ตอนที่แล้ว[ตอนฟรี] ตอนที่ 191 : โม่บดสังหารจ้าวดารา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป[ตอนฟรี] ตอนที่ 193 : เทือกเขาโบราณศักดิ์สิทธิ์พิชิตโลกด้วยเลือด

[ตอนฟรี] ตอนที่ 192 : ตราสัญลักษณ์เข้าแท่นบูชา


ด้วยความที่จวินเซียวเหยาต้องการสร้างเส้นทางของตัวเอง

ซึ่งก็เห็นได้ชัดว่าหนทางนี้ไม่ง่ายเลย

และพลังงานที่ต้องใช้จะต้องมีปริมาณมหาศาลอย่างแน่นอน

ดังนั้น จวินเซียวเหยาจึงต้องเตรียมตัวให้พร้อม

เขารู้สึกได้ว่าแก่นแท้พิภพน่าจะเป็นปัจจัยเสริมที่มีประโยชน์มากที่สุด ยิ่งมีเยอะก็ยิ่งดี

ตอนนี้เขามีแก่นแท้พิภพของทวีปดวงดาวอยู่หนึ่งชิ้น แล้วก็ชิ้นส่วนเล็กๆ ของแก่นแท้พิภพของทวีปสวรรค์เร้นลับ

ต่อไปก็ถึงเวลาที่จวินเซียวเหยาจะได้เก็บเกี่ยวหลินเฟิงสักที

เวลาผ่านมานานพอสมควร หลินเฟิงน่าจะได้ชิ้นส่วนที่เหลือของแก่นแท้พิภพของทวีปสวรรค์เร้นลับมาแล้ว

หลังจากที่เก็บแก่นแท้พิภพของทวีปดวงดาวเสร็จ ที่นี่ก็เหมือนจะไม่มีสิ่งใดให้ค้นหาอีก

สุดท้าย สายตาของจวินเซียวเหยาก็หยุดลงที่ร่างของจ้าวดาราอู๋จี๋

มันคือร่างกายของเขาในชีวิตก่อน แม้ร่างจะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่กลับนั่งอยู่บนบัลลังก์อย่างสง่างาม

เขาดูเหมือนวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ

หากไม่ได้พบกับจวินเซียวเหยา บางทีเขาอาจจะมีชีวิตที่สองจริงๆ ก็ได้

จวินเซียวเหยาเดินเข้าไปหา เขามองร่างของจ้าวดาราอู๋จี๋และครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยื่นมือออกไป

“อั๊ยหยานายท่าน แม้แต่ศพ ท่านก็ไม่เว้นเลยเหรอ?” ราชสีห์เก้าเศียรถึงกับพูดไม่ออก

จวินเซียวเหยา เอ็งจะใจดำอำมหิตไปถึงไหน!

กระทั่งศพ เขายังไม่พลาดโอกาส

หลังจากคลำหาอยู่สักพัก จวินเซียวเหยาก็ดึงมือกลับมาพร้อมกับถุงหอมใบหนึ่ง

ใช่แล้ว มันคือถุงหอมจริงๆ

แถมมันยังส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ติดทนนานออกมา

“ให้ตายเถอะ จ้าวดาราอู๋จี๋ไม่ใช่ชายแท้เหรอ คนบ้าอะไรพกถุงหอมของผู้หญิงติดตัวด้วย?” หัวทั้งเก้าของราชสีห์เก้าเศียรดูตกใจ

จวินเซียวเหยาหัวเราะเบาๆ เขาส่ายหัวและกล่าว “นี่ไม่ใช่ของของจ้าวดาราอู๋จี๋หรอก มันคือตราสัญลักษณ์ต่างหาก”

“ตราสัญลักษณ์เหรอขอรับ?” ราชสีห์เก้าเศียรเอียงคอถาม

“มันคือบัตรผ่านในการเข้าไปยังรอยแยกสิบทวีปน่ะ” จวินเซียวเหยาอธิบาย

ก่อนหน้านี้ บรรพชนตงเฉวียนเคยบอกเขาว่านอกเหนือจากคนที่ความมุ่งมั่นมหาศาลและมีโชคอันยิ่งใหญ่ที่สามารถเข้าไปยังรอยแยกสิบทวีปได้แล้ว

