ตอนที่ 198 สิ่งที่คาดไม่ถึง (ฟรี)
ตอนที่ 198 สิ่งที่คาดไม่ถึง
ภายในโลกมาร เขาไม่สามารถใช้พลังของตนได้ แต่ภายนอกโลก เขาสามารถอนุมานโลกใบนี้ได้โดยตรง ทำความเข้าใจกฎของมัน และหาทางทำลายวัฏจักร นั้นอาจจะเป็นไปได้
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ซูหยางก็ลองในทันที
ภายนอก ร่างหลักของเขาใช้เจตจำนงดาบเพื่อปกคลุมทั่วทั้งโลกมาร และกระตุ้นวิชาดาบกรรมเพื่อเริ่มรวบรวมข้อมูลที่เขาต้องการ อนุมานว่าโลกนี้จะดำเนินไปอย่างไร และอิงจากฏอะไร
หลังจากพยายามอยู่ช่วงหนึ่ง เขาก็ประสบความสำเร็จจริงๆ
ในขณะนี้ ในโลกมาร ซูหยางมองเห็นโลกใบนี้จากมุมมองที่ต่างออกไป
สายใยแห่งกรรมสีทองห้าเส้นปรากฏขึ้นในมุมมองของเขา และทิศทางที่ทั้งห้าเชื่อมโยงไปนั้นเป็นเบาะแสเกี่ยวกับการการทำลายวัฏจักร
หนึ่งในนั้นคือ ทิศทางที่เขากำลังมุ่งหน้าไป
ดูเหมือนว่านั้นจะเป็นตัวแทนของนักพรตเฒ่าที่ได้รับบาดเจ็บ
หากคนอื่นต้องการทำแบบเดียวกับซูหยาง พวกเขาก็ต้องเชื่ยวชาญกฏแห่งกรรม และแข็งแกร่งกว่าเทพมารผู้ถักทอโลกนี้
เทพมารที่อยู่ตรงหน้าซูหยางตอนนี้เป็นเพียงอมตะสวรรค์เท่านั้น เขาจึงสามารถอนุมานโลกทั้งใบที่ถูกถักทอโดยอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย
หากเทพมารที่ถักทอโลกมารนี้แข็งแกร่งกว่าซูหยาง เขาก็คงจะไม่สามารถอนุมานอะไรได้
และด้วยความช่วยเหลือจากความสามารถนี้ ซูหยางจึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลามากในการรวบรวมข้อมูลในโลกมาร
ด้วยวิธีนี้ เขาสามารถค้นหาเบาะแสสำคัญทั้งหมดเพื่อทำลายวัฏจักรได้โดยตรง
สายใยแห่งกรรมเหล่านี้ได้บอกซูหยางถึงบางอย่างที่สามารถส่งผลกระทบต่อโลกมาร และเป็นกุญแจสำคัญสู่การทำลายโลกใบนี้
แต่ก็ไม่ได้มีการระบุข้อมูลเฉพาะเจาะจง ว่าจะต้องทำอะไรถึงจะสร้างผลกระทบต่อโลกได้
ซูหยางจำเป็นต้องสำรวจสิ่งเหล่านั้นด้วยตัวเอง
แต่สิ่งนี้ก็ช่วยประหยัดเวลาของเขาลงได้มาก เขาไม่จำเป็นต้องวิ่งเต้นไปทั่วเหมือนเฉาเทียนเล่อ และคนอื่นๆ หลังจากเข้ามาในโลกนี้ และต้องค่อยๆ รวบรวมข้อมูลด้วยตัวเอง
ถ้าพลาดแม้แต่อย่างเดียวก็ต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
หากละเลยข้อมูลสำคัญบางอย่างก็อาจทำให้ต้องติดอยู่ที่นี่ และไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้
เมื่อติดชะงักก็ไม่มีทางที่จะทำลายวัฏจักรได้
แต่ซูหยางจะไม่เป็นเช่นนั้น เขาจะไม่พลาดข้อมูลใดๆ ภายใต้การชี้นำของสายใยแห่งกรรม
มีสายใยแห่งกรรมอยู่ห้าเส้น หลังจากไปถึงจุดหมาย เขาก็จะได้เห็นว่าอีกสี่เส้นเชื่อมโยงไปถึงอะไร
เนื่องจากตอนนี้ พวกเขาเป็นเพียงคนธรรมดาจึงใช้เวลาเดินถึงสี่ชั่วโมงเต็มเพื่อไปช่วยเหลือนักพรตเต๋าที่ได้รับบาดเจ็บ
สี่ชั่วโมงต่อมา ในที่สุดพวกเขาก็พบนักพรตเต๋าที่เชิงภูเขา
ตามคำกล่าวของเฉาเทียนเล่อ และคนอื่นๆ พวกเขาได้ยินข้อมูลเกี่ยวกับชายชราคนนี้จากชาวบ้าน
โดยปกติแล้ว ชาวบ้านในหมู่บ้านหลิวเจียจะไม่ได้พบกับชายชราคนนี้จนถึงช่วงบ่าย และเมื่อพบอีกฝ่ายก็กลายเป็นศพไปแล้ว
เพื่อที่จะทราบข่าวนี้ พวกเขาท่องโลกมารถึง 30 ครั้งก่อนที่จะค้นพบมัน
ถ้าเป็นซูหยาง ด้วยความสามารถของเขา เขาสามารถล็อคตำแหน่งนี้ และมุ่งเป้ามาที่นี่ได้อย่างง่ายดาย
ข้อมูลสำคัญนี้เกี่ยวโยงกับสายใยแห่งกรรมเส้นหนึ่ง แต่มีอีกสี่เส้น
บางที หากการทำตามการชี้นำ และค่อยๆ ทำความเข้าใจสถานการณ์ในส่วนที่เหลือ เขาก็จะสามารถทำลายโลกมารใบนี้ได้
