บทที่ 88 ได้แค่นี้หรือ
เสียงแวดล้อมโดยรอบพลันเงียบสงัดลงทันตา
“นี่มันเพลงกระบี่ปีศาจ ระดับสูงสุดของขั้นสมบูรณ์แบบ!” เกาลู่มองยังใบหน้าขาวเรียวเล็กขลับกับความสงบขรึมของหยางเสี่ยวเทียนด้วยประหลาดใจ
เพลงกระบี่ปีศาจ เป็นทักษะกระบี่ขั้นเซียนยุทธ์ชั้นยอด หากฝึกฝนจนบรรลุขั้นสมบูรณ์แบบ พลังของมันจะเทียบเท่ากับวรยุทธขั้นเซียนสวรรค์
ซึ่งถ้ากล่าวถึงความยากในการฝึกฝน มันสำเร็จได้ยากยิ่งกว่าเพลงกระบี่วิญญาณศักดิ์สิทธิ์เสียอีก
ทว่า หยางเสี่ยวเทียนไม่เพียงแตกฉานมันเท่านั้น แต่ยังบรรลุถึงระดับสูงสุดของขั้นสมบูรณ์แบบ ที่น้อยคนนักจะสามารถสำเร็จได้
“เพลงกระบี่ปีศาจระดับสูงสุดขั้นสมบูรณ์แบบ” ดวงตาคู่งามของเฉิงเป้ยเป้ยมองยังร่างซูหลี่ ผู้ถูกกระแทกออกไปอีกครั้งด้วยสีหน้าเลื่อนลอยประดุจคนไร้วิญญาณ
ส่วนหยางจงเหม่อมองหาหยางเสี่ยวเทียนด้วยนัยน์ตาไม่อยากเชื่อเป็นที่สุด
เขาคือหยางเสี่ยวเทียนจากหมู่บ้านสกุลหยางจริงหรือ ใช่ผู้ที่ปลุกวิญญาณยุทธ์เต่าขยะระดับสองแน่หรือ หยางจงเริ่มสับสนเคล้าหวาดกลัวภายใน
ไหนจะเพลงหมัดราชันพยัคฆ์ เพลงกระบี่สี่ฤดู เพลงกระบี่สือซานที่ได้บรรลุถึงขั้นวรยุทธไร้เทียมทาน ซึ่งหากไม่ถูกขัดขวางเมื่อครู่ เขาคงจะหยั่งรู้เคล็ดวิชาจากศิลากระบี่เล่มแรกจนบรรลุสำเร็จ
แต่หากไม่ถูกขัดขวาง ตอนนี้ก็คงมิมีใครรู้ว่าเขาได้สำเร็จเพลงกระบี่ปีศาจจนบรรลุระดับสูงสุดของขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว
เขาตกอยู่ในความไม่เชื่อและไม่สามารถยอมรับได้ไปพร้อมๆ กัน
เขาผู้เข้ามาในสำนักเสินเจี้ยนก่อนหยางเสี่ยวเทียน ยังมิอาจหรือสามารถฝึกฝนวรยุทธภาคบังคับใดจนบรรลุถึงขั้นฉลาดล้ำเลิศได้สักเคล็ดวิชา
หยางเสี่ยวเทียนชำเลืองมองซูหลี่อย่างเย็นชา “หากมีเพลงกระบี่ใดที่เจ้าเชี่ยวชาญสุด จงแสดงออกมา แต่มิควรใช้เพลงกระบี่ธรรมดาๆ เช่นเพลงกระบี่วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก่อนหน้า มิฉะนั้น มันจะสร้างความอับอายมากกว่าให้ชื่นชม”
ซูหลี่กระอักเลือดออกมาอีกคำ หลังได้ยินน้ำเสียงราบเรียบนั้น
เพลงกระบี่วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ถือเป็นหนึ่งในเพลงกระบี่ที่เขาภาคภูมิใจยิ่ง หลังได้ฝึกฝนจนบรรลุขั้นฉลาดล้ำเลิศ เขาไม่เคยต้องแสดงมันต่อหน้าผู้ใดเลยสักครั้ง แต่ตอนนี้ จากปากของหยางเสี่ยวเทียน มันกลับกลายเป็นเพียงเพลงกระบี่ธรรมดาดูไม่น่าภาคภูมิใจไปเสียแล้ว
