ตอนที่แล้วบทที่ 26 ถ่ายทำ (1)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 28 ถ่ายทำ (3)

บทที่ 27 ถ่ายทำ(2)


บทที่ 27 ถ่ายทำ(2)

. .

. .

มันเป็นเสี้ยววินาที คิมรยูจินเพิ่งรู้ตัวว่าเขากำลังล้มลงไป สาเหตุเพราะโดนหญ้ารกทึบขัดทำให้สะดุด เท้าของเขาจึงย่อตัวลงตามสัญชาตญาณ ร่างกายของเขามุ่งลงสู่พื้นดินอย่างเป็นธรรมชาติ การเคลื่อนไหวของเขานุ่มนวลและอ่อนโยนราวกับเป็นคิมรยูจินใน 'สำนักงานนักสืบ'

แต่ว่า

"อ๊ะ"

คนที่ถอนหายใจอย่างหนักภายในหลังจากทรงตัวอยู่ได้อย่างหวุดหวิดกลับไม่ใช่คิมรยูจิน แต่เป็นคังวูจิน

‘ตายละ น่าอายชะมัด’

มันก็แค่ความผิดพลาด ความผิดพลาดสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนและแฝงตัวอยู่ทุกหนทุกแห่ง ครั้งนี้มันดันมาเกาะติดคังวูจินในสถานการณ์ที่สำคัญเช่นนี้ เจ้าสิ่งน่ารำคาญนี้! มันเป็นเพราะความกดดันจากการถ่ายทำครั้งแรกของเขาหรือเปล่านะ? หรือเพราะความประหม่า? อาจเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาถ่ายทำในสถานที่จริงไหม? หรืออาจจะไม่มีเหตุผลอะไรเลย เขาก็ไม่ทราบได้

จะว่าไป กระทั่งนักแสดงมากประสบการณ์มา 30 ปีก็ยังมีเทคที่ใช้ไม่ได้เลย

ไม่ว่าจะเป็นการหัวเราะกลางคัน หรือพูดบทผิด สำหรับนักแสดงแล้ว การแสดงจนทำให้เทครอบนั้นใช้ไม่ได้ถือเป็นเรื่องปกติ แต่เทคที่ใช้ไม่ได้ก็เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการไปสู่เทคที่ใช้ได้ ซึ่งที่จริง คังวูจินก็ยังไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ทั้งหมด เขาอาจดูเหมือนนักแสดงอัจฉริยะในสายตาคนอื่น แต่จริง ๆ แล้วเขายังเป็นแค่มือใหม่ที่เพิ่งเข้าวงการได้เพียงเดือนเดียว

ดังนั้น

'ฉันทําพลาดไปหรือเปล่าเนี่ย?'

คังวูจินค่อย ๆ เหยียดขาที่งออยู่ให้ตรง สีหน้าเริ่มจริงจังขึ้นเล็กน้อย เขายังนึกถึงท่าทีโอ้อวดที่เขาเคยแสดงไว้ก่อนหน้านี้ได้ด้วย ว่าแต่ฉันมาถึงจุดนี้ได้ยังไงกัน? ทุกอย่างมันพังเพราะกองหญ้าอย่างนั้นเหรอ? ไม่ยุติธรรมเลย

คังวูจินชันเข่าของเขาด้วยสายตาเฉยเมย จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่วิลล่า

หัวใจของเขาสั่นระริก ราวกับถูกจับได้ขโมยของ เขาฝังความตึงเครียดไว้บนใบหน้าอย่างพอเหมาะ เพราะมีกล้องทั้งด้านหน้าและด้านหลัง มันจึงรู้สึกเหมือนมีกล้องวงจรปิดอยู่ทุกหนทุกแห่ง

'ฉันควรทำยังไงดี? ฉันควรล้มไปอย่างดราม่าพอสมควร แล้วรอให้ผู้กำกับจะส่งสัญญาณให้ฉันไหม? ฉันควรรอไหม?'