ซูหยางแอบคาดเดาในใจ แต่ตอนนี้ พวกเขาต้องแบกนักพรตเฒ่ากลับไปก่อน
หลังจากใช้เวลาแบกอยู่สักพักหนึ่ง พวกเขาก็กลับไปถึงหมู่บ้านหลิวเจีย
นักพรตเฒ่าที่อ่อนแอ และบาดเจ็บนอนอยู่บนเตียงในโรงหมอ
“ขอบคุณพวกเจ้าทุกคนที่ช่วยข้าไว้ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเจ้า ข้าคงตายไปแล้ว แต่ตอนนี้ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส พวกเจ้าจะช่วยข้าหาหญ้าแห่งชีวิตมาได้หรือไม่ เมื่อหายดีแล้วข้าจะให้รางวัลอย่างงาม”
“ท่านนักพรตเต๋า ข้าไม่รู้ว่าหญ้าแห่งชีวิตนี้อยู่ที่ไหน แล้วเราจะได้มันมาอย่างไร?”
“ในภูเขาไป๋หมิงนี้มีหญ้าแห่งชีวิตเติบโตอยู่ในถ้ำพยัคฆ์ ตราบใดที่พวกเจ้าได้มันมาข้าก็จะสามารถฟื้นตัวได้เร็วยิ่งขึ้น…”
“ไม่ต้องกังวล เราจะไปหามันมาโดยเร็วที่สุด”
หลังจากจบการสนทนา เฉาเทียนเล่อก็พาทุกคนไปยังภูเขาไป๋หมิง
นี่เป็นกุญแจสำคัญสำหรับทุกคนในการพัฒนาความแข็งแกร่ง ตราบใดที่พวกเขาได้รับหญ้าแห่งชีวิตมา นักพรตเฒ่าก็จะฟื้นตัวได้ และให้เม็ดยาแก่พวกเขาเป็นรางวัลตอบแทน เมื่อนั้นความแข็งแกร่งของพวกเขาก็จะยกระดับขึ้น
ในมุมมองของซูหยาง นี่เหมือนกับการรับภารกิจ ทำภารกิจให้สำเร็จ จากนั้นปลดล็อกความแข็งแกร่งบางส่วน
มันต่างกันเพียงเมื่อการสนทนาจบลง ในสายตาของเขาก็มีการปรากฏของสายใยแห่งกรรมเพิ่มเติม
มันเพิ่มขึ้นจากห้าเป็นหกเส้น
ทำไมเป็นเช่นนี้?
ซูหยางนึกถึงตอนที่หารือกับเฉาเทียนเล่อ และคนอื่น ๆ อย่างรอบคอบ และในไม่ช้าเขาก็นึกได้ถึงประเด็นสำคัญ
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมารนั้นถูกกำหนดเอาไว้ และบางสิ่งจะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในทุกช่วงเวลา
แต่ก่อนถึงช่วงเวลานั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ปรากฏขึ้น
ตัวอย่างเช่น หญ้าแห่งชีวิตที่พวกเขาต้องหานั้นจะไม่ปรากฏจนกว่าจะถึงเวลาหนึ่ง หรือต้องทำตามเงี่อนไขบางอย่างก่อนจึงมีปรากฏในภูเขาไป๋หมิง
ฉะนั้น ก่อนที่หญ้าแห่งชีวิตจะปรากฏขึ้น วิชาดาบกรรมของเขาก็ไม่สามารถอนุมานผ่านห่วงโซ่เหตุและผลได้
ท้ายที่สุด ถ้าไม่มีในโลก มันก็ไม่มีทางหาทางเชื่อมโยงได้
ดูเหมือนว่าเมื่อเวลาผ่านไป ก็จะมีสายใยแห่งกรรมในโลกนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
มีเพียงการค่อยๆ สำรวจปัจจัยต่างๆ และมองหากุญแจสำคัญเท่านั้นที่จะทำให้มีโอกาสทำลายโลกมาร
“สหายเฉา ในเมื่อนักพรตเฒ่าคนนั้นสามารถให้บางสิ่งแก่เราเพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งของเราได้ ทำไมเราจึงไม่ขอให้เขามอบมันให้เราก่อน?” ซูหยางถามอย่างสงสัย
“ข้าเคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ถ้าเขาไม่ได้รับหญ้าแห่งชีวิต เขาก็จะไม่มอบมันให้เรา” เฉาเทียนเล่ออธิบาย
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ปล้นเขาได้ไม่ใช่เหรอ? เขาคงเอาชนะเราไม่ได้เพราะตอนนี้เขากำลังได้รับบาดเจ็บอยู่”
ท้ายที่สุด นี่เป็นเพียงโลกมายาที่ขับเคลื่อนโดยเทพมาร โดยธรรมชาติแล้ว ซูหยางจะไม่ได้คิดที่จะแสดงตามบทบาทมากนัก
“เราเคยลองแล้ว แต่หากเราปล้นเขาโดยตรง แม้จะได้รับบาดเจ็บ นักพรตเฒ่าผู้นั้นก็ยังสามารถใช้ทักษะบางอย่างได้ ด้วยความแข็งแกร่งของคนธรรมดา เราจะถูกฆ่าตายในทันที”
“งั้น ในเมื่อชายชราคนนี้จะตายหลังเที่ยง เราก็รอจนกว่าจะถึงตอนนั้นได้ไม่ใช่เหรอ?”
“นั้นทำไม่ได้ ไม่รู้ว่าทำไม แต่มีเหตุจำเป็นที่เราต้องไปที่นั่นในตอนเช้าเพื่อช่วยเขาก่อน ถึงจะได้รับบางสิ่งบางอย่างจากมือของเขา และใช้มันเพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งของเรา ถ้าเราไปช้า และเขาเกิดตายขึ้นมาจริงๆ จะไม่เหลืออะไรทิ้งไว้เลย”
“ไม่เหลืออะไรเลย?”
“ข้าก็ไม่แน่ใจนัก มันอาจจะเป็นฝีมือของสัตว์อสูร เพราะนักพรตเฒ่าได้รับบาดเจ็บจากน้ำมือของสัตว์อสูร”
“หากเราไม่ช่วยเขา เราก็จะสู้กับสัตว์อสูรไม่ได้ เหตุผลหลักที่ทำให้เราต้านทานศัตรูได้ง่ายขึ้นก็เพราะนักพรตเฒ่าคนนั้น”
"อืม"
หลังจากทำความเข้าใจแล้ว ซูหยางและคนอื่นๆ ก็มาที่ภูเขาไป๋หมิง และมาถึงถ้ำพยัคฆ์
เฉาเทียนเล่อ และคนอื่นๆ คุ้นเคยกับเรื่องนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นหลังจากมาถึงที่นี่ พวกเขาก็เริ่มวางกับดัก และเตรียมล่าเสือในถ้ำพยัคฆ์
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ซูหยางก็งงงวยเล็กน้อย และพูดว่า "ด้วยจำนวน และความแข็งแกร่งของเรา การฆ่าเสือควรเป็นเรื่องง่าย ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย เป็นไปได้ไหมว่าเสือตัวนั้นมีทักษะบางอย่างด้วย"
เฉาเทียนเล่อ และคนอื่นๆ หยุดการเคลื่อนไหว และแข็งค้างไปทีละคน
คนธรรมดาจะฆ่าเสือได้ยังไง?
“สหายซู มันจะง่ายเช่นนั้นได้อย่างไร?”
“ในโลกมารใบนี้ เราก็ทำได้เพียงใช้พลังของคนธรรมดาเท่านั้น ไม่สามารถเกินกว่านั้นได้”
เมื่อได้ยิน ซูหยางจึงตอบว่า
“สำหรับผู้ฝึกฝน หากเดินบนเส้นทางแห่งการบ่มเพาะแม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่ใช่คนธรรมดาแล้วก็จริง แต่สำหรับนักสู้ ผู้ที่มีความแข็งแกร่งไม่เกินสองพันจินก็ถือได้ว่ายังเป็นคนธรรมดาอยู่”
“ด้วยความแข็งแกร่งเกือบสองพันจิน นั้นจะเป็นสมรรถภาพทางกายขั้นสุดยอดในหมู่คนธรรมดา เมื่อควบคู่ไปกับปฏิกิริยา และทักษะของเรา การฆ่าเสือก็ไม่น่ายากหรอกใช่ไหม?”
ซูหยางค่อยๆ อธิบายเหตุผล
"อา…นี่"
เฉาเทียนเล่อ และคนอื่นๆ ตกตะลึง
ทำแบบนี้ได้ด้วยรึ?
พวกเขาเป็นผู้ฝึกฝนจึงไม่ได้ขัดเกลาร่างกายมากนักจึงลืมคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไป และจากที่ซูหยางกล่าวมันดูเหมือนจะไม่ได้ผิดกฏอะไร