ซูหลี่ดันร่างโงนเงนลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เขามองไปยังหยางเสี่ยวเทียนด้วยดวงตาแดงก่ำ ทั้งโกรธแค้น ทั้งชิงชัง ดั่งเป็นศัตรูกันมาช้านาน
“ได้! หยางเสี่ยวเทียน ในเมื่อเจ้าบังคับข้า ก็อย่าได้หาว่าข้านั้นแล้งน้ำใจ ข้าจะให้เจ้าเห็นว่าเพลงกระบี่ที่ทรงพลังแท้จริงนั้นเป็นอย่างไร!” สิ้นเสียงตะโกน มือนั้นก็พลันยกกระบี่ยาวขึ้นเฉื่อยช้าราวกับหนักอึ้ง
คราที่กระบี่ถูกยกขึ้น ทุกคนก็ได้ปรากฏเห็นภาพธรรมกระบี่ขนาดใหญ่ราวขุนเขา ในมือซูหลี่ขณะกำลังชูขึ้นด้วยแรงทั้งหมดของเขา
ถูกต้อง มันคือเคล็ดวิชาของกระบี่สะบั้นคีรี
ภาพธรรมกระบี่ยักษ์ดั่งขุนเขา ประจักษ์ต่อสายตาทุกคู่ในจัตุรัส ด้วยไม่อาจเชื่อในสิ่งที่เห็นกันเบื้องหน้า ว่าเขาจะเป็นผู้นำมันกลับมาและฝึกฝนมัน
“เพลงกระบี่สะบั้นคีรี!”
“เพลงกระบี่สะบั้นคีรี คือเคล็ดวิชาที่สูญหายไปนับร้อยปี ไฉนซูหลี่จึงใช้เพลงกระบี่สะบั้นคีรีได้!”
นักกระบี่ทุกคนรอบจัตุรัสรู้ดีว่าสิ่งที่ซูหลี่ใช้นั้น คือเพลงกระบี่ซึ่งได้สูญหายไปนานไม่มีผู้ใดเคยพบพานมาหลายศตวรรษแล้ว
เพลงกระบี่สะบั้นคีรี เป็นวรยุทธกระบี่ที่สืบทอดมาจากสำนักกระบี่โบราณแห่งหนึ่งกว่าร้อยปีก่อน ซึ่งสำนักนั้นเคยใช้เพลงกระบี่นี้ สร้างความเสียหายต่อทั้งอาณาจักรเสินไห่และอาณาจักรโดยรอบจนต้องหวาดหวั่นกันถ้วนทั่ว
แม้เพลงกระบี่นี้จะมิใช่เคล็ดวิชาขั้นเซียนยุทธ์ แต่หากผู้ที่อยู่ในขั้นนักยุทธ์ต้องการฝึกฝน ก็สามารถสำเร็จได้ถึงสองกระบวนท่า และถือว่ายังทรงพลังไม่น้อย
ความแข็งแกร่งของมัน ถูกเล่าขานสืบต่อกันมาถึงผู้ที่เคยฝึก ซึ่งเป็นศิษย์ขั้นนักยุทธ์ผู้หนึ่งอันได้สืบทอดเพลงกระบี่สะบั้นคีรีเพียงสองกระบวนท่าเท่านั้น แต่กลับสามารถเอาชนะผู้ที่อยู่ในระดับพลังยุทธ์เดียวกันทั้งหมด
เปรียบให้ถูก คือมันเป็นเพลงกระบี่ที่ไร้เทียมทาน หากระดับพลังยุทธ์ทัดเทียมกันก็หามีผู้ใดเอาชนะได้
“นี่คือที่สุดของข้า เพลงกระบี่สะบั้นคีรี!” ซูหลี่แผดเสียงคำรามดังสนั่น พร้อมฟาดกระบี่ตรงไปยังคนเบื้องหน้า
“กระบวนท่าที่หนึ่ง!”
“กระบี่สะบั้นไทเก๊ก!”
หลังสิ้นเสียงอันห้าวหาญ ภาพธรรมของกระบี่ขนาดใหญ่แลสูงตระหง่านปานขุนเขา ก็ฟาดลงยังหยางเสี่ยวเทียนอย่างรุนแรง
ด้วยคมกระบี่อันทรงพลังขณะเหวี่ยงฟันลงตอนนี้
ทำให้ปราณกระบี่ขนาดใหญ่ส่งเสียงเสียดคมตัดผ่านอากาศ ด้วยแรงกดดันมหาศาลปานจะสะบั้นร่างของหยางเสี่ยวเทียนขาดเป็นสองท่อน
เพลานี้ ทุกคนต่างได้รับรู้ถึงพลังอันน่าสะพรึงที่แผ่ออกมาจากปราณกระบี่ขนาดมหึมาตรงหน้า อย่างไม่อาจคิดถึงสภาพของผู้ที่โดนปะทะว่าจะน่าสยดสยองเช่นไร
ขณะที่ทุกคนกำลังกลั้นหายใจพร้อมจับจ้องไปยังร่างของผู้ชะตาขาด ท่าทางแลสายตาของหยางเสี่ยวเทียนกลับยังคงนิ่งเฉย เขาเพียงยกกระบี่ขึ้นมาฟันสวนออกไปในท่วงท่าอันเรียบง่าย พลิ้วไหวดั่งสายลม
แต่ทันใดนั้น ปราณกระบี่ที่โถมออกไปอย่างอ่อนช้อยกลับทรงพลังราวกับคลื่นในมหาสมุทรคลั่งยามมรสุม
ไม่ถึงลมหายใจ หยางเสี่ยวเทียนก็ร่ำกระบี่ฟันเสริมอีกครั้ง ทำให้เกิดคลื่นจากปราณกระบี่ขนาดใหญ่อีกระลอกหนึ่ง
เขายังคงร่ายรำกระบี่ฟาดฟันอย่างต่อเนื่องไม่ยั้งมือ โถมปราณกระบี่ออกไปดั่งระลอกคลื่นมากมายในมหาสมุทรจนสุดคณานับ
คลื่นกระบี่โถมปะทะอย่างหนักหน่วง ระลอกแล้วระลอกเล่า ราวกับไร้ที่สิ้นสุด
ในเวลาเดียวกัน หูทุกคู่ประหนึ่งดังได้ยินเสียงแว่วดั่งคลื่นทะเลซัดสาด คล้ายคลายืนอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรมิมีผิด
บูม!
ฉากอันได้ประจักษ์ต่อสายตาทุกคู่เพลานี้ ประดุจกระบี่ขนาดใหญ่ดั่งขุนเขาห้ำหั่นกับคลื่นมหาสมุทรคลั่งยามมรสุมอย่างไร้สิ้นสุด
ส่งเสียงยามปะทะกันดังสนั่น พานให้ผืนปฐพีสั่นกระเทือนอย่างน่าพรั่นพรึง
ในความตรึงใจดั้งเดิมของทุกคน ทะเลไม่สามารถเขย่าภูเขาได้
แต่ในขณะนี้ ภายใต้คลื่นกระบี่อันไม่มีทีท่าสิ้นสุด กลับส่งให้ปราณกระบี่ขนาดเท่าขุนเขาถูกผลักออกไปต่อเนื่องเรื่อยๆ แสงอันเคยสว่างไสวพลันอ่อนลง เริ่มอ่อนเบาลง จนที่สุด ก็หายลับไปอย่างไร้ร่องรอย
ทว่า คลื่นกระบี่ยังคงถาโถมไปข้างหน้าไม่หยุดยั้ง ระลอกคลื่นแต่ละลูกซัดกระแทกร่างของซูหลี่ พานสร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสทั่วทั้งสรรพางค์กาย
ทุกคนต่างได้เห็นว่าซูหลี่ถูกคลื่นพัดพา คล้ายคลาเรือเล็กอับปางกลางมรสุมขนาดใหญ่ในมหาสมุทร
จากนั้นไม่นานคลื่นกระบี่จากหยางเสี่ยวเทียนก็อันตรธานหายไป เหลือไว้เพียงร่างปลกเปลี้ยของซูหลี่ร่วงกระแทกพื้นอย่างสิ้นท่า
“นี่คือเพลงกระบี่ ที่ทรงพลังสุดของเจ้าแล้วงั้นรึ” หยางเสี่ยวเทียนเหลือบมองร่างซูหลี่ที่กองอยู่บนพื้นอย่างน่าเวทนา หลังถูกโจมตีปลิวไปไกลจนสุดสายตา
“ได้แค่นี้หรือ” น้ำเสียงถามไถ่อย่างเย็นชา คล้ายใส่ใจแต่ไร้ซึ่งปรานี