สิ่แต่งที่น่าสนใจคือ

“……”

ไม่มีเสียงตะโกนดังออกมาจากไหนเลย มีเพียงความเงียบ  มีเพียงบรรยากาศอันเงียบสงบที่เป็นเอกลักษณ์ของกองถ่าย เอ๊ะ? แปลกจัง ทำไมมันเงียบขนาดนั้น?  มันไม่ใช่การเคลื่อนไหวที่อยู่ในบทนะ แต่ผู้กำกับชินดงชุนไม่ได้ตะโกนให้หยุดถ่าย ไม่รู้เลยว่าด้วยเหตุผลอะไร กล้องทั้งสองตัวก็ยังไม่หยุดถ่าย คังวูจินคิดเช่นนั้น

เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะผู้กํากับชินดงชุนขณะนี้กำลังถ่ายทำต่ออยู่

'คิมรยูจินกําลังมองไปที่วิลล่า ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกังวล ในบทมันเป็นบทสั้น ๆ แต่ฉันไม่คิดว่าเขาจะแสดงออกมาอย่างลึกซึ้งขนาดนี้'

เขาเอ่ยคำชมคังวูจินที่หน้าจอภาพขณะกลืนน้ำลาย แน่นอนว่าคังวูจินไม่รู้เรื่องนี้ แต่เขารู้สึกได้ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไม แต่...

'คงต้องแสดงต่อไป เดี๋ยวฉันก็รู้เองว่ามันเกิดอะไรขึ้น'

เขาคิดว่าเขาจะถูกด่าหลังจากถ่ายเทคแย่ ๆ นี้เสร็จ ดังนั้นตัวคังวูจินจึง

ฟึบ!

เขารีบนําตัวละคร 'คิมรยูจิน' กลับคืนมา การทำเช่นนี้เริ่มเป็นสิ่งที่คังวูจินคุ้นเคยมากเรื่อย ๆ

เขาจำบทพูดได้หมด เพราะเขาจะท่องจำมาหลายพันครั้งจากมิติว่างเปล่า ความรู้สึกและประสาทสัมผัสของคิมรยูจินแพร่กระจายไปทั่วเส้นเลือดของเขา มันคงเป็นความสามารถของมิติว่างเปล่า แต่มันเริ่มราบรื่นขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่เขาย้อนไปอ่านบทบาท โลกของตัวละครที่เขาสัมผัสคล้ายเป็นสิ่งคุ้นชินขึ้น และระยะเวลาที่จะนำทุกสิ่งเกี่ยวกับตัวละครออกมายังโลกภายนอกก็ลดลงไปขณะที่เขาแสดง

โลกของตัวละครที่ถูกมอบให้โดยมิติว่างเปล่า มันกำลังกลายเป็นสมบัติของคังวูจิน

คังวูจินเปลี่ยนร่างเป็นคิมรยูจินอย่างรวดเร็ว ราวกับเป็นร่างทรงที่สลักวิญญาณเข้าไปใส่ ทันใดนั้น วิลล่าธรรมดาที่อยู่ตรงหน้าเขาก็ดูเหมือนบ้านผีสิงของเหล่าวิญญาณ ความหนาวเหน็บที่โอบล้อมร่างกายของเขา ความกลัวแผ่ซ่าน ความหวาดกลัวผสมกับลมหายใจของเขา

หลังจากเห็นร่างถูกอุ้มหายไป

ลมหายใจเงียบ ๆ ของคิมรยูจินเปลี่ยนกลายเป็นเสียงดัง เสียงนั้นเริ่มดังเป็นจังหวะ การหายใจเข้าและออกเร็วขึ้น เสียงนั้นเริ่มดังขึ้น การหายใจเข้าและหายใจออกเร็วขึ้น คิมรยูจินรู้สึกว่าร่างกายของเขาหนักราวกับถูกตอกตะปูกับพื้นหญ้า

ร่างกายชุ่มไปด้วยเหงื่อ

“ฮู้วว”

หายใจเข้าลึก ๆ จากนั้น กล้องที่ถ่ายภาพด้านข้างของคิมรยูจินก็เคลื่อนไปด้านหน้าของเขา  โฟกัสเปลี่ยนเป็นภาพหน้าอกด้านหน้า พอเป็นแบบนี้ บนจอภาพที่ผู้กํากับชินดงชุนและฮงฮเยยอน และคนอื่น ๆ กําลังดูอยู่ จึงกลายเป็นภาพคิมรยูจินที่ปรากฏใกล้ชิดขึ้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด

กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาดูเรียบเฉย แต่ดวงตาของเขากลับเคลื่อนไหวรวดเร็ว

ฮงฮเยยอนใช้มือข้างหนึ่งปิดปากขณะที่เธอดูคิมรยูจินในจอภาพ มันไม่ใช่ทั้งความชื่นชมหรือความประหลาดใจ แต่มันคือความทึ่ง

