บทที่ 85 พิภพแห่งศิลากระบี่
หลังไม่เจอตัวของหยางเสี่ยวเทียน การประลองแลกเปลี่ยนความรู้ก็เริ่มพิธี แม้นเฉิงเป้ยเป้ยจะมิเต็มใจก็ตาม
ซูหลี่ก้าวไปข้างหน้า เหลือบสายตามองบรรดาศิษย์ใหม่จากสำนักเสินเจี้ยน แล้วเอื้อนเอ่ยออกมาน้ำเสียงเย็นยะเยือก
“พวกเจ้าคนใดจะมาก่อน หากหนึ่งในพวกเจ้าสามารถสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของข้าได้สามกระบวนท่า ข้าจะถือว่าเจ้าเป็นฝ่ายชนะ”
พูดจบบรรดาศิษย์ใหม่จากสำนักเสินเจี้ยนก็หันมองหน้ากัน พร้อมตัดสินใจร้องแหกปากวิ่งกรูเข้าหาซูหลี่อย่างบ้าคลั่ง
……
หลังหยางเสี่ยวเทียนแลกเปลี่ยนคัมภีร์เคล็ดวิชาขั้นเซียนสวรรค์ กำลังมุ่งหน้ากลับจวนขณะเดินผ่านจัตุรัสร้อยกระบี่เช่นทุกวัน แต่ครั้งนี้ เขากลับเลือกที่จะหยุดหันกลับมามองยังหนึ่งในศิลากระบี่ที่ปักอยู่ตรงนั้น
ทุกครั้งที่เดินผ่านมัน เขาไม่เคยหยุดเพื่อลองอ่านทำความเข้าใจศิลากระบี่ในจัตุรัสร้อยกระบี่นี้เลยสักครา
ในเมื่อวันนี้ ไม่มีอะไรทำนอกจากกลับไปฝึกฝนเคล็ดวิชาใหม่แล้ว เขาน่าจะลองตั้งใจอ่านศึกษามันดู
เขาจำได้ว่าตอนที่เข้ามาในสำนักครั้งแรกแล้วผ่านจัตุรัสร้อยกระบี่นี่ เฉิงเป้ยเป้ยเคยกล่าวไว้ ว่าหากเขาสามารเข้าใจหรือแตกฉานในศิลากระบี่เล่มใดเล่มหนึ่งได้สำเร็จ คงจะมีควันเขียวผุดจากหลุมฝังศพของบรรพบุรุษอย่างไม่น่าเชื่อ
“จะมีควันเขียวผุดขึ้นมาจริงนะหรือ” หยางเสี่ยวเทียนพึมพำกับตัวเองขณะเดินเอามือไขว้หลังมาหยุดนิ่งหน้าศิลากระบี่ขนาดใหญ่เล่มแรก
ศิลากระบี่ขนาดใหญ่แต่ละเล่ม ประกอบด้วยอักขระลึกลับของเพลงกระบี่โบราณอันยากหยั่งถึง เพราะบนพื้นผิวของศิลากระบี่ทุกเล่ม ต่างไร้ซึ่งภาพประกอบกระบวนท่าเพลงกระบี่ โดยต้องใช้สัมผัสทางจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งของแต่ละบุคคลในการหยั่งรู้ทำความเข้าใจปราณกระบี่
หยางเสี่ยวเทียนยืนจับจ้องอยู่หน้าศิลากระบี่ พร้อมใช้พลังทางจิตวิญญาณสัมผัสถึงปราณกระบี่ที่อยู่ในศิลาด้วยหัวใจของเขา
ขณะเขาเพ่งมองมันอยู่นั้น ทุกสิ่งโดยรอบตัวเขากระทั่งเสียงร้องของนกน้อยแลเสียงหวีดหวิวจากสายลมที่พัดผ่านใบไม้เหนือหัว ดูจะค่อยๆ อันตรธานหายไป
ครั้นทุกอย่างพลันเลือนหายไป ภาพที่ปรากฏยังสายตาเขาตอนนี้ กลับมีเพียงศิลากระบี่ขนาดใหญ่ตรงหน้าที่เขายังคงจับจ้องไม่วางตาเล่มเดียวนี้ ราวเขากับกระบี่ได้หลุดมาอีกยังโลกหนึ่งที่มีเพียงความว่างเปล่า
หยางเสี่ยวเทียนหันมองซ้ายแลขวาไปรอบๆ รู้สึกเหมือนถูกดูดเข้าสู่โลกแห่งปราณกระบี่อันกว้างใหญ่
ซึ่ง ณ โลกแห่งปราณกระบี่เล่มนี้ มีปราณกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งมาทางเขาในรูปทรงและรูปแบบต่างๆ มากมายผ่านศรีษะเขาไปเบื้องหลัง
ปราณกระบี่ทุกเล่มล้วนเหินบินไปมาได้อย่างอิสระ
จนหยางเสี่ยวเทียนเข้าใจวิถีการท่องของปราณกระบี่เหล่านี้ หลังจับตามองมันขณะเคลื่อนไหวตลอด
จากนั้นไม่นาน ปราณกระบี่เหล่านี้ก็พุ่งลงสู่พื้น ก่อตัวจากแสงกลายเป็นนักกระบี่หลายคนปรากฏต่อสายตาของหยางเสี่ยวเทียน
นักกระบี่ทุกคนต่างเริ่มร่ายรำเพลงกระบี่แสดงกระบวนท่าต่างๆ ดุจให้เขาคอยจดจำมัน
แต่ละคน ร่ำกระบวนท่าของตนอย่างพลิ้วไหว ทุกครั้งที่พวกเขากวัดแกว่งกระบี่ในมือ แท่นศิลากระบี่ขนาดใหญ่จะเปล่งประกายจากปราณกระบี่สว่างไสวขึ้นเรื่อยๆ ดั่งกำลังถูกปลุกให้มีชีวิต
อีกด้านหนึ่ง
ซูหลี่ยังคงเอาชนะศิษย์ใหม่ชั้นปีที่หนึ่งจากสำนักเสินเจี้ยนล้มลงไปทีละคนเรื่อยๆ อย่างง่ายดาย ทำเขามั่นใจในความแข็งแกร่งของตน วางท่าโอ้อวดใหญ่โตด้วยหลงระเริง
บรรดาศิษย์ใหม่ของสำนักเสินเจี้ยน ล้วนไม่มีผู้ใดสามารถรับมือเขาได้มากถึงสามกระบวนท่าด้วยซ้ำ เกือบทั้งหมดต่างพ่ายแพ้ตั้งแต่กระบวนท่าแรก
ซูหลี่ทำได้เพียงเหลือบมองบรรดาศิษย์ของสำนักเสินเจี้ยน ผู้นอนเกลือกกลิ้งบนสนามประลองด้วยความเจ็บปวด จนเขาเก็บอารมณ์และสีหน้าท่าทีผิดหวังไม่ไหว เพราะคนพวกนี้ มิควรค่าให้เขาต้องลำบากเดินทางมาเสียเวลาตั้งไกล เพื่อพ่ายแพ้หลังเพิ่งลงมือไปไม่กี่กระบวนท่า
เดิมทีเขาคิดว่า การมาเยือนสำนักเสินเจี้ยนครานี้ อาจมีศิษย์ใหม่ผู้พอจะมีฝีมือบ้าง หากได้ฉะกระบี่กันสักสองสามกระบวนท่าคงดีมิใช่น้อย
แต่นี่ กลับไม่มีเลยสักคน!
ระหว่างที่ซูหลี่กำลังจมอยู่กับความรู้สึกสิ้นหวัง ทันใดนั้น ปราณกระบี่อันน่าอัศจรรย์ก็ส่องสว่างวาบพร้อมลำแสงทะยานขึ้นสู่ท้องนภา จากสถานที่ใดสักแห่งในสำนักเสินเจี้ยน
ลำแสงจากปราณกระบี่ที่พุ่งขึ้นสูงเหนือสำนักไปบนฟากฟ้า ประจักษ์แก่สายตาอันเบิกกว้างทุกคู่ ขณะลุกยืนตะลึงลานด้วยประหลาดใจสุดขีด
เพียงชั่วพริบตา ปราณกระบี่อันน่าอัศจรรย์อีกเล่มหนึ่ง ก็ทอแสงสว่างทะยานขึ้นบนเวหาจากตำแหน่งเดียวกันกับปราณกระบี่เมื่อครู่
ทว่า ปราณกระบี่ในครั้งนี้ กลับดูน่าทึ่งยิ่งกว่าปราณกระบี่ที่ส่องสว่างตอนแรกเสียอีก
“มาจากจัตุรัสร้อยกระบี่!”
“หรือว่า มีคนหยั่งรู้เคล็ดวิชาในศิลากระบี่จวนแตกฉานแล้ว!” เกาลู่อุทานเสียงดังโดยไม่รู้ตัว เนื่องด้วยตื่นเต้น
เคล็ดวิชาในศิลากระบี่นั้น เป็นเรื่องยากต่อการหยั่งรู้และเข้าใจยิ่ง บางครั้งแม้นยืนมองมันถึงสามปีก็มิอาจเข้าใจมันได้ง่ายๆ
สำมะหาอะไรกับการแตกฉานรวดเร็วติดต่อกันเช่นนี้ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นผู้ใดที่อยู่จัตุรัสร้อยกระบี่ตอนนี้ เขาต้องมีความสามารถไม่ธรรมดาแน่นอน
แล้วเมื่อใดก็ตาม ที่มีคนหยั่งรู้เคล็ดวิชาในศิลากระบี่ได้สำเร็จ มันจะกลายเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ของสำนักเสินเจี้ยน
“ไปจัตุรัสร้อยกระบี่กันเถอะ!” หูซิงกล่าวอย่างตกใจ พลันออกตัวสืบเท้าเดินสลับวิ่ง มุ่งตรงไปยังจัตุรัสร้อยกระบี่อย่างรวดเร็ว
ครั้งสุดท้ายที่เขาคือผู้หยั่งรู้เคล็ดวิชาจากศิลากระบี่ได้นั้น ก็เนินนานนับปีมาแล้ว
และไม่คาดหวังว่าจะมีผู้ใดเข้าใจเคล็ดวิชาในศิลากระบี่ได้อีกนอกจากเขา อัจฉริยะผู้เดียวตอนนี้เท่านั้น
ทำเขาใคร่รู้จริงๆ ว่านอกจากเขาเมื่อตอนนั้นแล้วจะเป็นใครในสำนักอีก ผู้หยั่งรู้เคล็ดวิชาในศิลากระบี่ได้เช่นเขาบ้าง
เฉิงเป้ยเป้ย หยางจง เกาลู่ พร้อมคนอื่นๆ ต่างแห่แหนกันเป็นขบวนไปยังจัตุรัสร้อยกระบี่ หมายพบหน้าอัจฉริยะผู้นั้น
เมื่อเห็นฉากนี้ ซูหลี่และคนจากสำนักเสินไห่ก็รีบเคลื่อนตัวตามกลุ่มของเฉิงเป้ยเป้ย ไปยังจุดหมายที่ว่านั้นทันทีเช่นกัน
จัตุรัสร้อยกระบี่ เป็นหนึ่งในมรดกอันทรงคุณค่าทางกระบี่ของสำนักเสินเจี้ยน ซึ่งซูหลี่รับรู้เรื่องนี้ดี ว่าคนในสำนักให้ความสำคัญต่อผู้ที่สามารถหยั่งรู้แลแตกฉานในเคล็ดวิชาที่อยู่ในศิลากระบี่ทุกเล่มนั้นยังไง และคนผู้นั้น ฝีมือย่อมไม่ธรรมดาเป็นแน่
“ข้าอยากเห็นนัก ว่าเป็นผู้ใดกัน” ซูหลี่พึมพำกับตัวเองขณะฝีเท้ายังสับไปอย่างเร่งรีบ
ใครก็ตามที่สามารถหยั่งรู้เคล็ดวิชาจากศิลากระบี่สักเล่มหนึ่งในจัตุรัสร้อยกระบี่ เขาจะถือเป็นอัจฉริยะนักกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ที่หาพบได้ยากในรอบศตวรรษ
ขณะที่ซูหลี่ หูซิง เกาลู่ เฉิงเป้ยเป้ย รวมทั้งคนอื่นๆ กำลังรุดหน้าไปยังจัตุรัสร้อยกระบี่ ทางฝั่งของหลินหยงกับเฉินหยวนก็ได้เห็นปราณกระบี่นั้นเช่นกัน พวกเขาทั้งสองต่างประหลาดใจและไม่รอนั่งฟังข่าวคราวลุกออกจากเรือนขณะหารือกัน พร้อมตรงไปยังต้นแสงด้วยอยากเห็นเองกับสองตา