มันยังมีอีกวิธีหนึ่ง นั่นคือการใช้ของบางสิ่ง ซึ่งก็คือตราสัญลักษณ์

บนแท่นบูชาวิญญาณวีรชนภายในรอยแยกสิบทวีป ที่นั่นมีเหล่าผู้กล้าในสมัยโบราณนับไม่ถ้วนที่อยากจะพิสูจน์การรู้แจ้งของตัวเอง และเปิดเส้นทางที่ไม่เคยมีมาก่อน

แต่พวกเขาเกือบทั้งหมดล้วนเสียชีวิต

แน่นอนว่าในยามที่สิ้นชีพ พวกเขาก็ต้องทิ้งสมบัติบางอย่างไว้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งสมบัติพวกนั้นก็จะปนเปื้อนกลิ่นอายของแท่นบูชาวิญญาณวีรชน และถูกส่งต่อในที่สุด

เหล่าอัจฉริยะจากโลกภายนอกจึงใช้กลิ่นอายของตราสัญลักษณ์เหล่านี้เพื่อค้นหาทางเข้าของรอยแยกสิบทวีปนั่นเอง

และถุงหอมนี้ก็ต้องเป็นของที่ยอดสตรีสักนางทิ้งไว้อย่างเห็นได้ชัด

หลังจากเก็บถุงหอม จวินเซียวเหยาก็เตรียมตัวกลับ

เขาได้แก่นดวงดาวมาหลายพันก้อน หุ่นเชิดเทพผ่าดาวหกตัว แก่นแท้พิภพของทวีปดวงดาว และตราสัญลักษณ์ที่ใช้เข้ารอยแยกสิบทวีป

ส่วนคันศรทำลายดวงดาว มันถูกมอบให้อี้ยวี่แล้ว

สำหรับสมบัติที่เหลือในพระราชวังแห่งดวงดาว จวินเซียวเหยาไม่สนใจพวกมันเลย

แต่เขาก็ไม่ได้ทิ้งพวกมันให้เสียเปล่า และสั่งให้อี้ยวี่และราชสีห์เก้าเศียรเก็บไว้

ของพวกนี้สามารถใช้เป็นทรัพยากรบ่มเพาะให้กับนิกายเสวียนเทียนได้ในภายหลัง

หลังจากปล้นสะดม เอ้ย เก็บสมบัติเสร็จ จวินเซียวเหยาและคนอื่นๆ ก็ออกจากพระราชวังแห่งดวงดาวและเดินทางออกจากเขตมืด

ทันทีที่จวินเซียวเหยาก้าวเท้าออกจากเขตมืด

มันก็มีแรงกดดันอันน่ากลัวและเต็มไปด้วยความโกรธสุดขีดปะทุขึ้น

พร้อมกับร่างสามร่างที่ปรากฏตัวบนท้องฟ้า

พวกเขาทั้งหมดแผ่กลิ่นอายกึ่งนักบุญที่ทรงพลังออกมา

“พระเจ้า! นั่นกึ่งนักบุญสามคนเลยเหรอ?” ผู้บ่มเพาะบางคนที่โชคดีหนีออกมาจากเขตมืดได้ขนลุกซู่ทันทีที่เห็นสามคนนั้น

กึ่งนักบุญสามคนนี้มาจากไหนกัน?

“เดี๋ยวก่อน! ดูเหมือนพวกเขาจะพุ่งเป้าไปที่บุตรพระเจ้า!” ผู้บ่มเพาะบางคนสังเกตเห็น

กึ่งนักบุญทั้งสามต่างจ้องเขม็งไปที่จวินเซียวเหยา

“ท่านบุตรพระเจ้า...” ฉู่หงอีที่ออกมาจากพระราชวังแห่งดวงดาวได้อย่างปลอดภัยดูวิตกกังวล

หากไม่ได้จวินเซียวเหยาช่วยไว้ นางคงไม่มีชีวิตรอดออกมาจากคลังสมบัติพระราชวังแห่งดวงดาว

เมื่อเห็นจวินเซียวเหยาตกอยู่ในอันตราย นางจึงอดรู้สึกเป็นกังวลไม่ได้

แต่ตัวของจวินเซียวเหยายังคงมีสีหน้าเรียบเฉย

เขาขยับเปลือกตาขึ้นช้าๆ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “สามผู้อาวุโสกึ่งนักบุญแห่งตระกูลเย่ พวกท่านทำแบบนี้หมายความว่ายังไง?”

จวินเซียวเหยาคิดเอาไว้นานแล้วว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่เย่ซิงหยุนจะลงมาดินแดนเบื้องล่างโดยที่ไม่นำผู้คุ้มกันลงมาด้วย

ทว่า ด้วยข้อจำกัดของเขตมืด ผู้คุ้มกันเหล่านี้จึงก้าวเข้ามาไม่ได้

หนึ่งในสามกึ่งนักบุญที่เป็นชายชราเคราแพะได้ก้าวออกมา

จวินเซียวเหยาคุ้นเคยกับชายชราผู้นี้อยู่แล้ว เขาคือข้ารับใช้เก่าแก่ของเย่ซิงหยุน ลุงฝู

“ท่านบุตรพระเจ้าแห่งตระกูลจวิน ตะเกียงวิญญาณของนายน้อยซิงหยุนมอดดับแล้ว” ลุงฝูเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก

สองกึ่งนักบุญที่ยืนอยู่ข้างๆ ต่างจ้องมองไปที่จวินเซียวเหยาด้วยสายตาเฉียบคมดุจเหยี่ยว

พวกเขาล้วนทราบดีว่าเย่ซิงหยุนกับจวินเซียวเหยามีความขัดแย้งกันมานาน

หากพูดถึงผู้ต้องสงสัยในการตายของเย่ซิงหยุน คนที่น่าสงสัยมากที่สุดคงหนีไม่พ้นจวินเซียวเหยา

ยิ่งไปกว่านั้น ภายในแดนมืดแห่งนี้ มีเพียงจวินเซียวเหยาคนเดียวเท่านั้นที่มีความสามารถในการสังหารเย่ซิงหยุน

“แล้วถ้าข้าบอกว่าข้าไม่ใช่คนที่ฆ่าเขาล่ะ?” จวินเซียวเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ

ไม่ใช่ว่าเขากลัวหรืออยากจะแก้ต่างให้ตัวเอง

ก็นี่มันไม่ใช่ความผิดของเขาแต่แรกอยู่แล้ว แล้วเขาจะไปแบกมันไว้ทำไม?

“เฮอะ! ถ้าไม่ใช่ฝีมือเจ้า แล้วในเรื่องนี้จะมีใครอื่นอีกนอกจากเจ้าที่สามารถสังหารนายน้อยเย่ได้?” สองกึ่งนักบุญด้านข้างลุงฝูแค่นเสียงแรง

จวินเซียวเหยาเลิกคิ้วขึ้น แล้วสีหน้าของเขาก็มืดมนลงทันที

“ข้าอธิบายก็เพราะไม่อยากแบกรับความผิดที่ไม่ใช่ของข้าแต่ต้น! พวกเจ้าคิดจริงๆ เหรอว่าข้ากลัวพวกเจ้า?”

เมื่อจวินเซียวเหยาเอ่ยจบ แรงกดดันอันเยือกเย็นของเขาถึงกับทำให้สองกึ่งนักบุญเงียบเสียงลงและไม่กล้าพูดจาหยาบคายอีก

ในแง่ของระดับการบ่มเพาะ พวกเขาไม่ได้กลัวจวินเซียวเหยาเลย แต่ในแง่ของสถานะ พวกเขาไม่ควรแม้แต่จะทำให้จวินเซียวเหยาขุ่นเคือง

ลุงฝูรีบยกมือขึ้นห้าม “ท่านบุตรพระเจ้า โปรดอย่าโกรธเคืองกันเลย พวกเราเพียงต้องการทราบความจริงเกี่ยวกับการตายของนายน้อยเท่านั้น”

ท่าทีของลุงฝูทำให้จวินเซียวเหยาดูผ่อนคลายลง เขาจึงอธิบายเรื่องราวต่างๆ โดยสรุป

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” เมื่อลุงฝูได้ฟังคำอธิบาย สายตาของเขายิ่งดูโศกเศร้ามากกว่าเดิม

เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าเย่ซิงหยุนจะไม่ได้ตายด้วยน้ำมือของจวินเซียวเหยา แต่กลับต้องมาตายด้วยวิธีการที่น่าอับอายเช่นนี้

“เป็นเรื่องจริงงั้นหรือ?” กึ่งนักบุญอีกสองคนยังดูคาใจ

จวินเซียวเหยาหัวเราะเยาะ “ถ้าเป็นฝีมือข้าจริงๆ ข้าคงบอกไปแล้วว่าข้าเป็นคนลงมือ เจ้าเย่ซิงหยุนนั่นมันยิ่งใหญ่มากนักรึไง ถึงต้องทำให้ข้าปฏิเสธ?”