'เขากลัว แต่เขาหันหลังกลับไม่ได้ ถึงแม้เขาจะดูเชื่องช้า แต่ความอยากรู้อยากเห็นของเขาก็แรงกล้า หลังจากสะดุดลงไป เขาก็ยังคงถ่ายทอดเสน่ห์ของตัวละครได้ด้วยความสมจริง'

มันคือการแสดงที่ถ่ายทอดความกลัวออกมาได้อย่างสมจริงตามคำสั่งของผู้กำกับ ราวกับเป็นตัวละครคิมรยูจินจริง ๆ

ทันใดนั้น

ตุ้บ

คิมรยูจินที่ยืนนิ่งอยู่แทบไม่ได้ก้าวไปข้างหน้า เขาได้ตัดสินใจแล้ว เหตุผลที่เขาทํางานเป็น 'นักสืบ' ก็คือเพราะเขามีความสุขในการ 'มองเห็นแทนคนอื่น' น่าแปลกใจเหลือเกินที่ผู้คนมักจะไว้ใจ เปิดเผยความลับกับคนแปลกหน้า

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมีความสัมพันธ์แบบมืออาชีพเข้ามาเกี่ยวข้อง ความไว้วางใจมันก็จึงยิ่งเพิ่มมากขึ้น

คิมรยูจินชอบมองด้านที่ซ่อนเร้นของคนอื่นมากกว่าเงินเสียอีก แต่ครั้งนี้ มันคือการฆาตกรรม เขาไม่แน่ใจว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง แต่ในชีวิตคนเรามักจะได้เห็นเหตุการณ์และสถานการณ์เช่นนี้สักกี่ครั้งกัน? นั่นแหละจึงกลายเป็นแรงผลักดันให้คิมรยูจินก้าวไปข้างหน้า

การได้เป็น 'พยาน' เป็นประสบการณ์ที่หายากอย่างน่าประหลาดใจ

ก่อนที่เขาจะรู้ตัว ฝีเท้าของคิมรยูจินก็เดินเร็วขึ้น

-ตึก ตึก

ใช้เวลาไม่นานนัก เขาก็มาถึงประตูหน้าวิลล่า คิมรยูจินพึมพําเบา ๆ ขณะที่เขาค่อย ๆ ยกมือขึ้น

"ฉันจะบ้าไปแล้ว ฉันมาทนกับเรื่องนี้ได้ยังไงกัน?"

แต่ทว่า

-กึก กึก

ประตูหน้าถูกล็อคไว้ ให้ตายสิ ในไม่ช้าคิมรยูจินก็เหลือบมองกล้องวงจรปิดข้าง ๆ เขา แน่นอนว่าเขาไม่ได้มองกล้อง เขากําลังเช็คการเคลื่อนไหวของภรรยาที่ขับรถออกไป โชคดีที่มันเงียบไปแล้ว ตามสัญชาตญาณ คิมรยูจินจึงตรวจสอบหน้าต่างบานใหญ่

แล้วก็

เอี๊ยด..

เขาเห็นหน้าต่างเปิดออก พร้อมกับกลิ่นด้านในวิลล่าที่เคยอบอวลอยู่ได้ถูกสูดเข้าสู่จมูกของคิมรยูจิน

"กลิ่นหอมมาก รู้สึกเหมือนว่ากำลังเป็นบ้าเลยแฮะ"

กลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วเกินไปสำหรับสถานที่ที่ใครสักคนเพิ่งเสียชีวิตไป มันเหมือนกับตัววิลล่าเองกำลังบอกว่ามันไม่ผิดอะไร คิมรยูจินเดาะลิ้นเบา ๆ ก่อนจะหยุดชะงักขณะกำลังจะปีนข้ามหน้าต่าง ภายในและภายนอกเส้นแบ่งเขตของหน้าต่างนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเส้นแบ่งระหว่างความเป็นและความตาย คิมรยูจินเลียลิมฝีปาก เพราะริมฝีปากของเขารู้สึกแห้งผาก

แต่เขาก็เข้าไป

ในขณะที่เส้นแบ่งของชีวิตเขากำลังเลือนราง กล้องหนึ่งติดตามคิมรยูจิน และอีกกล้องอยู่ด้านนอกหน้าต่าง จับภาพระยะอกและภาพเต็มตัวของเขาเอาไว้ คิมรยูจินสำรวจห้องนั่งเล่นของวิลล่าอย่างเงียบ ๆ นอกเหนือจากเศษอาหารที่เหลืออยู่แล้ว บรรยากาศก็ดูเป็นปกติ

ผู้กํากับชินดงชุน ผู้ซึ่งกําลังดูเรื่องนี้ผ่านจอภาพตัดสินใจในใจ

'เดิมทีฉันควรจะตัดเทคอยู่แค่ตรงนี้ แต่ความมีชีวิตชีวาของตัวละครจะล้นออกมาได้หลายเท่าถ้าฉันถ่ายต่อ งั้นลองเทคกันเลยดีกว่า'

คิมรยูจินในวิลล่าพบห้องใต้ดิน มีศพอีกศพอยู่ที่นั่น ไม่สิ เขายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า? ในขณะนั้นเอง ได้มีเสียงดังมาจากชั้นบน ที่จริงแล้ว มันไม่มีเสียงอะไรดังขึ้นมาเลย แต่กลับได้ยินชัดเจนแจ่มแจ้งในหูของคิมรยูจิน

จริง ๆ แล้ว เสียงนี้จะถูกเพิ่มเข้ามาในขั้นตอนหลังของการถ่ายทำ

ดังนั้น คิมรยูจินในตอนนี้จึงได้แสดงตามจินตนาการและภาพลวงตาของเขา ยิ่งไปกว่านั้น 'สำนักงานนักสืบ' เป็นภาพยนตร์ที่เสียงเป็นส่วนสำคัญ ความสยองขวัญของเสียง แม้ว่าจะไม่เห็นรูปร่าง แต่เสียงนี้ก็คล้ายกำลังบีบรัดคอของคิมรยูจิน ทำให้การแสดงที่ดูอึดอัดของคิมรยูจินนั้นน่าสนใจมาก

ในไม่ช้า คิมรยูจินก็ซ่อนตัวอยู่ระหว่างเฟอร์นิเจอร์ที่พังไป

ในเวลาเดียวกัน ประตูห้องใต้ดินเปิดออกอีกครั้ง เสียงสนทนาของชายและหญิงดังขึ้นตามมา ไม่สิ ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ในห้องใต้ดิน แต่คิมรยูจินได้ยินชัดเจน

“จะทำยังไงกับไอ้เวรนั่นดี”

“ทำไมไอ้นี่มันยังไม่ตายอีก”

"เราไม่สามารถปล่อยให้พยานมีชีวิตอยู่ได้นะ"

เสียงผู้ชายมีน้ำเสียงเหมือนเหล็กกำลังขูดกัน อีกฝ่ายเอ่ยคำว่า 'พยาน' รวมอยู่ด้วย แสดงว่ามีพยานอีกคนในห้องใต้ดินนี้

กล้องถ่ายภาพใบหน้าของพยานคนนั้นอย่างใกล้ชิด และคิมรยูจินที่หมอบลงก็กลั้นหายใจและตัวสั่น นิ้วมือของเขาที่แตะพื้นนั้นเกร็ง กล้ามเนื้อที่น่องและต้นขาที่รองรับร่างกายของเขากระตุกเล็กน้อย เขาไม่สามารถหยุดร่างกายของเขาไม่ให้สั่นได้ ดูเหมือนว่าร่างกายของเขาคล้ายกําลังล้อเลียนคิมรยูจินอยู่

ไม่ว่าเขาจะสั่งมากแค่ไหน ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้านไปเอง เขาดูเหมือนคนที่กำลังหนาวจัด

หยุดนะ ได้โปรดหยุดที เขาไม่สามารถส่งเสียงอะไรได้เลย แม้แต่เสียงหายใจก็ตาม ความน่าสะพรึงกลัวของความเงียบได้คืบคลานเข้ามาทุกวินาที คิมรยูจินกลอกตาไม่หยุด แม้ว่าพื้นสีเทาหม่นจะไม่มีอะไรให้ดู แต่สายตาของเขาก็เคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่ง

เวร เวร เวร รีบไปสักทีสิ

สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือกลอกตา คิมรยูจินคิดว่าเขาอาจจะกำลังฉี่ราดตัวเอง  ถ้าเขาผ่อนคลายท้องน้อยลง ก็รู้สึกเหมือนปัสสาวะจะสามารถไหลออกมาอย่างราบลื่น งั้นต้องอดทนไว้ ตอนนี้แม้กระทั่งการหายใจก็ต้องกลั้นไว้ กล้ามเนื้อใบหน้าของคิมริวจินเริ่มกระตุกเล็กน้อย จนคล้ายร่างกายของเขามันแข็งทื่อไปหมด

เขาจดจ่ออยู่กับเสียงเท่านั้น ตั้งใจฟังเสียง

กระบวนการทั้งหมดเหล่านี้ถูกบันทึกไว้อย่างชัดเจนบนกล้อง นักแสดงที่ดูคิมริวจินผ่านจอภาพถึงกับอ้าปากค้างทุกคน

“……..”

“……..”

แต่ไม่มีใครเปล่งเสียงออกมาได้ นี่ไม่ใช่การแสดงที่พวกเขาจะสามารถประเมินมันด้วยตัวเองได้ แม้แต่การใช้สายตาและสมองก็ยังแทบไม่อาจเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเลย ไม่สิ มีนักแสดงบางคนที่ไม่สามารถเข้าใจได้เลยด้วยซ้ำ

เขาเป็นพวกโนเนมจริงหรอ?

แต่ช่องว่างที่ไม่น่าเชื่อนี้คืออะไรกัน? ท่ามกลางทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้น ผู้กำกับชินดงชุนที่กำลังมองไปที่จอภาพด้วยรอยยิ้มบ้าคลั่ง พึมพำอย่างแผ่วเบา

“มะ…มันอาจจะไม่ใช่ความฝัน ไม่สิ มันต้องได้ผล มันต้องต้องได้ผลแน่”

จากนั้นฮงเฮยอนที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็กระซิบ

“'เทศกาลหนังสั้นมิสอองแซง’ กำลังจะกลับตาลปัตรแน่ค่ะ หากพวกเขามอบรางวัลให้กับคนอื่นหลังจากได้ชมหนังสั้นเรื่องนี้ พวกเขาคงโกงแล้วล่ะ”

เธอหัวเราะขณะมองไปที่นักแสดงที่กำลังกลายเป็นเหมือนหุ่น

“งั้นพวกเราก็มาลงมือเต็มที่กันบ้างไหม?”

ในขณะเดียวกัน ที่ห้องทำงานของนักเขียนพัคอึนมี

หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมบทเมื่อไม่กี่สิบนาทีที่ผ่านมา นักเขียนพัคอึนมีและPDซงมันวูกำลังนั่งเคียงข้างกันบนโซฟา พวกเขาทั้งคู่กำลังดูทีวีขนาดใหญ่ ซึ่งมีฉากอ่านบทเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมากำลังเล่นอยู่

ทันใดนั้นเอง

"อืม..."

นักเขียนพัคอึนมีไขว้แขนของเธอ ถอดที่คาดผมออกและเดาะลิ้นของเธอ

“ที่กองถ่ายก็เป็นแบบนี้ แต่พอมาดูแบบนี้ยิ่งมั่นใจเลย โทรหาแทซังและบอกเขาว่าให้ตามมาสมทบเถอะค่ะ”

PDซงมันวูลูบเคราแพะของเขาพร้อมกับตอบไปในขณะที่จ้องมองไปที่ทีวี

“ผมโทรไปแล้ว เขากำลังฝึกฝนการแสดงแบบเก็บตัวครับ”

“ฝึกแบบเก็บตัว?”

“ใช่ครับ หลังจากการอ่านบท เขาก็ตั้งใจทำงานอย่างหนัก บีบเอาเวลาทุกนาทีที่ทำได้จากตารางงานของตัวเอง แม้แต่ผู้จัดการคังก็ยังแปลกใจ เขาบอกว่าคิมรยูจินได้ทำให้ไฟที่ดับมอดของเขาลุกโชนเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี”

“อืม แต่เราก็ต้องดูการแสดงของเขาด้วยตาตัวเองก่อน ถึงแทซังจะมีพลังใจดี แต่รายละเอียดการแสดงของเขามันยังไม่ถึงขั้น”

ในขณะนั้นเอง

"อา"

รองหัวหน้าพัคหรือคังวูจินปรากฏตัวในจอทีวี นักเขียนพัคอึนมีที่เฝ้าดูการแสดงของเขาอยู่ครู่หนึ่งได้โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย และบ่นพึมพำว่า

“ฉันรู้สึกตั้งแต่วันอ่านบทแล้วว่ามันแปลกประหลาด เสียงของเขาก็เพราะด้วย วิธีการเค้นและปล่อยคำชัดเจนไม่มีที่ติ ปกติฉันจะดูภาพรวมของการแสดงเป็นหลัก แต่วันนั้น ฉันถึงกับแอบแยกมาวิเคราะห์นิดหน่อย มันดูจะ.....”

“นั่นไม่ใช่แค่ความหลงใหลเหรอครับ?”

