฉินร้องอุทาน เท้าของเขาก้าวหลบการโจมตีของซ่งเปียวไปได้อย่างพอดิบพอดี ส่วนซ่งเปียวดูเหมือนจะออกแรงมากเกินไป ทันใดนั้นเขาก็เซ ร่างกายที่แข็งแรงของเขาล้มไปหาซ่งชิ่งเผิง
ซ่งชิ่งเผิงถูกซ่งเปียวชนจนถอยหลังไปหลายก้าว
“แกกำลังทำบ้าอะไรวะ?” ซ่งชิ่งเผิงคำราม
ซ่งเปียวตั้งสติกลับมา สีหน้าของเขาดูโหดเหี้ยม วิ่งเข้าไปหาฉู่เฉิน
ในพื้นที่แคบๆ ของบันได ฉู่เฉินร้องอุทานไม่หยุด หลบไปมา
ซ่งเปียวชกไม่โดนฉู่เฉินเลยสักหมัด ตรงกันข้าม กลับพลาดไปโดนซ่งชิ่งเผิงกับคนอื่นๆ อีกสองคนหลายครั้ง
เสียงร้องโอดครวญดังขึ้น
“ซ่งเปียว แกเป็นบ้าหรือไง?” เสียงตะโกนดังขึ้น พวกเขาโกรธจนแทบคลั่ง
คนหนึ่งถูกหมัดของซ่งเปียวชกจนตกบันได แถมเท้ายังสะดุดไปชนคนที่อยู่ข้างๆ จนยืนไม่อยู่ ตกลงไปจากบันได
ปึก!
ซ่งเปียวชกเข้าที่จมูกของซ่งชิ่งเผิง
ใบหน้าของซ่งชิ่งเผิงบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด
ซ่งเปียวตกตะลึง
มองไปที่หมัดของตัวเองด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจจะซ้อมไอ้ปัญญาอ่อนฉู่เฉิน แต่ตอนนี้ นอกจากฉู่เฉินแล้ว คนอื่นๆ อีกสามคนกลับล้มลงไปนอนกองกับพื้น
ซ่งเปียวหันกลับไป เขาเห็นฉู่เฉินยืนอยู่ข้างๆ อย่างสงบนิ่ง รูม่านตาของเขาเบิกกว้าง อดไม่ได้ที่จะหลุดปากพูดออกมา “ฉู่เฉิน แกใช้มนตร์ดำอะไร!”
“นายกล้าพูดแบบนี้งั้นเหรอ? ใครจะไปเชื่อนาย” ฉู่เฉินหัวเราะออกมา “ฉันสงสัยจริงๆ ว่า นายไม่พอใจพวกเขาสามคนอยู่ก่อนแล้วหรือเปล่า ถึงได้ใช้โอกาสนี้ซ้อมพวกเขา”
เลือดกำเดาของซ่งชิ่งเผิงไหลออกมา เจ็บจนน้ำตาไหล ในตอนนี้เขาเงยหน้าขึ้นพอดี ใบหน้าของเขาดูน่ากลัว “ซ่งเปียว แกต้องรับผิดชอบ!”
แน่นอนว่าซ่งชิ่งเผิงไม่เชื่อว่านี่จะเป็นมนตร์ดำของคนปัญญาอ่อน
จิตวิญญาณของซ่งเปียวสั่นเทา เดินไปประคองซ่งชิ่งเผิงด้วยขาที่สั่นเทา สีหน้าเหมือนจะร้องไห้ “พี่เผิง ผม...ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ครับ”
เขาไม่คิดเลยว่า การจัดการกับฉู่เฉิน จะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น
ซ่งชิ่งเผิงไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่ หลังจากที่เขาซ้อมคนอื่น
“เป็นความผิดของไอ้ปัญญาอ่อนนี่!” ซ่งเปียวหันกลับไปอย่างแรง ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้น
ฉู่เฉิน หายตัวไปแล้ว
“ยังคิดจะหนีอีก” ซ่งเปียวลุกขึ้นยืน
“หยุด!” ซ่งชิ่งเผิงตะโกน เลือดกำเดาของเขาพุ่ง “ฉันจะเป็นลม ฉันเห็นเลือดไม่ได้ รีบพาฉันไปโรงพยาบาล”
หน้าลิฟต์
ฉู่เฉินกดปุ่ม มองไปที่บันไดข้างๆ ส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ “ไม่คิดเลยว่า ครั้งแรกที่ใช้เคล็ดวิชาดาวเก้ามายาของสำนักจิ่วเสวียนหลังจากลงจากเขา จะเป็นการจัดการกับคนไร้ประโยชน์แบบนี้ น่าขายหน้าศิษย์พี่ศิษย์น้องจริงๆ”
ประตูลิฟต์เปิดออก ฉู่เฉินเดินเข้าไป
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนนี้ผุดขึ้นมาในหัวของเขาโดยไม่รู้ตัว
“ห้าปีแล้ว” ทันใดนั้นฉู่เฉินก็นึกอะไรบางอย่างออก มุมปากของเขากระตุก “ฉันหายตัวไปห้าปี พวกเขา...ยังไม่ตามหาฉันอีกเหรอ?”
ฉู่เฉินพยายามอย่างหนักที่จะไม่โทรกลับบ้านไปถามว่าตัวเองเป็นลูกแท้ๆ หรือเปล่า
“ช่างเถอะ ในเมื่อพวกเขาไม่ตามหา อีกไม่กี่ปีฉันจะพาลูกเมียกลับไป! แล้วทำให้แม่ที่บ้านประหลาดใจเล่นดีกว่า” ร่างของซ่งเหยียนผุดขึ้นมาในหัวของฉู่เฉินโดยไม่รู้ตัว
ตลอดห้าปีที่ผ่านมา เสี้ยววิญญาณที่เหลืออยู่ของเขาดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความทรงจำเกี้ยวกับหญิงสาวคนนี้
เมื่อเดินออกจากลิฟต์ ฉู่เฉินตรงไปที่ประตู
ของขวัญวันเกิดครบรอบ 23 ปีของซ่งเหยียน เขามอบให้แล้ว เขาก็ไม่สนใจที่จะอยู่ต่อ
เขาเดินออกไปทางประตูหน้าอย่างสง่าผ่าเผย
รปภ.ที่หน้าประตูเห็นฉู่เฉิน สีหน้าของพวกเขาก็ดูแปลกประหลาด
ลูกเขยปัญญาอ่อนของตระกูลซ่งคนนี้ ทำไมถึงได้วิ่งออกมาอีกแล้ว
เสียงเบรกที่แสบแก้วหูดังขึ้น
รถสปอร์ตหรูหลายคันจอดลงที่หน้าโรงแรม
ฉู่เฉินยืนอยู่ตรงกลางประตูพอดี
ประตูรถเปิดออก ชายหญิงวัยรุ่นหลายคนเดินลงมา ดูเหมือนว่าจะอายุแค่ 18-19 ปี
“ไอ้ปัญญาอ่อน ยังไม่หลบไปอีก” รปภ.คนหนึ่งข้างๆ อดไม่ได้ที่จะเตือน “คนกลุ่มนี้คือลูกหลานของตระกูลต่างๆ ในเมืองฉาน พวกเขาต้องมางานเลี้ยงวันเกิดของคุณหนูสามตระกูลซ่งแน่ๆ”
การมาถึงของคนกลุ่มนี้ ทำให้บรรยากาศที่หน้าโรงแรมหวงถิงตึงเครียดขึ้นมาทันที รปภ.หลายคนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ
วัยรุ่นชายหญิงที่ชอบต่อต้านสังคมอายุสิบกว่าปี พวกเขาทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง ถ้าทำให้พวกเขาไม่พอใจ นั่นคือหายนะชัดๆ
เบื้องหลังของคนกลุ่มนี้ ล้วนแล้วแต่มีภูมิหลังที่สูงส่ง
ผู้จัดการผางรีบเดินออกมา ใบหน้ามีรอยยิ้ม “งานเลี้ยงกำลังจะเริ่มแล้ว พวกคุณมากันพอดี เชิญด้านในครับ”
“ผู้จัดการผาง ละครยังไม่เริ่มใช่ไหมครับ?” ชายหนุ่มคนหนึ่งที่สวมเสื้อยืดสีดำหัวเราะออกมา “ผมได้ยินพี่เย่พูดว่า คืนนี้มีละครให้ดู ถึงได้พาพวกเขามาด้วยกัน”
“ใช่ พวกเราต่างก็ตั้งตารอ อยากรู้ว่าจะมีละครอะไรในงานเลี้ยงวันเกิดของคุณหนูสามตระกูลซ่ง”
“พี่เย่บอกว่า คืนนี้ตระกูลซ่งจะหย่ากับลูกเขยปัญญาอ่อนที่แต่งเข้าบ้าน ขับไล่ออกจากบ้าน แถมยังประกาศต่อหน้าสาธารณชนอีก”
“ได้ยินว่าไอ้ปัญญาอ่อนคนนั้นไม่รู้อะไรเลย ฉันเดาว่าคุณหนูสามตระกูลซ่ง ยังคงซิง...อะแฮ่ม” ชายหนุ่มชุดดำหยุดไปครู่หนึ่ง สีหน้าของเขาดูมีเลศนัย “คืนนี้สงสัยพี่เย่จะเหนื่อยแย่เลย”
ทุกคนหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจ
ผู้จัดการผางก็ยิ้มตาม สายตาของเขาเผลอมองไปที่ฉู่เฉินที่ยืนอยู่หน้าประตูในตอนนี้
ผู้จัดการผางเห็นพฤติกรรมของหนุ่มสาวกลุ่มนี้จนชินแล้ว
พูดคุยเรื่องพวกนี้ต่อหน้าสาธารณชน สำหรับพวกเขาแล้ว เหมือนกับเรื่องปกติ
“ไป พวกเราไปดูละครกัน” ชายหนุ่มชุดดำโบกมือ ก้าวเดินไปข้างหน้า
มีคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเขา ขวางทางเขาเอาไว้
รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้จัดการผางแข็งค้าง รูม่านตาของเขาเบิกกว้าง
ฉู่เฉินมีสีหน้าที่สงบนิ่ง มองไปที่ชายหนุ่มชุดดำ “นายอยากดูละครเรื่องอะไร?”