คำพูดของเขาถึงกับทำให้สองกึ่งนักบุญตากระตุก

คงมีแค่บุตรพระเจ้าแห่งตระกูลจวินเท่านั้นแหละที่กล้าพูดแบบนี้ออกมา

“ขอบพระคุณท่านบุตรพระเจ้าที่ช่วยคลายความสงสัย อนิจจา นายน้อยซิงหยุนต้องมาจบชีวิตลงด้วยความหยิ่งทะนงของตัวเขาเอง” สีหน้าของลุงฝูดูเศร้าหมอง เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองแก่ชราลงในชั่วพริบตา

จวินเซียวเหยาถอนหายใจเบาๆ “มีข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์เช่นเจ้าคอยดูแลมาตั้งแต่เด็ก ถือเป็นวาสนาของเย่ซิงหยุนแล้วล่ะ”

“เป็นเช่นนั้นที่ไหนกัน บ่าวผู้นี้ไม่คู่ควรกับคำนั้นเลย…” ลุงฝูถอนหายใจ เขาป้องมือคำนับด้วยความท้อแท้

จากนั้นพวกเขาก็จากไป และเตรียมนำข่าวร้ายนี้กลับไปแจ้งตระกูลเย่

เหตุการณ์แบบนี้มีให้เห็นค่อนข้างบ่อย

ในยุคแห่งการแย่งชิงความเป็นใหญ่ การล้มตายของเหล่าอัจฉริยะถือเป็นเรื่องปกติ

เย่ซิงหยุนเปรียบเสมือนหนึ่งในใบไม้มากมายมหาศาลที่หล่นลงสู่สายธารอันยิ่งใหญ่ ย่อมถูกคลื่นซัดอันตรธานหายไปในพริบตา

“เอาล่ะ ถึงเวลากลับทวีปสวรรค์เร้นลับแล้ว จากนั้นก็ไปจัดการกับพวกเผ่าคนบาปที่เหลือ แล้วก็ค้นหาน้องสาวของจวินว่านจี๋” จวินเซียวเหยาคิดในใจ

และในขณะที่ความวุ่นวายในทวีปดวงดาวกำลังเริ่มสงบลง

ทวีปสวรรค์เร้นลับกลับมีเรื่องน่าตกใจเกิดขึ้น

เทือกเขาโบราณศักดิ์สิทธิ์มากมายในเขตกลางต้องห้ามได้ผนึกกำลังกันเพื่อยึดครองแดนสวรรค์ตะวันออก แดนสวรรค์ตะวันตก แดนสวรรค์เหนือ แดนสวรรค์ใต้ และสถาปนาเผ่าโบราณขึ้นปกครอง

ฝ่ายแรกที่ต้องเผชิญกับภัยคุกคามนี้คือกองกำลังของเผ่าพันธุ์มนุษย์นำโดยนิกายตงเฉวียน ซึ่งกำลังได้รับความเสียหายอย่างหนัก

โดยเฉพาะนิกายตงเฉวียนที่ถูกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว ทั้งนิกายที่ไม่ทันระวังจึงถูกเทือกเขาโบราณศักดิ์สิทธิ์จัดการ

นอกจากผู้นำนิกายและยอดฝีมือไม่กี่คนที่หลบหนีไปได้พร้อมบาดแผลแล้ว ศิษย์ทั้งหมดของนิกายตงเฉวียนล้วนถูกทำลายสิ้น!

ข่าวนี้สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วแดนสวรรค์ทั้งสี่ทิศ!

ทันใดนั้น ทุกคนในทวีปสวรรค์เร้นลับก็รับรู้ได้ทันทีว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตราย!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด