[ตอนฟรี] ตอนที่ 192 : ตราสัญลักษณ์เข้าแท่นบูชา
ด้วยความที่จวินเซียวเหยาต้องการสร้างเส้นทางของตัวเอง
ซึ่งก็เห็นได้ชัดว่าหนทางนี้ไม่ง่ายเลย
และพลังงานที่ต้องใช้จะต้องมีปริมาณมหาศาลอย่างแน่นอน
ดังนั้น จวินเซียวเหยาจึงต้องเตรียมตัวให้พร้อม
เขารู้สึกได้ว่าแก่นแท้พิภพน่าจะเป็นปัจจัยเสริมที่มีประโยชน์มากที่สุด ยิ่งมีเยอะก็ยิ่งดี
ตอนนี้เขามีแก่นแท้พิภพของทวีปดวงดาวอยู่หนึ่งชิ้น แล้วก็ชิ้นส่วนเล็กๆ ของแก่นแท้พิภพของทวีปสวรรค์เร้นลับ
ต่อไปก็ถึงเวลาที่จวินเซียวเหยาจะได้เก็บเกี่ยวหลินเฟิงสักที
เวลาผ่านมานานพอสมควร หลินเฟิงน่าจะได้ชิ้นส่วนที่เหลือของแก่นแท้พิภพของทวีปสวรรค์เร้นลับมาแล้ว
หลังจากที่เก็บแก่นแท้พิภพของทวีปดวงดาวเสร็จ ที่นี่ก็เหมือนจะไม่มีสิ่งใดให้ค้นหาอีก
สุดท้าย สายตาของจวินเซียวเหยาก็หยุดลงที่ร่างของจ้าวดาราอู๋จี๋
มันคือร่างกายของเขาในชีวิตก่อน แม้ร่างจะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่กลับนั่งอยู่บนบัลลังก์อย่างสง่างาม
เขาดูเหมือนวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ
หากไม่ได้พบกับจวินเซียวเหยา บางทีเขาอาจจะมีชีวิตที่สองจริงๆ ก็ได้
จวินเซียวเหยาเดินเข้าไปหา เขามองร่างของจ้าวดาราอู๋จี๋และครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยื่นมือออกไป
“อั๊ยหยานายท่าน แม้แต่ศพ ท่านก็ไม่เว้นเลยเหรอ?” ราชสีห์เก้าเศียรถึงกับพูดไม่ออก
จวินเซียวเหยา เอ็งจะใจดำอำมหิตไปถึงไหน!
กระทั่งศพ เขายังไม่พลาดโอกาส
หลังจากคลำหาอยู่สักพัก จวินเซียวเหยาก็ดึงมือกลับมาพร้อมกับถุงหอมใบหนึ่ง
ใช่แล้ว มันคือถุงหอมจริงๆ
แถมมันยังส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ติดทนนานออกมา
“ให้ตายเถอะ จ้าวดาราอู๋จี๋ไม่ใช่ชายแท้เหรอ คนบ้าอะไรพกถุงหอมของผู้หญิงติดตัวด้วย?” หัวทั้งเก้าของราชสีห์เก้าเศียรดูตกใจ
จวินเซียวเหยาหัวเราะเบาๆ เขาส่ายหัวและกล่าว “นี่ไม่ใช่ของของจ้าวดาราอู๋จี๋หรอก มันคือตราสัญลักษณ์ต่างหาก”
“ตราสัญลักษณ์เหรอขอรับ?” ราชสีห์เก้าเศียรเอียงคอถาม
“มันคือบัตรผ่านในการเข้าไปยังรอยแยกสิบทวีปน่ะ” จวินเซียวเหยาอธิบาย
ก่อนหน้านี้ บรรพชนตงเฉวียนเคยบอกเขาว่านอกเหนือจากคนที่ความมุ่งมั่นมหาศาลและมีโชคอันยิ่งใหญ่ที่สามารถเข้าไปยังรอยแยกสิบทวีปได้แล้ว
มันยังมีอีกวิธีหนึ่ง นั่นคือการใช้ของบางสิ่ง ซึ่งก็คือตราสัญลักษณ์
บนแท่นบูชาวิญญาณวีรชนภายในรอยแยกสิบทวีป ที่นั่นมีเหล่าผู้กล้าในสมัยโบราณนับไม่ถ้วนที่อยากจะพิสูจน์การรู้แจ้งของตัวเอง และเปิดเส้นทางที่ไม่เคยมีมาก่อน
แต่พวกเขาเกือบทั้งหมดล้วนเสียชีวิต
แน่นอนว่าในยามที่สิ้นชีพ พวกเขาก็ต้องทิ้งสมบัติบางอย่างไว้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งสมบัติพวกนั้นก็จะปนเปื้อนกลิ่นอายของแท่นบูชาวิญญาณวีรชน และถูกส่งต่อในที่สุด
เหล่าอัจฉริยะจากโลกภายนอกจึงใช้กลิ่นอายของตราสัญลักษณ์เหล่านี้เพื่อค้นหาทางเข้าของรอยแยกสิบทวีปนั่นเอง
และถุงหอมนี้ก็ต้องเป็นของที่ยอดสตรีสักนางทิ้งไว้อย่างเห็นได้ชัด
หลังจากเก็บถุงหอม จวินเซียวเหยาก็เตรียมตัวกลับ
เขาได้แก่นดวงดาวมาหลายพันก้อน หุ่นเชิดเทพผ่าดาวหกตัว แก่นแท้พิภพของทวีปดวงดาว และตราสัญลักษณ์ที่ใช้เข้ารอยแยกสิบทวีป
ส่วนคันศรทำลายดวงดาว มันถูกมอบให้อี้ยวี่แล้ว
สำหรับสมบัติที่เหลือในพระราชวังแห่งดวงดาว จวินเซียวเหยาไม่สนใจพวกมันเลย
แต่เขาก็ไม่ได้ทิ้งพวกมันให้เสียเปล่า และสั่งให้อี้ยวี่และราชสีห์เก้าเศียรเก็บไว้
ของพวกนี้สามารถใช้เป็นทรัพยากรบ่มเพาะให้กับนิกายเสวียนเทียนได้ในภายหลัง
หลังจากปล้นสะดม เอ้ย เก็บสมบัติเสร็จ จวินเซียวเหยาและคนอื่นๆ ก็ออกจากพระราชวังแห่งดวงดาวและเดินทางออกจากเขตมืด
ทันทีที่จวินเซียวเหยาก้าวเท้าออกจากเขตมืด
มันก็มีแรงกดดันอันน่ากลัวและเต็มไปด้วยความโกรธสุดขีดปะทุขึ้น
พร้อมกับร่างสามร่างที่ปรากฏตัวบนท้องฟ้า
พวกเขาทั้งหมดแผ่กลิ่นอายกึ่งนักบุญที่ทรงพลังออกมา
“พระเจ้า! นั่นกึ่งนักบุญสามคนเลยเหรอ?” ผู้บ่มเพาะบางคนที่โชคดีหนีออกมาจากเขตมืดได้ขนลุกซู่ทันทีที่เห็นสามคนนั้น
กึ่งนักบุญสามคนนี้มาจากไหนกัน?
“เดี๋ยวก่อน! ดูเหมือนพวกเขาจะพุ่งเป้าไปที่บุตรพระเจ้า!” ผู้บ่มเพาะบางคนสังเกตเห็น
กึ่งนักบุญทั้งสามต่างจ้องเขม็งไปที่จวินเซียวเหยา
“ท่านบุตรพระเจ้า...” ฉู่หงอีที่ออกมาจากพระราชวังแห่งดวงดาวได้อย่างปลอดภัยดูวิตกกังวล
หากไม่ได้จวินเซียวเหยาช่วยไว้ นางคงไม่มีชีวิตรอดออกมาจากคลังสมบัติพระราชวังแห่งดวงดาว
เมื่อเห็นจวินเซียวเหยาตกอยู่ในอันตราย นางจึงอดรู้สึกเป็นกังวลไม่ได้
แต่ตัวของจวินเซียวเหยายังคงมีสีหน้าเรียบเฉย
เขาขยับเปลือกตาขึ้นช้าๆ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “สามผู้อาวุโสกึ่งนักบุญแห่งตระกูลเย่ พวกท่านทำแบบนี้หมายความว่ายังไง?”
จวินเซียวเหยาคิดเอาไว้นานแล้วว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่เย่ซิงหยุนจะลงมาดินแดนเบื้องล่างโดยที่ไม่นำผู้คุ้มกันลงมาด้วย
ทว่า ด้วยข้อจำกัดของเขตมืด ผู้คุ้มกันเหล่านี้จึงก้าวเข้ามาไม่ได้
หนึ่งในสามกึ่งนักบุญที่เป็นชายชราเคราแพะได้ก้าวออกมา
จวินเซียวเหยาคุ้นเคยกับชายชราผู้นี้อยู่แล้ว เขาคือข้ารับใช้เก่าแก่ของเย่ซิงหยุน ลุงฝู
“ท่านบุตรพระเจ้าแห่งตระกูลจวิน ตะเกียงวิญญาณของนายน้อยซิงหยุนมอดดับแล้ว” ลุงฝูเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก
สองกึ่งนักบุญที่ยืนอยู่ข้างๆ ต่างจ้องมองไปที่จวินเซียวเหยาด้วยสายตาเฉียบคมดุจเหยี่ยว
พวกเขาล้วนทราบดีว่าเย่ซิงหยุนกับจวินเซียวเหยามีความขัดแย้งกันมานาน
หากพูดถึงผู้ต้องสงสัยในการตายของเย่ซิงหยุน คนที่น่าสงสัยมากที่สุดคงหนีไม่พ้นจวินเซียวเหยา
ยิ่งไปกว่านั้น ภายในแดนมืดแห่งนี้ มีเพียงจวินเซียวเหยาคนเดียวเท่านั้นที่มีความสามารถในการสังหารเย่ซิงหยุน
“แล้วถ้าข้าบอกว่าข้าไม่ใช่คนที่ฆ่าเขาล่ะ?” จวินเซียวเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ
ไม่ใช่ว่าเขากลัวหรืออยากจะแก้ต่างให้ตัวเอง
ก็นี่มันไม่ใช่ความผิดของเขาแต่แรกอยู่แล้ว แล้วเขาจะไปแบกมันไว้ทำไม?
“เฮอะ! ถ้าไม่ใช่ฝีมือเจ้า แล้วในเรื่องนี้จะมีใครอื่นอีกนอกจากเจ้าที่สามารถสังหารนายน้อยเย่ได้?” สองกึ่งนักบุญด้านข้างลุงฝูแค่นเสียงแรง
จวินเซียวเหยาเลิกคิ้วขึ้น แล้วสีหน้าของเขาก็มืดมนลงทันที
“ข้าอธิบายก็เพราะไม่อยากแบกรับความผิดที่ไม่ใช่ของข้าแต่ต้น! พวกเจ้าคิดจริงๆ เหรอว่าข้ากลัวพวกเจ้า?”
เมื่อจวินเซียวเหยาเอ่ยจบ แรงกดดันอันเยือกเย็นของเขาถึงกับทำให้สองกึ่งนักบุญเงียบเสียงลงและไม่กล้าพูดจาหยาบคายอีก
ในแง่ของระดับการบ่มเพาะ พวกเขาไม่ได้กลัวจวินเซียวเหยาเลย แต่ในแง่ของสถานะ พวกเขาไม่ควรแม้แต่จะทำให้จวินเซียวเหยาขุ่นเคือง
ลุงฝูรีบยกมือขึ้นห้าม “ท่านบุตรพระเจ้า โปรดอย่าโกรธเคืองกันเลย พวกเราเพียงต้องการทราบความจริงเกี่ยวกับการตายของนายน้อยเท่านั้น”
ท่าทีของลุงฝูทำให้จวินเซียวเหยาดูผ่อนคลายลง เขาจึงอธิบายเรื่องราวต่างๆ โดยสรุป
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” เมื่อลุงฝูได้ฟังคำอธิบาย สายตาของเขายิ่งดูโศกเศร้ามากกว่าเดิม
เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าเย่ซิงหยุนจะไม่ได้ตายด้วยน้ำมือของจวินเซียวเหยา แต่กลับต้องมาตายด้วยวิธีการที่น่าอับอายเช่นนี้
“เป็นเรื่องจริงงั้นหรือ?” กึ่งนักบุญอีกสองคนยังดูคาใจ
จวินเซียวเหยาหัวเราะเยาะ “ถ้าเป็นฝีมือข้าจริงๆ ข้าคงบอกไปแล้วว่าข้าเป็นคนลงมือ เจ้าเย่ซิงหยุนนั่นมันยิ่งใหญ่มากนักรึไง ถึงต้องทำให้ข้าปฏิเสธ?”
คำพูดของเขาถึงกับทำให้สองกึ่งนักบุญตากระตุก
คงมีแค่บุตรพระเจ้าแห่งตระกูลจวินเท่านั้นแหละที่กล้าพูดแบบนี้ออกมา
“ขอบพระคุณท่านบุตรพระเจ้าที่ช่วยคลายความสงสัย อนิจจา นายน้อยซิงหยุนต้องมาจบชีวิตลงด้วยความหยิ่งทะนงของตัวเขาเอง” สีหน้าของลุงฝูดูเศร้าหมอง เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองแก่ชราลงในชั่วพริบตา
จวินเซียวเหยาถอนหายใจเบาๆ “มีข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์เช่นเจ้าคอยดูแลมาตั้งแต่เด็ก ถือเป็นวาสนาของเย่ซิงหยุนแล้วล่ะ”
“เป็นเช่นนั้นที่ไหนกัน บ่าวผู้นี้ไม่คู่ควรกับคำนั้นเลย…” ลุงฝูถอนหายใจ เขาป้องมือคำนับด้วยความท้อแท้
จากนั้นพวกเขาก็จากไป และเตรียมนำข่าวร้ายนี้กลับไปแจ้งตระกูลเย่
เหตุการณ์แบบนี้มีให้เห็นค่อนข้างบ่อย
ในยุคแห่งการแย่งชิงความเป็นใหญ่ การล้มตายของเหล่าอัจฉริยะถือเป็นเรื่องปกติ
เย่ซิงหยุนเปรียบเสมือนหนึ่งในใบไม้มากมายมหาศาลที่หล่นลงสู่สายธารอันยิ่งใหญ่ ย่อมถูกคลื่นซัดอันตรธานหายไปในพริบตา
“เอาล่ะ ถึงเวลากลับทวีปสวรรค์เร้นลับแล้ว จากนั้นก็ไปจัดการกับพวกเผ่าคนบาปที่เหลือ แล้วก็ค้นหาน้องสาวของจวินว่านจี๋” จวินเซียวเหยาคิดในใจ
และในขณะที่ความวุ่นวายในทวีปดวงดาวกำลังเริ่มสงบลง
ทวีปสวรรค์เร้นลับกลับมีเรื่องน่าตกใจเกิดขึ้น
เทือกเขาโบราณศักดิ์สิทธิ์มากมายในเขตกลางต้องห้ามได้ผนึกกำลังกันเพื่อยึดครองแดนสวรรค์ตะวันออก แดนสวรรค์ตะวันตก แดนสวรรค์เหนือ แดนสวรรค์ใต้ และสถาปนาเผ่าโบราณขึ้นปกครอง
ฝ่ายแรกที่ต้องเผชิญกับภัยคุกคามนี้คือกองกำลังของเผ่าพันธุ์มนุษย์นำโดยนิกายตงเฉวียน ซึ่งกำลังได้รับความเสียหายอย่างหนัก
โดยเฉพาะนิกายตงเฉวียนที่ถูกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว ทั้งนิกายที่ไม่ทันระวังจึงถูกเทือกเขาโบราณศักดิ์สิทธิ์จัดการ
นอกจากผู้นำนิกายและยอดฝีมือไม่กี่คนที่หลบหนีไปได้พร้อมบาดแผลแล้ว ศิษย์ทั้งหมดของนิกายตงเฉวียนล้วนถูกทำลายสิ้น!
ข่าวนี้สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วแดนสวรรค์ทั้งสี่ทิศ!
ทันใดนั้น ทุกคนในทวีปสวรรค์เร้นลับก็รับรู้ได้ทันทีว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตราย!