บทที่ 90 ขอสวรรค์ประทานพรแก่สำนักเสินเจี้ยนของข้า
ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถหยั่งรู้เคล็ดวิชาในศิลากระบี่ได้หากสัมผัสทางจิตวิญญาณมีความแข็งแกร่งเพียงพอ แต่จะมีใครสามารถเข้าใจถึงแก่นแท้และแสวงหามันได้ง่ายๆ
ยิ่งถูกขัดขวางการหยั่งรู้ที่อาจนำไปสู่การเข้าใจยังแก่นแท้ของมัน ต่อไปการที่เขาจะหยั่งรู้ศิลากระบี่อีกครั้ง ก็จะทำได้ยากยิ่ง
เพราะเกิดช่องว่างระหว่างการหยั่งรู้ ทำให้ครั้งต่อไปมันจะยากขึ้นในการมุ่งให้ถึงแก่นแท้ของศิลากระบี่
เปรียบคือ เขากำลังเดินอยู่บนสะพานแขวนแล้วถูกขัดขวางทำให้ครึ่งทางยังสะพานขาด หากเขาต้องเดินต่อไปด้วยสะพานนั้นให้ถึงยังจุดหมาย เขาต้องสร้างสะพานในส่วนที่ขาดขึ้นมาใหม่เพื่อจะได้เดินต่อไปถึงแก่นแท้เบื้องหน้า
ซึ่งนี่ถือเป็นการทำลายโอกาสอันยิ่งใหญ่ของหยางเสี่ยวเทียน ในการหยั่งรู้ถึงแก่นแท้ยังศิลากระบี่
ครั้นนึกถึงเรื่องนี้ หลินหยงก็พานเดือดดาลจนตีอกชกหัว
เมื่อเห็นความโกรธของหลินหยง หยางเสี่ยวเทียนก็หันมากล่าวด้วยน้ำเสียบราบเรียบยั่งคลายกังวล “ไม่มีสิ่งใดต้องกังวล ข้าแค่ถูกขัดจังหวะเพียงเท่านั้น ต่อให้ถูกขัดจังหวะอีกเป็นร้อยครั้ง ข้าก็สามารถหยั่งรู้ได้ทุกเมื่อเชื่อวันหากต้องการ”
หลังกล่าวอย่างนั้น เขาก็พลันหันศีรษะเข้าหาศิลากระบี่ที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง แล้วเพ่งสัมผัสทางจิตวิญญาณเพื่อหยั่งรู้
ชั่วพริบตา ศิลากระบี่ที่สูงราวสามสิบฉื่อ ก็ส่องแสงจากปราณกระบี่พุ่งทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าอีกครั้ง
ทว่าครั้งนี้ แสงจากปราณกระบี่กลับดูทรงพลังยิ่งกว่า แก่กล้ายิ่งกว่าเดิมหนักหนา
เมื่อทุกคนได้ประจักษ์ชัดเจน ขณะแหงนมองแสงสว่างเหนือหัว ก่อนดวงตาทุกคู่จะเบนลงมายังร่างนิ่งของหยางเสี่ยวเทียนดุจดั่งสัตว์ประหลาด
แม้จะถูกขัดขวางจากการหยั่งรู้ศิลากระบี่ก่อนหน้า แต่ก็สามารถกลับมาหยั่งรู้ศิลากระบี่ได้ทุกเมื่อตราบใดที่ต้องการ
เฉินหยวนจับจ้องยังหยางเสี่ยวเทียน ผู้ยืนอยู่หน้าแท่นศิลากระบี่ขณะถูกปราณปกคลุม ทำมือของเขาสั่นเทาด้วยความตื่นเต้นเป็นที่สุด
“ดี! ดีมาก! สวรรค์ประทานพรแก่สำนักเสินเจี้ยนของข้าแล้ว”
“สำนักเสินเจี้ยนของข้า ได้สร้างอัจฉริยะนักกระบี่ที่น่าทึ่ง!”
ในเวลาเดียวกัน เขากล่าวอย่างตื่นเต้นกับ หลินหยง “ใครก็ตาม ที่กล้าขับไล่เด็กคนนี้ออกจากสำนักเสินเจี้ยน ข้าขอเอาชีวิตเข้าแลกกับมันผู้นั้น!”
สิ้นเสียง สีหน้าของทุกคนต่างซีดเผือดอย่างตกตะลึงกับวาจากล้าหาญเช่นนี้
เพราะนั่นเป็นวาจาของรองเจ้าสำนักเฉิน ผู้พร้อมเต็มใจเสี่ยงชีวิตเพื่อคงไว้ซึ่งอัจฉริยะนักกระบี่เยี่ยงหยางเสี่ยวเทียน
หลินหยงไม่โกรธครั้นได้ยินสิ่งนี้ กลับชมชอบด้วยซ้ำไป เว้นแต่รู้สึกละอายใจในตนเองที่เคยวางตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อหยางเสี่ยวเทียน
เขาแค้นเคืองตัวเองยิ่ง ลอบว่ากล่าวตนนั้นตาบอดจนเกือบขับไล่อัจฉริยะนักกระบี่เช่นนี้ออกไปในใจ
ยามนี้เขากลับเข้าใจความรู้สึกของเฉินหยวน หากแม้นได้รู้ว่าหยางเสี่ยวเทียนเป็นนักกระบี่อัจฉริยะก่อนหน้า คงไม่จำกัดให้อยู่ในสำนักเพียงหนึ่งปีเท่านั้น แต่จะอ้าแขนต้อนรับอย่างอบอุ่นด้วยซ้ำไป
ส่วนทางฝั่งของหูซิงที่ได้ยินดังนั้น ก็พลันรู้สึกอิจฉาหยางเสี่ยวเทียนทวียิ่งกว่าเดิม ครั้นเห็นว่าเฉินหยวนเต็มใจเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อให้เขาอยู่ในสำนักเสินเจี้ยนต่อ ผู้เคยเป็นศิษย์รักของบรรดาอาจารย์เยี่ยงเขา จะทนเฉยอยู่ได้อย่างไร
ก่อนหน้า เขาเพียงชิงชังหยางเสี่ยวเทียนเท่านั้น กระทั่งตอนนี้เจตนาฆ่าอันแรงกล้าได้พุ่งพล่านขึ้นในใจเขา
ระหว่างที่หูซิงเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารอันรุนแรง ทันใดนั้น แสงแห่งศิลากระบี่ก็พุ่งปราณกระบี่สูงขึ้นเสียดฟ้าราวหนึ่งพันฉื่อ
ปราณกระบี่ทะยานสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง
แม้ในยามกลางวัน ปราณกระบี่ก็ยังคงเจิดจ้าไม่ต่างจากดวงอาทิตย์อีกดวงที่เกือบทำให้หูซิงตาบอด
ในขณะนี้ มิเพียงคนยังสำนักเสินเจี้ยนเท่านั้นที่รับรู้พลังของปราณกระบี่ แต่ยังมีเหล่าวิญญาจารย์หลายคนทั่วเมืองเสินเจี้ยนได้ประสบพบพานแสงจรัสอันน่าทึ่งนั้นจากระยะไกลอีกด้วย
“ปราณกระบี่ทรงพลังเช่นนี้! ศิษย์ผู้ใดในสำนักเสินเจี้ยนได้แตกฉานเคล็ดวิชากระบี่ขั้นสูงสุดนั้น!” เผิงจื้อกัง เจ้าเมืองเสินเจี้ยนกล่าวด้วยความประหลาดใจ ขณะที่สายตาจับจ้องไปในทิศทางของแสงยังสำนักเสินเจี้ยน
จากนั้น เขาได้ถ่ายทอดคำสั่งให้องครักษ์ติดตามเรื่องนี้ทันที “ไปหามาให้ได้ ว่าศิษย์ผู้ใดของสำนักเสินเจี้ยน ที่บรรลุเคล็ดวิชายังศิลากระบี่ขั้นสูงสุด!”
“ขอรับ ท่านเจ้าเมือง!”
มิเพียงเท่านั้น บรรดานักปรุงโอสถทุกคนในหอสมาคมนักปรุงโอสถของเมืองเสินเจี้ยน ต่างก็ได้ประจักษ์ชัดตาต่อปราณกระบี่ที่อัศจรรย์นี้เหมือนผู้อื่น
“รีบส่งคนไปดู ว่าเป็นศิษย์ผู้ใดของสำนักเสินเจี้ยน!” ปรมาจารย์หลินหยวน ผู้นำแห่งหอสมาคมนักปรุงโอสถ ก็ได้ถ่ายทอดคำสั่งให้นักปรุงโอสถของตนตรวจสอบเฉกเช่นเดียวกัน
บัดนี้ เกือบทุกตระกูลในเมืองเสินเจี้ยน ต่างก็รีบเร่งตรวจสอบให้ได้ว่าเป็นศิษย์คนใดในสำนักเสินเจี้ยน
อีกด้านหนึ่ง หูซิงผู้เหม่อมองไปยังปราณกระบี่ที่เจิดจรัสแผ่กลิ่นอายอันน่าสยดสยองจากแท่นศิลากระบี่ ใบหน้าของเขาดูบึ้งตึง ดำคล้ำด้วยเคร่งเครียดอย่างน่าเกลียดยิ่ง
อย่างไรก็ตาม ยิ่งใบหน้าเขาดูบูดบึ้งน่าเกลียดเพียงใด แส่งสว่างจากแท่นศิลากระบี่ก็ยิ่งสาดส่องปราณกระบี่อันน่าอัศจรรย์พุ่งสูงขึ้นไปอีก ทะลวงยังสรวงสวรรค์ทั้งเก้าราวกับจะสร้างความผันผวนให้วายุและเมฆาบนสวรรค์ทั้งเก้ามิมีผิด
ใบหน้าของหูซิงยิ่งบิดเบี้ยวน่าเกลียดทวีขึ้น ทวียิ่งขึ้นไปอีก
ฝูงชนทั่วจัตุรัสร้อยกระบี่ ต่างเบิกตาโปนเมื่อเห็นปราณกระบี่ส่องแสงอันแก่กล้า แผ่เป็นสายออกมาจากศิลากระบี่
นี่เป็นครั้งแรกที่เหล่าศิษย์ใหม่ของสำนักเสินเจี้ยน ได้ประสบเห็นผู้ที่สามารถหยั่งรู้ศิลากระบี่ ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาอันถือว่ายากหยั่งถึงสุดตั้งแต่พวกเขาเข้ามาเหยียบยังที่แห่งนี้ แม้นศึกษามานับหลายปีก็มิอาจแตกชาญมันได้แม้เพียงเล่มเดียว
แท้จริงนั้น มิได้มีเพียงแค่บรรดาศิษย์ใหม่เหล่านี้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงอาจารย์ในสำนักเช่น เกาลู่ผู้ยืนตะลึงลานจนร่างคล้ายจะหยั่งรากลึก ณ จัตุรัสนี้ประดุจเป็นแท่นศิลากระบี่ไปแล้ว
มิใช่ว่าเขาไม่เคยประสบพบเจอศิษย์ผู้สามารถแตกฉานในศิลากระบี่ แต่ศิษย์เหล่านั้นมิมีผู้ใดทำให้ศิลากระบี่ส่องแสงทะยานสูงและโชติช่วงถึงเพียงนี้
ในอดีต เมื่อมีศิษย์คนใดก็ตาม สามารถหยั่งรู้เคล็ดวิชายังศิลากระบี่ได้ แสงจากปราณกระบี่จะส่องสว่างสูงเพียงสามสิบฉื่อราวกับน้ำพุขนาดย่อมเท่านั้น
ทว่า ปราณกระบี่ที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาตอนนี้ กลับมิเป็นเช่นทุกครั้ง แต่มันเหมือนส่องสว่างมิต่างจากแสงสุริยันขนาดย่อมอีกดวง