บทที่ 86 เจ้าจะรับกระบี่ของข้า ได้ถึงสามกระบวนท่ารึไม่
ระหว่างทุกคนกำลังเคลื่อนไหวร่างอย่างรีบร้อน จู่ๆ ปราณกระบี่อันน่าอัศจรรย์อีกอันก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกหน
ซึ่งครั้งนี้นั้น กลิ่นอายจากปราณกระบี่ที่แผ่ขยายออกมา ทั้งสว่างจ้าและความเข้มข้นสูงจนทำให้ผู้ถูกมันสัมผัส ถึงขั้นเวียนศีรษะไปตามๆ กัน
ขณะนี้หลินหยงและเฉินหยวนต่างหัวใจสั่นไหวแทบกระดอนออกจากทรวงอก ทั้งสองเริ่มมุ่งหน้าด้วยความเร็วเพิ่มอีกเท่าตัวเพราะเกรงจะไม่ทันเห็น
ลำแสงที่พุ่งทะยานออกมาจากศิลากระบี่ บ่งบอกถึงความเชี่ยวชาญในเคล็ดวิชา ซึ่งดูจากความเข้มข้นของแสงในครั้งนี้ อย่างต่ำก็คงบรรลุขั้นสำเร็จเล็กน้อยเท่านั้น จึงจะสามารถแสดงปราณกระบี่ได้เช่นนี้
สำนักเสินเจี้ยนแห่งนี้ก่อตั้งมาเป็นเวลาหลายศตวรรษแล้ว แม้จะมีศิษย์หลายคนที่สามารถหยั่งรู้เคล็ดวิชาในศิลากระบี่ได้ แต่ก็ไม่เคยมีศิษย์คนใดสามารถบรรลุขั้นสำเร็จเล็กน้อยได้ทันทีหลังจากเข้าใจมัน
หูซิง เกาลู่ เฉิงเป้ยเป้ย และคนอื่นๆ ต่างเริ่มรู้สึกถึงความหวาดหวั่น เมื่อเห็นปราณกระบี่กำลังทยอยสว่างขึ้นบนเวหาเป็นระยะๆ
ขณะนี้ ไม่เพียงแค่หลินหยงและเฉินหยวนเท่านั้นที่เร่งฝีเท้า แต่ทุกคนก็เร่งความเร็วขึ้นเช่นกัน
เพียงไม่กี่อึดใจ พวกเขาก็มาถึงจัตุรัสร้อยกระบี่พร้อมกัน
ทันทีที่มาถึง สายตาทุกคู่ก็สอดส่องหาว่าผู้ใดยืนอยู่ใจกลางจัตุรัส ก่อนจะเห็นร่างผอมเพียวของคนผู้หนึ่ง ยืนจดจ้องหน้าศิลากระบี่เล่มแรกในจัตุรัสร้อยกระบี่
หูซิง เกาลู่ เฉิงเป้ยเป้ย หยางจง เซี้ยฉู่ เฉินปิงเหยา พร้อมคนอื่นๆ เบิกตาโพลงหลังเห็นร่างนั้นชัดเจนจนรู้ว่าเป็นใคร ทำให้พวกเขาทุกคนชะงักนิ่งตกตะลึงราวถูกอัสนีฟาดใส่กลางหัวใจอย่างรุนแรง
“เขาเองรึ!” ทั้งหูซิงและเฉิงเป้ยเป้ยโผงขึ้นพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย พวกเขาทั้งคู่ต่างวิ่งมาด้วยความหวัง กระทั่งบัดนี้ ร่างกายแข็งทื่อไม่ต่างจากถูกสาดด้วยน้ำเย็นจนชาทั้งตัว
เมื่อซูหลี่เห็นอากัปกิริยาที่แปลกไปของพวกเขา ขณะยืนอ้าปากค้างกว้างแทบสามารถยัดลูกท้อได้ทั้งผล เขาก็พลางอดถามไม่ได้
“เขาเป็นใครงั้นรึ”
“หยาง เสี่ยว เทียน!” ริมฝีปากบอบบางอมชมพูของเฉิงเป้ยเป้ย พ่นนามนั้นออกมาทีละคำ
อย่างสั่นเครือ
หูซิงมองหยางเสี่ยวเทียนผู้ยืนอยู่หน้าศิลากระบี่ด้วยแววตาอิจฉาเป็นที่สุด ริษยาเป็นที่สุดจวนควบคุมไม่ไหว
เพราะไม่มีศิษย์คนใดสามารถบรรลุขั้นสำเร็จเล็กน้อยได้ทันที หลังหยั่งรู้เคล็ดวิชาในศิลากระบี่ด้วยเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม
แต่หยางเสี่ยวเทียนกลับทำได้จริงๆ!
มันบังเอิญว่าบุคคลนี้คือ หยางเสี่ยวเทียนที่เขาชิงชังหนักหนาเท่านั้นเอง
“เขานั่นเอง!” ซูหลี่รู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินว่าบุคคลนั้นคือหยางเสี่ยวเทียน เขาไม่คิดเลยจริงๆ ว่าศิษย์ที่หยั่งรู้ศิลากระบี่ตรงนั้นจะเป็นหยางเสี่ยวเทียน ทั้งยังเป็นศิษย์ใหม่ของสำนักเสินเจี้ยนอีกต่างหาก
ซูหลี่เพ่งมองหยางเสี่ยวเทียน ขณะเขายืนนิ่งด้วยจิตใต้สำนึกจมสู่ยังโลกแห่งปราณกระบี่ของศิลาไปโดยสมบูรณ์ หัวใจของซูหลี่พลันสั่นระรัวพร้อมเคลื่อนตัวก้าวเท้าเข้าหาหยางเสี่ยวเทียนเรื่อยๆ
เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวนี้ เกาลู่ก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อขว้างความคิดอันชั่วร้ายของซูหลี่ ร้องตะโกนด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
“ซูหลี่! เจ้าจะทำอะไร!”
เกาลู่รู้ดีว่าตอนนี้ หยางเสี่ยวเทียนกำลังใช้สัมผัสทางจิตวิญญาณหยั่งรู้อยู่ในโลกแห่งปราณกระบี่ ซึ่งต้องมิให้ผู้ใดขัดจังหวะเป็นอันขาด
หากถูกขัดจังหวะสำคัญนี้แล้วไซร้ ครั้งต่อไปจะยากต่อการหยั่งรู้ศิลากระบี่มากขึ้น
ในกรณีที่ร้ายแรงกว่านั้น ปราณกระบี่อาจส่งพลังย้อนกลับ ทำลายสัมผัสทางจิตวิญญาณจนมิอาจหยั่งรู้ได้อีก
แม้เขาจะไม่ชอบหยางเสี่ยวเทียนเช่นกัน แต่การจะกระทำนี่ ถือเป็นเรื่องที่มิอาจให้อภัยได้
หากสำนักเสินเจี้ยนมีโอกาสสร้างอัจฉริยะนักกระบี่เช่นนี้ เขาจะยอมให้ผู้อื่นมาขัดจังหวะอัจฉริยะเยี่ยงหยางเสี่ยวเทียนได้อย่างไรกัน
พอเขาเห็นเกาลู่ออกมาขวาง ซูหลี่ก็ยิ้มอย่างไร้เจตนาร้ายและกล่าวว่า
“อาจารย์เกา อย่าได้กังวลไป ข้ามิได้มีเจตนาร้ายต่อเขา เรามาที่นี่เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กับศิษย์ใหม่เท่านั้น แต่เนื่องจากหยางเสี่ยวเทียนเป็นศิษย์ใหม่ ข้าเพียงต้องการแลกเปลี่ยนความรู้กับเขาสักสองสามกระบวนเท่านั้นเอง คำขอนี้คงไม่มากเกินไปกระมัง”
กล่าวจบ จู่ๆ ซูหลี่ก็ชักกระบี่ออกมาแล้วฟาดมันไปทางหยางเสี่ยวเทียนทันที โดยมิรอฟังคำค้านใดๆ จากเกาลู่เลย
“หยางเสี่ยวเทียน ข้าคือซูหลี่จากสำนักเสินไห่ เพลงกระบี่ของข้ามิเป็นรองผู้ใดในรุ่นเดียวกัน ข้าอยากรู้ว่าเจ้าจะรับมือกระบี่ของข้าได้ถึงสามกระบวนท่ารึไม่!”
เกาลู่ไม่คิดว่าซูหลี่จะลงมือกะทันหันเช่นนี้ สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไป รีบปลดปล่อยปราณฝ่ามือออกไปหมายสกัด หมายจะขัดขวางปราณกระบี่จากซูหลี่
ทว่า เขากลับช้าไปเพียงอึดใจ ทำให้ฝ่ามือนั้นมิอาจสกัดกั้นปราณกระบี่ของซูหลี่ที่ห่างจากตัวหยางเสี่ยวเทียนไม่กี่สิบจั้งได้ทัน ซึ่งมันยังคงโถมเข้าหาหยางเสี่ยวเทียนอย่างรวดเร็ว
แต่ทันใดนั้น ปราณกระบี่ของหยางเสี่ยวเทียนก็ระเบิดออกมาจากสรรพางค์กาย ปิดกั้นปราณกระบี่ของซูหลี่ทันที
แม้นหยางเสี่ยวเทียนจะไม่เป็นอะไร แต่นั่นทำให้การแตกฉานในศิลากระบี่ถูกขัดขวาง
หยางเสี่ยวเทียนเบิกตาขึ้นพร้อมนัยน์ตาลุกวาวแฝงเจตนาฆ่ารุนแรง ขณะชายหางตาอันเย็นยะเยียบมองซูหลี่ ไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉานที่สมควรตาย
เมื่อซูหลี่เห็นว่าตนขัดจังหวะหยางเสี่ยวเทียนได้สำเร็จ ใบหน้าก็พานสำราญหนักหนา เขาคว้าด้ามกระบี่กระชับแน่น แล้วกระแทกฝ่าเท้าลงพสุธาเหินเวหาขึ้นสูงลิ่ว ก่อนร่ายรำปราณกระบี่ฟาดลงมาหาหยางเสี่ยวเทียนอีกครา
“กระบวนท่าที่สอง!”
ปราณกระบี่ที่กำลังทะลวงลงมานั้น ส่องสว่างสุกสกาว
“เพลงกระบี่อรชร!”
ซึ่งเพลงกระบี่อรชร เป็นวรยุทธกระบี่ที่มีพลังโจมตีขั้นรุนแรงสุดในบรรดาวรยุทธภาคบังคับปีหนึ่งของสำนักเสินไห่
อีกทั้ง ซูหลี่ยังได้ฝึกฝนมันจนบรรลุขั้นวรยุทธไร้เทียมทานแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องจินตนาการถึงพลังอันมหาศาลของมันเลย
ครั้นเห็นคู่ต่อสู้พุ่งเข้าหาตนด้วยปลายกระบี่แหลม หยางเสี่ยวเทียนก็ไม่รีรอพลันยกขาขึ้นเตะสวนออกไปทันทีตามสัญชาตญาณ
ความเร็วของเพลงเตะนี้ ทำให้ซูหลี่ไม่ทันสังเกตเห็นด้วยซ้ำว่าหยางเสี่ยวเทียนแสดงกระบวนท่าตอนไหน กว่าเขาจะตอบสนอง ก็ถูกสกัดไม่ต่างจากร่างกระแทกโดนเสาหินแข็ง ฟาดเข้าหน้าท้องอย่างหนักหน่วง
บูม!
ซูหลี่เด้งตัวงอราวกุ้งย่างมิมีผิด
ร่างเขาถูกเตะรุนแรง จนลอยละลิ่วออกนอกจัตุรัสร้อยกระบี่ทันที ระหว่างอยู่กลางอากาศปากก็พ่นเลือดออกมาอย่างน่าอับอาย
หยางเสี่ยวเทียนดึงเท้ากลับมาเนิบนาบ แต่แววตาพลันประกายแสงเย็นเฉียบหนาวจับยันกระดูกสันหลัง