บทที่ 12: ความคิดของบุตรสาว!
หลินซวนพยักหน้า
รูปแบบรวบรวมวิญญาณในสายตาของเขา ไม่ใช่รูปแบบที่ลึกซึ้ง
เมื่อเห็นสีหน้าความมั่นใจของเฟิงจี้ฟาน ดูเหมือนว่าเขาน่าจะแก้ปัญหาได้อย่างแน่นอน ดังนั้นก็ปล่อยให้เขาแก้ปัญหาไปก็แล้วกัน
หลังจากได้รับความยินยอมจาก หลินซวน เฟิงจี้ฟ่านก็หันหลังและรีบตรงไปค่ายกลรวบรวมวิญญาณทันที
ในเวลานี้ ค่ายกลรวบรวมวิญญาณ กลิ่นอายที่เดิมรวบรวมไว้ที่ศูนย์กลางกำลังพลุ่งพล่านอย่างไม่เป็นระเบียบ
ดูเหมือนขวดโหลที่เต็มไปด้วยรู ทำให้มีน้ำไหลทะลักออกมาจากทุกรูที่รั่วซึม
“โชคดีที่ข้าพอมีความรู้เกี่ยวกับค่ายกล มิฉะนั้น หากการฝึกฝนวันนี้ของฝ่าบาทถูกยกเลิก ข้าจะต้องถูกลงโทษโดยฝ่าบาทอย่างแน่นอน!”
เฟิงจี้ฟ่านที่คิดในใจ พร้อมกับแผ่พุ่งแก่นแท้ถ่ายพลังเข้าไปด้านในค่ายกล.
เมื่อถ่ายพลังลงไปในตาค่ายกล รูปแบบก็เริ่มทำงานใหม่อีกครั้ง รวบรวมพลังจิตวิญญาณมารวมไว้ที่ใจกลาง.
ด้วยความเข้าใจรูปแบบค่ายกลไม่น้อย ทำให้เขาเริ่มทำการบังคับให้ค่ายกลใช้งานได้อีกครั้ง ด้วยการใช้พลังของตัวเองในการเสริมและหนุน.
ฟู่~
ม่านพลังที่ก่อตัวเหมือนกับฟิล์มขนาดใหญ่ ปกคลุมในพื้นที่รัศมีสองลี้ในทันที.
ค่ายกลรวมวิญญาณเริ่มทำงานอีกครั้งโดยสมบูรณ์.
เด็กสาวทั้งสาม เสวียนจู่,เสวียนซี และ เสวียนหาน ต่างก็กระพริบตาขณะจ้องมองไปยังเฟิงจี้ฟ่าน
หลังจากนั้นไม่นาน เสวียนจู่ที่กำหมัดเล็ก ๆ ของนางไว้ พร้อมกับเอ่ยออกมาว่า "อย่าซ่อม! อย่าซ่อมมัน!"
เสวียนซี และ เสวียนหาน เผยท่าทางคาดหวังออกมาด้วยเช่นกัน "ใช่ อย่าซ่อมมัน!"
มีเพียงแค่เสวียนหยูเท่านั้นที่เอ่ยออกมาว่า“ไม่! ข้าอยากให้ลุงเฟิงซ่อมมัน!”
หลินซวน แสดงท่าทางอยากรู้อยากเห็น จึงเอ่ยสอบถามออกมาว่า "เสวียนจู ทำไมลูกไม่ต้องการให้ซ่อมแซม ค่ายกลรวมวิญญาณล่ะ?"
เสวียนจู,เสวียนซี และ เสวียนหาน เหลือบมองหน้ากัน และพวกนางทั้งหมดก็แสดงสีหน้าเขินอาย.
ท่าทางของพวกนาง ราวกับกลัวว่าจะถูกหลินซวนตำหนิ
หลินซวนเผยยิ้มเล็กน้อย: "โปรดเอ่ยอย่างกล้าหาญ พ่อจะไม่ตำหนิเจ้า"
เสวียนจู่พยักหน้าและเอ่ยออกมาว่า "เสด็จพ่อ การฝึกกระบี่ มันน่าเบื่อเกินไป!"
เสวียนซีเอ่ยเสริม "ใช่ ๆ มันน่าเบื่อจริงๆ!"
เสวียนหาน: "อืม!"
เสวียนหยูวางมือบนสะโพก เอียงศีรษะกล่าวอย่างไม่มั่นใจ: "มันไม่น่าเบื่อเลย การฝึกฝนกระบี่ สนุกที่สุด!"
“เจ้าไม่ชอบฝึกกระบี่รึ?” หลินซวนยังคงถามต่อ
เสวียนจู่ส่ายหน้า: "ไม่ แต่ทุกครั้งที่เราสี่คนต้องฝึกท่าเดียวตลอด มันน่าเบื่อจริง ๆ"
"เป็นเช่นนี้นะเอง." ในที่สุด หลินซวน ก็เข้าใจความคิดของเด็ก ๆ
เนื่องจากการฝึกกระบวนท่ากระบี่ของพวกนางได้รับการสอนโดยตงหวงจื่อโหยว และต้องฝึกฝนซ้ำด้วยตัวเองหากตงหวงจื่อโหยวไม่อยู่.
และเนื่องจากตงหวงจื่อโหยวไม่อยู่ ครูฝึกเองก็สอนได้เพียงไม่กี่กระบวนท่าเท่านั้น.
คิดดูแล้วมันก็น่าเบื่อจริง ๆ
แม้ว่าตงหวงจื่อโหยวจะมีความสามารถ แม้ว่าจะเป็นแผนการง่าย ๆ ให้เด็กหญิงตัวน้อยฝึกฝนตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งหากพวกนางเรียนรู้พวกมันได้ ก็จะได้รับประโยชน์ไม่มีสิ้นสุดเช่นกัน.
อย่างไรก็ตาม สำหรับเด็ก ๆ การทำอะไรซ้ำ ๆ ซาก ๆ ตลอดเวลาเป็นเรื่องที่น่าเบื่อมาก
ท้ายที่สุดแล้ว สมาธิของพวกนางก็ยังด้อยกว่าผู้ใหญ่
เสวียนหยู เป็นคนที่ชีวิตชีวามากโดยธรรมชาติ สำหรับปีศาจตัวน้อยเช่นนาง ตราบใดที่ยังมีการเล่นขยับร่างกาย นางก็รู้สึกสนุกเสมอ
หลินซวนเผยยิ้มแล้วเอ่ยออกมาว่า: "กระบี่ต้องได้รับการฝึกฝน แต่จากวันนี้เป็นต้นไป พ่อจะอยู่กับพวกเจ้าตลอดไป"
เสวียนจู่และคนอื่น ๆ คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าพวกนางมีเสด็จพ่อไปด้วย ก็ไม่เป็นไร!
“ตกลง เสด็จพ่อพวกเราจะฝึกซ้อมกันต่อ!”
สาวน้อยแสดงท่าทางร่าเริงอีกครั้ง
ปัง!
ขณะที่ หลินซวน กำลังพูดคุยกับเด็ก ๆ ก็มีเสียงระเบิดรุนแรงดังขึ้นอีกแล้ว.
พบว่าแสงสีทองที่ควบแน่นนั้นไม่เสถียรเกิดการปะทุระเบิดขึ้นมาอีกครั้ง.
แสงสีทองที่ระเบิดพุ่งกระแทกเฟิงจี้ฟ่านที่ไม่อาจหลบได้ทัน.
ร่างกายของเขาถูกกระแทกกระเด็นออกมาสิบก้าว.
“ให้ตายเถอะ ล้มเหลว!” เฟิงจี้ฟ่านรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก.
ด้วยฐานบ่มเพาะ วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เขากลับไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะซ่อมแซมค่ายกลรวบรวมวิญญาณนี้ได้เลย
เวลานี้เขาเริ่มตระหนักได้ ไม่ใช่แค่ฐานบ่มเพาะไม่พอ ความรู้เรื่องค่ายกลของเขาก็ยังไม่พอด้วยเช่นกัน.
ค่ายกลรวบรวมวิญญาณนี้ซับซ้อนกว่าที่เขาคิดไว้.
“ดูเหมือนว่า คงมีเพียงคนที่สร้างมันขึ้นมาเท่านั้น ถึงจะซ่อมได้”
ขณะเฟิงจี้ฟ่านกำลังอธิบายสถานะการณ์ให้กับหลินซวนฟังอยู่นั้น.
ก็ปรากฏลมกรรโชกกลุ่มหนึ่งพัดแรงผ่านมา.
แสงและเงาเลื่อนไหลเป็นประกาย.
ชายชราผมขาวในชุดคลุมสีเทา ก็มายืนอยู่ข้าง ๆ เฟิงจี้ฟ่านแล้ว
“ผู้อาวุโสหรง ท่านอยู่ที่นี่!”
จู่ ๆ เฟิงจี้ฟ่านก็เอ่ยทักทายออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม.
ชายชราผมขาวเป็นผู้สร้างค่ายกลรวบรวมวิญญาณนี้
ปรมาจารย์แห่งค่ายกลสงคราม ปรมาจารย์ค่ายกลประจำวังเสวียนปิง หรงฮุย
หรงฮุยมีชีวิตอยู่มานานกว่า 1,300 ปีแล้ว แม้ว่าการฝึกฝนของเขาจะอยู่ในขอบเขตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น
ทว่าเขาก็คือคนที่มีความรู้เรื่องค่ายกลมากที่สุดในเป่ยเสวียนเทียน.
ด้วยความสามารถในการสร้างค่ายกลที่ยอดเยี่ยม กระทั่งจักรพรรดิองค์แรกก็ยังใช้งานเขา.
หลังจากที่จักรพรรดินี ตงหวงจื่อโหยว ขึ้นครองบัลลังก์ นางก็ให้ความสำคัญกับหรงฮุยเป็นอย่างมาก
ค่ายกลรวมวิญญาณที่สร้างพิเศษสำหรับบุตรนาง อีกฝ่ายก็ได้รับความไว้วางใจให้เขามาสร้างขึ้นเป็นการเฉพาะเช่นกัน.
หรงฮุยพยักหน้าไปทางเฟิงจี้ฟาน จากนั้นจ้องมองไปยังค่ายกลรวบรวมวิญญาณ
“ข้าเพิ่งผ่านวังหลังมา พบว่าพลังทางจิตวิญญาณกำลังพลุ่งพล่านขึ้นที่นี่ แต่ข้าไม่ได้คาดคิดเลยว่า จะมีปัญหากับค่ายกลรวบรวมวิญญาณ”
หรงฮุยขมวดคิ้วและพึมพำกับตัวเอง
เฟิงจี้ฟ่านเอ่ยถาม: "ผู้อาวุโสหรง ท่านรู้ไหมว่าทำไมค่ายกลที่นี่ถึงได้วุ่นวายสับสนขึ้นมาทันที."
หรงฮุยมองอย่างระมัดระวังแล้วเอ่ยออกมาว่า: "การสร้างค่ายกลก็เหมือนกับการสร้างบ้าน เมื่อรากฐานไม่มั่นคง ก็มักมีปัญหาเกิดขึ้น"
“ค่ายกลรวบรวมวิญญาณแห่งนี้ เป็นค่ายกลที่ข้าสร้างขึ้นโดยปรับองค์ประกอบธาตุทั้งห้าและดวงดาราเจ็ดดวงให้ผสานกันอย่างลงตัว เพื่อดึงดูดพลังงานทางจิตวิญญาณของสวรรค์และปฐพี”
“การที่เกิดความผิดพลาดเช่นนี้ขึ้น เป็นเพราะว่าพลังห้าธาตุและดาราทั้งเจ็ดเปลี่ยนไป.”
เฟิงจี้ฟ่านที่เผยความประหลาดใจ เอ่ยสอบถามออกมาด้วยความสงสัย “พลังธาตุทั้งห้าและดวงดาราทั้งเจ็ดเปลี่ยนแปลงได้ด้วยรึ?”
"แน่นอน." หรงฮุยพยักหน้า
“ไท่ชิ คือ หยินหยางประกอบด้วยสองด้าน ขัดแย้งกัน และ พึ่งพากัน จนแยกจากกันไม่ได้ หยินหยางก่อกำเนิดฤดูกาลทั้งสี่ ทุกสิ่งมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอยู่ตลอดเวลา”
“สวรรค์ ปฐพี ห้าธาตุ กลุ่มดาวหมีใหญ่ พวกมันก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาเช่นกัน”
หลังจากได้ยินเรื่องดังกล่าว เฟิงจี้ฟ่านที่ครุ่นคิดจากนั้นก็เอ่ยออกมาว่า“ถ้าเช่นนั้น ตามคำพูดของคนรุ่นก่อน ไม่มีค่ายกลใดที่คงอยู่ชั่วนิรันดรอย่างงั้นรึ?”
“ไม่ได้หมายความเช่นนั้น”หรงฮุ้ยที่นำตราผนึกสีทองทั้งสี่ออกมา.
“ตราผนึกศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่นี้เป็นสมบัติทางจิตวิญญาณ”
“ข้าเคยคิดว่ามันไม่จำเป็น แต่ตอนนี้เพื่อองค์หญิง ข้าจะใช้มัน!”
หลังจากเอ่ยจบ เขาก็ร่ายคาถาเบา ๆ และโยนตราประทับศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ที่ขยายใหญ่ออกมา พร้อมกับรวมผสานเข้าไปในค่ายกลรวมวิญญาณ.
ทันใดนั้น แสงสีทองก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง.
ตราผนึกทั้งสี่ที่กระจายไปยังค่ายกลทั้งสี่ทิศ.
ก็เหมือนกับเสาหลักของบ้านทั้งสี่ที่ยึดค่ายกลรวมวิญญาณไว้ ทว่าเวลานี้มันถูกตรึงให้มั่นคงเป็นอย่างมาก.
เมื่อแสงสีทองเริ่มสลัว กลิ่นอายที่หนาแน่นที่รั่วกระจายออกไปรอบ ๆ ก็ถูกบีบอัดกลับเข้ามาอย่างรวดเร็วด้วยพลังมหาศาล
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เฟิงจี้ฟ่านก็อดไม่ได้ที่จะลอบถอนหายใจ: "สมควรเป็นสมบัติทางจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ตราผนึกทั้งสี่นั้นทรงพลังมากจริงๆ"
ปัง!
หากแต่เขาเอ่ยยังไม่จบดีด้วยซ้ำ ก็เกิดระเบิดขึ้นทันที.
กลิ่นอายที่บีบอัดกลับเข้ามานั้นวุ่นวายสับสนและยังรุนแรงยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ซะอีก.
หรงฮุยและเฟิงจี้ฟ่านต้องถอยออกมาหลายสิบก้าว จากการถูกผลักด้วยแรงกระแทกอันทรงพลังที่ไหลบ่าออกมา.
“เป็นไปได้ยังไง?” หรงฮุยขมวดคิ้ว
“การปิดกั้นสงวนพลังงานนั้นไม่ได้ดีเท่ากับการกระจาย ค่ายกลที่เสียหายแล้วการปิดกั้นมีแต่จะทำให้ผลการปิดกั้นแย่ลงกว่าเดิม.”
ในเวลานั้น มีเสียงดังมาจากด้านหลัง ทำให้ดวงตาของหรงฮุยเป็นประกาย
หลินซวนได้พาบุตรสาวทั้งสี่เข้ามายืนอยู่ด้านหลังหรงฮุ่ยและเฟิงจี้ฟ่าน
เขาคิดว่า เฟิงจี้ฟ่านและหรงฮุยจะช่วยจัดการแก้ปัญหานี้ได้.
แต่เวลานี้ดูเหมือนว่าเรื่องง่าย ๆ ที่เขาคิด จะไม่ง่ายสำหรับพวกเขาจริง ๆ.
หรงฮุยรีบหันกลับมา: "ท่าน?"
ฟานจี้ฟ่านแสดงความเคารพ: "เขาคือ ตี้ฟู่!"
“คารวะตี้ฟู่!” หรงฮุยที่แสดงความเคารพ จากนั้นก็เอ่ยออกมาว่า“สิ่งที่ตี้ฟู่เอ่ยเมื่อครู่นี้ โปรดช่วยชี้แนะได้หรือไม่?”
เพียงแค่คำพูดเล็กน้อยจากหลินซวน ทำให้หรงฮุยรู้สึกราวกับว่าได้พบกับผู้เชี่ยวชาญ.