“คุณไม่รู้สึกแบบนั้นเหรอคุณPD? ดูนั่นสิ! การควบคุมความเข้มข้นของสีหน้า! ควบคุมจังหวะการแสดง!”

“แต่ผมเห็นอะไรอีกอย่าง”

"อะไรงั้นเหรอคะ?"

ในการตอบคำถามของเธอ PDซงมันวูก็เอนตัวลงไปบนโซฟาอย่างเต็มที่ สอดขาไขว้กัน

“ตอนนี้เขากำลังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ”

"อา"

“รองหัวหน้าพัคที่ผมเห็นครั้งแรก กับรองหัวหน้าพัคในวันนั้น ชัดเจนว่าต่างกัน เขาค่อย ๆ ขุดลึกลงไปมากขึ้น ดิบเถื่อนขึ้น ผมแน่ใจว่าเขาฝึกซ้อมอย่างหนักและทบทวนบทอยู่ซ้ำ ๆ แม้ว่าเราจะไม่รู้ก็ตาม นั่นแหละเป็นเหตุผลว่าทำไมมันถึงดูอันตรายนิดหน่อยด้วย”

“เขายังคงเรียนรู้ด้วยตัวเอง เพราะไม่มีใครอยู่รอบตัวเขา…คุณเองก็ควรจับตาดูเขาไว้นะคุณPD อย่าลืมสิว่าการกำกับไม่ใช่แค่การถ่ายถาพเท่านั้น”

“ตอนนี้เราคงต้องรอดูกันต่อไปก่อนครับ เขาเป็นเด็กที่แข็งแกร่ง ดังนั้นการแหย่เขาอาจเป็นผลเสียมากกว่าครับ”

PDซงมันวูได้ถอนหายใจเบา ๆ แล้วเปลี่ยนหัวข้อคุย

“ยังไงก็ตาม ต้องขอบคุณคังวูจินเลยที่ทำให้นักแสดงทุกคนมีไฟกันหมด ตอนที่ผมติดต่อพวกเขา พวกเขาทั้งหมดก็ดูเหมือนจะพยายามปรับปรุงคุณภาพการแสดงของตัวเองเหมือนแทซัง”

“สายตาของคนน่ะแม่นยำกันมากนะคะ แค่เพียงยืนอยู่ข้างคังวูจินก็รู้ได้ง่าย ๆ เลยว่าตัวเองกำลังแสดงแบบห่วยแตกหรือเปล่า”

“มันเป็นสถานการณ์ที่ตลกมากเลยนะครับ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพราะคนที่รับบทนำหรือตัวประกอบอย่าง รยูจองมินและฮงฮเยยอน แต่เป็นมือใหม่ไร้ชื่อที่เพิ่งเปิดเผยตัวออกมาว่าตนได้เล่นบทชูโรง”

“ตลกตรงไหนกันล่ะคะ? ต้นไม้บนภูเขาที่เติบโตอย่างมั่นคงมานานกว่า 100 ปี มันย่อมต้องแข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่ออยู่แล้ว”

“คังวูจินเป็นต้นไม้บนภูเขาอายุ 100 ปีเหรอครับ?”

นักเขียนพัคอึนมียักไหล่โดยไม่ปฏิเสธ

“ก็ในแง่อุปมาอุปไมย คงใช่แหละค่ะ ก็เขาเดินอย่างเงียบ ๆ และโดดเดี่ยวอยู่ตัวคนเดียว ทันใดนั้นก็ปรากฏตัวขึ้น นั่นแหละคือคังวูจิน”

จากนั้น PDซงมันวูก็หัวเราะเล็กน้อยแล้วมองไปที่คังวูจินในทีวีอีกครั้ง สัตว์ประหลาดอัจฉริยะตัวนั้นจะเติบใหญ่ขึ้นแค่ไหนเมื่อมันผ่านผลงานของเราและ ‘สำนักงานนักสืบ’ กันนะ? เขาอยากรู้เหลือเกิน อยากเห็นตัวละครทั้งหมดที่เขาทำให้มันมีชีวิตโดยการหลั่งเลือดออกมา

บางครั้งก็มักจะมีนักแสดงแบบนั้นโผล่ขึ้นมา

นักแสดงที่สร้างแรงบันดาลใจให้เกิดความทะเยอทะยานในตัวผู้กำกับผ่านการแสดงของเขาเอง หากแสดงแนวระทึกขวัญโดยสัตว์ประหลาดอัจฉริยะคนนี้จะเป็นยังไงนะ? หากเป็นแนวคอมเมดี้? แนวโรแมนติกคอมเมดี้? แอคชั่น? PDซงมันวูเริ่มคิดถึงภาพคังวูจินที่แสดงในหลายแนว

‘…ฉันอยากกำกับละครให้ทุกการแสดงของเขาเลย’

ถ้าเป็นไปได้ เขาก็อยากจะมีอย่างน้อยสักเรื่อง

“นั่นแหละนะคือเหตุผลที่ผมเลิกกำกับไม่ได้เสียที”

“หือ?”

ในไม่ช้า PDซงมันวูที่ก้มศีรษะเช็คเวลา

“ตอนนี้การถ่ายทำ ‘สำนักงานนักสืบ' คงเริ่มขึ้นแล้วล่ะครับ”

"อ่าจริงสิ ฉันเองก็อยากรู้นะคะ สงสัยเหลือเกินว่าพวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่”

“ผมก็อยากรู้ทิศทางการกำกับของเขาเหมือนกันครับ”

"แต่รู้ไหม ถ้างานของเราหรือ ‘สำนักงานนักสืบ’ ประสบความสำเร็จจริง ๆ… จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้?”

“อะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้งั้นเหรอครับ? ก็คนประหลาดอย่างคังวูจินจะกลายเป็นกระแสหลักไงล่ะครับ”

PDซงมันวูจินตนาการถึงอนาคตในหัวของเขา

“ไม่ต้องพูดก็รู้เลยว่า การแสดงของเขามันบ้า และถ้าเขามาร่วมงานด้วย ทักษะการแสดงของนักแสดงคนอื่น ๆ ก็จะเพิ่มขึ้นอีกขั้น จากนั้นคุณภาพของผลงานก็จะเพิ่มขึ้น แล้วถ้าทุกอย่างที่เขาถ่ายทำมันประสบความสำเร็จล่ะ? เขาคงกลายเป็นคนสำคัญอันดับหนึ่งในการคัดตัวนักแสดง แต่เอาเข้าจริง มันคงไม่มีทางที่ทุกอย่างจะประสบความสำเร็จหรอกครับ”

“แต่ถ้ามันสำเร็จทุกอย่าง ลัทธิคังวูจินคงจะถือกำเนิดขึ้น พอคิดแบบนี้ไปเรื่อย ๆ แล้ว มันก็ดูเหมือนเป็นคนที่ทำลายสมดุลทุกอย่างจริง ๆ นะคะ”

นักเขียนพัคอึนมีที่กำลังชื่นชมอย่างเงียบ ๆ เธอยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

“แต่ว่าคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง เพราะเราได้มีสายสัมพันธ์กับคนแบบนั้นมาอยู่ในมือแล้ว”

PDซงมันวูหัวเราะออกมา ก่อนจะแตะไหล่ของเธอเบา ๆ

“อะไรกัน คุณนักเขียนพัคอึนมี คุณคิดจะวางบทให้คังวูจินสำหรับงานต่อไปของคุณอยู่แล้วเหรอครับ?”

“คุณเองก็ด้วยไม่ใช่เหรอคะ? ที่หลังจากตั้งบริษัทผลิตของคุณแล้ว คุณคิดจะใช้คังวูจินในผลงานกำกับเรื่องแรกของคุณ? ฉันพูดผิดเหรอ?”

คังวูจินคล้ายกำลังแทรกซึมผ่านอนาคตของคนสองคนนี้อย่างลึกซึ้ง

“แหม ผมจะกล่าวแย้งยังไงกันดีล่ะครับเนี่ย”

แน่นอนว่า มันเป็นอนาคตที่เต็มไปด้วยความเข้าใจผิด

ในขณะเดียวกัน ภายในห้องประชุมของบริษัทภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่

ชายสองคนปรากฏอยู่ในห้องประชุมที่มีโต๊ะกลม คนหนึ่งอายุประมาณ 40 ปีตัวเตี้ย และชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าเขา ชายชราผู้นี้มีผมขาวปะปนกับขนคิ้ว

ยามนั้นเอง

"ผู้กำกับ! ผมเจอคนบ้าคนหนึ่งตอนที่กำลังหาตัวนักแสดง!”

ชายตัวเตี้ยตะโกนใส่ชายชราขณะยืนอยู่

"มันน่าทึ่งมากจริง ๆ ! จนผมถึงกับสงสัยเลยว่านั่นเป็นการแสดงหรือเปล่า!”

