บทที่ 89 หมาป่าที่ซุ่มซ่อนท่ามกลางฝูงแกะ
นี่เพลงกระบี่ที่ทรงพลังสุดของข้าแล้วงั้นรึ? ได้แค่นี้หรือ?
สายตาทุกคู่เหม่อมองยังซูหลี่ผู้ถูกโจมตีจนร่างปลิวออกไปไกลจวนสุดอาณาเขตจัตุรัส ทุกคนต่างตกอยู่ภายใต้ภวังค์ด้วยความไม่อยากเชื่อเป็นเวลานาน
แม้แต่เพลงกระบี่สะบั้นคีรีในตำนานก็พ่ายแพ้รึ!
ความแข็งแกร่งของเคล็ดวิชากระบี่สะบั้นคีรีในปีนั้น เกือบจะกวาดล้างอาณาจักรแทบทั้งหมด ทำผู้คนครั่นคร้ามไปถ้วนทั่ว แต่ตอนนี้ กลับพ่ายแพ้ลงอย่างง่ายดาย
พ่ายแพ้ให้กับคนนามหยางเสี่ยวเทียน พ่ายแพ้ให้กับวิญญาณยุทธ์ระดับสองซึ่งหน้า
นอกจากนี้ ซูหลี่ผู้ใช้เพลงกระบี่สะบั้นคีรี ยังเป็นถึงอัจฉริยะที่หายากยิ่งและมีวิญญาณยุทธ์ขั้นสูงไม่ง่ายจะต่อกรด้วยความทรงพลังโดยกำเนินของมัน
ซูหลี่นอนแผ่หลาหน้าจมพื้นพยายามยกศรีษะอันหนักอึ้ง มองหาหยางเสี่ยวเทียนผู้ยังคงท่าทีเช่นเดิมมิเปลี่ยน ทำสีหน้าอันเจ็บปวดของซูหลี่ผันเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวและเคียดแค้น จนที่สุดก็หมดสติหน้าคลุกฝุ่นลงพื้นไป
ก่อนสติสัมปชัญญะจะพลันเลือนหาย เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าหยางเสี่ยวเทียนเอาชนะเขาผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์ประหลาดแห่งสำนักเสินไห่ได้อย่างไร
สำนักเสินเจี้ยนมิได้บอกเองรึ ว่าเด็กผู้นี้มีเพียงวิญญาณยุทธ์ขยะระดับสอง
กระนั้นแล้วเขาจะพ่ายแพ้อย่างสิ้นท่า ให้กับหยางเสี่ยวเทียนผู้มีวิญญาณยุทธ์ขยะระดับสองได้อย่างไร
ต่อหน้าหยางเสี่ยวเทียน เหตุไฉนเขาถึงได้อ่อนแอมากถึงเพียงนี้ น่าอับอายนัก!
ครั้นสายตาหลายคู่เห็นร่างอันสิ้นสติของซูหลี่ ก็พานให้ตื่นจากภวังค์
บรรดาอาจารย์และศิษย์จากสำนักเสินไห่ ต่างกรูกันเข้าไปเพื่อประคับประคองร่างอันไร้สติน่าสังเวชขึ้นมาด้วยสภาพอย่างน่าอนาถ
ยามนี้ ทุกคนต่างมองไปยังหยางเสี่ยวเทียนผู้ยืนหยัดแน่นอยู่เบื้องหน้าศิลากระบี่เป็นตาเดียว หัวใจของพวกเขาล้วนเต็มไปด้วยความสับสนยุ่งเหยิง
ใคร่สงสัยในตัวของเด็กผู้นี้ยิ่งนัก ว่าเขาทำได้อย่างไร มีความแข็งแกร่งแบบไหนที่ซ้อนอยู่ในตัวเขากันแน่
เพราะเมื่อครู่ ซูหลี่ไม่เพียงทุ่มพลังโจมตีทั้งหมดที่มีไปสุดกำลังเท่านั้น เขายังมีความแข็งแกร่งโดยกำเนิดที่หามีใครเทียบได้ แต่สุดท้าย กลับมิอาจทำให้หยางเสี่ยวเทียนถดถอยได้แม้แต่ก้าวเดียวประดุจขุนเขาอันยิ่งใหญ่หามีสิ่งใดสั่นคลอน
นั่นรวมถึงปราณกระบี่อันน่าสะพรึงของหยางเสี่ยวเทียน ที่เขาร่ายรำออกมาครู่นั้นด้วย
ด้วยพรสวรรค์ด้านกระบี่อันน่าพิศวงของหยางเสี่ยวเทียน พานให้หัวใจของผู้ประสบพบเจอต้องสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวมิใช่น้อย
ขณะนี้ เมื่อภาพตรงหน้าประจักษ์ต่อสายตาทุกคู่ ทุกคนถึงกับฉงนใจว่าใครกันแน่คืออัจฉริยะและใครกันแน่ที่เป็นขยะ!
ในสายตาของทุกคนยังอดีตนั้น ผู้มีวิญญาณยุทธ์ระดับสองถือเป็นขยะมาโดยตลอด ไม่มีทางก้าวหน้าเป็นอัจฉริยะหรือแม้แต่วิญญาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคตได้
แต่บัดนี้มันต่างออกไป หากวิญญาณยุทธ์ระดับสองไร้ประโยชน์จริง แล้วซูหลี่ผู้มีวิญญาณยุทธ์สมบูรณ์ขั้นสูงแต่กำเนิดระดับสิบเอ็ดเล่า จะกลายเป็นอะไร
เขาตามการเคลื่อนไหวของเพลงกระบี่จากหยางเสี่ยวเทียนไม่ทันด้วยซ้ำ นั่นมิเรียกว่าไร้ประโยชน์กว่าหรอกหรือ
จู่ๆ ทุกคนในสำนักเสินเจี้ยนก็พลันคะนึงถึงการประลอง ของเฉินปิงเหยาและเซี้ยฉู่ที่เคยพ่ายแพ้ต่อหยางเสี่ยวเทียนก่อนหน้า
คราก่อนนั้น ทุกคนไม่คิดสนใจมันมากนัก เพราะถือเป็นเพียงความประมาทของสองคนนั้นเองที่พ่ายแพ้แก่เขาได้ง่ายๆ
แต่ตอนนี้ แม้นเป็นถึงอัจฉริยะอย่างซูหลี่ก็ยังพ่ายแพ้ให้กับหยางเสี่ยวเทียน ทุกคนต่างเริ่มรู้สึกแปลกไปขณะมองดูหยางเสี่ยวเทียนทุกครั้ง
แม้แต่ เฉินปิงเหยาและเซี้ยฉู่ก็มองหยางเสี่ยวเทียนในความรู้สึกมิต่างจากผู้อื่น ซึ่งทั้งคู่ดูศึกนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ครั้นเห็นหยางเสี่ยวเทียนเอาชนะซูหลี่ได้อย่างง่ายดาย กายทั้งสองก็สั่นสะท้านพานหนาวสั่นไปยันกระดูกสันหลังทันที
หลายๆ คนในที่เกิดเหตุต่างรู้สึกหวาดกลัวเฉกเช่นเดียวกัน เมื่อมองไปยังใบหน้านิ่งขรึมของเด็กน้อยผู้มีนามหยางเสี่ยวเทียนนัก
ความรู้สึกนี้มันราวกับ… ราวกับเห็นหมาป่ากระหายเลือดที่ซุ่มซ่อนอยู่ท่ามกลางฝูงแกะ
ขณะทุกคนกำลังยืนตัวแข็งทื่อสติเลื่อนลอย กลับมีเพียงหลินหยงและเฉินหยวนที่เดินเข้าหาหยางเสี่ยวเทียนพร้อมความรู้สึกตื่นเต้น ตกใจ และไม่เชื่อคละเคล้ากันไป
เพราะเพลงกระบี่สุดท้ายที่หยางเสี่ยวเทียนใช้นั้น มันคือเพลงกระบี่ชางไห่ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาระดับสูงสุดของขั้นเซียนยุทธ์
และเขายังบรรลุมันถึงขั้นวรยุทธไร้เทียมทาน ทำให้พวกเขาได้เห็นความสุดยอดของเคล็ดวิชากระบี่ชางไห่ที่แข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าเพลงกระบี่อื่นๆ
เพลงหมัดราชันพยัคฆ์ เพลงกระบี่สี่ฤดู และเพลงกระบี่สือซานได้รับการฝึกฝนจนบรรลุขั้นวรยุทธไร้เทียมทานแล้วอย่างไร แม้แต่วรยุทธขั้นเซียนยุทธ์ชั้นยอด เช่น เพลงกระบี่ชางไห่ ยังได้รับการฝึกฝนจากเขาจนบรรลุขั้นวรยุทธไร้เทียมทานแล้วเช่นกัน
ยามนี้ หัวใจของพวกเขาสั่นไหว เต้นเร้าในอกราวจะหลุดออกมาด้วยความตื่นเต้น
เนื่องจากเรื่องเช่นนี้มิเคยเกิดขึ้นในสำนักเสินเจี้ยนมาหลายร้อยปีแล้ว จะให้พวกเขานิ่งเฉยต่ออัจฉริยะนักกระบี่เบื้องหน้าได้อย่างไร
ไม่เคยมีศิษย์ปีหนึ่งคนใด สามารถสำเร็จเพลงกระบี่ขั้นเซียนยุทธ์ชั้นยอดจนบรรลุขั้นวรยุทธไร้เทียมทานมาก่อน
และไม่มีศิษย์ปีหนึ่งอย่างเขาคนใด สามารถใช้สัมผัสทางจิตวิญญาณหยั่งรู้เคล็ดวิชาในศิลากระบี่ของจัตุรัสร้อยกระบี่ได้เช่นกัน
นี่ยังไม่นับเรื่องที่ว่า หลังจากหยั่งรู้เคล็ดวิชาในศิลากระบี่แล้ว เขายังสามารถแตกฉานจนบรรลุขั้นสำเร็จเล็กน้อยได้ทันทีอีกด้วย ความสามารถเช่นนี้อย่าว่าแต่ร้อยปีเลย แม้นพันปีก็ยากจะหาพบได้
“ลูกเอ๋ย… นี่เจ้า…” ครั้นเฉินหยวนบรรลุถึงหยางเสี่ยวเทียน ปากที่สั่นเครือเพราะตื่นเต้นก็เปิดออกกล่าว แต่ยังมิรู้จะกล่าวคำใดต่อเขาดี
ทว่า เมื่อถึงจุดนี้ อาจเป็นเพราะเขาตื่นเต้นมากไปหรือไรมิทราบแน่ แต่วาจานั้นติดขัดยิ่ง พลางกล่าวคำขาดคำ แทบมิเป็นภาษา
เฉินหยวนบัดนี้ พลันรู้สึกว่าตนนั้นชาญฉลาดยิ่งนัก ที่ได้ตัดสินใจร้องขอหลินหยงละเว้นให้หยางเสี่ยวเทียนอยู่ที่สำนักเสินเจี้ยนต่อ ด้วยตัวเขายังมีความข้องใจในวิญญาณยุทธ์เต่ายักษ์อันน่าประหลาดนั้นอยู่มิคลาย
ส่วนทางฝั่งของหลินหยง อารมณ์นั้นกลับสับสันทวียิ่ง แม้นภายในใจจะสำราญกับความสำเร็จนี้แต่การกระทำของเขาก่อนหน้า ต่ออัจฉริยะน้อยผู้นี้พานให้เขาเริ่มรู้สึกละอายในตนเองนัก ยิ่งคิดย้อนไป ความเสียใจยิ่งบังเกิด
ไฉนข้าใจร้ายต่อเจ้านักเด็กน้อย ทั้งวาจาและการกระทำนั้นล้วนแต่ทำร้ายเจ้า มิหนำซ้ำยังอนุญาตให้เจ้าอยู่ที่สำนักเสินเจี้ยนแห่งนี้ได้เพียงหนึ่งปีเท่านั้น ข้ามันมิเพียงตาบอด แต่ใจยังมืดบอดอีกต่างหาก
หากวิญญาณยุทธ์ของหยางเสี่ยวเทียนไม่อาจทะลวงเข้าสู่ระดับเจ็ดภายในหนึ่งปี นักกระบี่อัจฉริยะที่ไม่เคยปรากฏมากว่าพันปี ก็ต้องถูกขับออกจากสำนักเสินเจี้ยนด้วยความโง่เขลาของตัวข้าเช่นนั้นหรือ
ครู่ต่อมา หลินหยงถึงได้ทราบเรื่องที่หยางเสี่ยวเทียนถูกขัดขวางจากการจู่โจมของซูหลี่ ระหว่างกำลังหยั่งรู้เคล็ดวิชาในศิลากระบี่ ทำเขาเดือนดาลด้วยโทสะพลางชี้นิ้วว่ากล่าวต่อคนสำนักเสินไห่อย่างสุดจะทนกับการกระทำอันไร้ยางอายเช่นนี้
“ไว้ข้าจะชำระบัญชีกับเจ้าสำนักพวกเจ้า!”