ชายชราลูบคางของเขา

“จริงเหรอ? จริงจังใช่ไหม? มันต้องยอดเยี่ยมแค่ไหนกันถึงทำให้หัวหน้าชเวตื่นเต้นมากได้”

“ไม่ใช่แค่ผมเท่านั้นนะครับ ทุกคนที่มาอ่านบท 'ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติจิตวิทยาเสเพล' ก็รู้สึกเหมือนกัน ‘รองหัวหน้าพัค’ แสดงเป็นฆาตกรไซโคพาธ แต่มันกลับดูแจ่มชัดที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา...ไม่สิ มันเหมือนเขาเป็นรองหัวหน้าพัคเลย! เขาข่มนักแสดงคนอื่น ๆ ที่นั่นหมดจนอยู่หมัด”

"อืม..."

“ผมรู้สึกได้ทันที! เขาเหมาะกับงานของคุณที่สุดเลยครับ!”

“เขาเหมาะสมกับบทบาทที่ผมกำลังคิดอยู่งั้นเหรอ?”

"ใช่ครับ! มันจุดประกายความคิดในหัวของผมจริง ๆ !”

ชายชราที่เฝ้ามองชายตัวเตี้ยอย่างตื่นเต้น ก็ถอนหายใจเบา ๆ พร้อมเอ่ยออกมาว่า

“อืม ผมก็รู้ดีว่าสายตาของหัวหน้าชเวนั้นแยบยลเพียงใด ว่าแต่เขาชื่ออะไรงั้นเหรอ?”

"เป็นชายหนุ่มร่างสูง ชื่อของเขาคือ คังวูจินครับ"

“เป็นคนโนเนมสินะ”

“แต่เขากำลังจะประสบความสำเร็จจริง ๆ นะครับ!  เขามีบุคลิกที่เย็นชาและดูแปลกประหลาด แต่บรรยากาศที่เขาเปล่งออกมา มันเป็นอะไรที่แตกต่าง แปลกประหลาดแต่เต็มไปด้วยความมั่นใจ และยังเข้าถึงได้ คือมันประมาณนี้น่ะครับ?”

“ผมไม่ได้สนเรื่องว่าเขาจะประสบความสำเร็จหรือเปล่า แต่โนเนมก็คือโนเนไม่ใช่เหรอ? ถึงจะดิ้นรนพยายามมากแค่ไหน สุดท้ายก็เป็นเพียงแค่นักแสดงโนเนมอยู่ดี”

“อ่า คือผมควรจะอธิบายยังไงดี... เขาเหมือนนักแสดงรุ่นเก๋าที่มีประสบการณ์มากมาย เขาสามารถแสดงได้อย่างราบรื่นต่อหน้าผู้คนนับร้อย แถมนอกจากนั้น เขาก็เรียนรู้การแสดงด้วยตัวเองด้วยครับ”

“งั้นเด็กคนนี้ต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ เขาจะไปเรียนรู้การแสดงโดยการศึกษาด้วยตนเองได้ยังไงกัน หยุดล้อเล่นได้แล้ว”

ชายชราเย้ยหยันเล็กน้อย ซึ่งในความเป็นจริง เขาเป็นถึงหนึ่งในผู้กำกับชั้นครูไม่กี่คนในประเทศ ไม่นานนัก เขาก็ยังคงพูดต่อไป

“แล้วเช็คสังกัดของเขาหรือยัง?”

“อา - เขายังไม่มีสังกัดครับ”

"ยังไม่มี? ได้ยังไงกัน? เหมือนมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลแฮะ”

“ให้เขาได้มาคัดตัวก่อนเถอะครับ! เชื่อผมในฐานะผู้กำกับฝ่ายผลิตสักครั้ง!”

"...อืม แล้วคุณได้ให้นามบัตรเขาไปหรือเปล่า?"

"ให้ครับ! เขาเห็นชื่อบริษัทภาพยนตร์ของเราแล้ว ดังนั้นเขาคงจะติดต่อเราอย่างแน่นอน ถ้าเขาไม่ติดต่อมา ผมจะติดต่อ PDซงมันวูด้วยตัวเองเลย!”

ในไม่ช้า ชายชราก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นจากที่นั่งและพยักหน้าเล็กน้อย

“ได้ ให้เขามาคัดตัว”

*****

ติดตามผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay , ลงแค่ในThai-novelและMy-Novelเท่านั้น หากอ่านที่อื่นรบกวนมาสนับสนุนทีนะครับ หรือจะมากดไลก์แฟนเพจก็ได้ กระซิก กระซิก ;-;

5 2 โหวต
Article Rating
4 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด