MDB ตอนที่ 438 อักษรภาพของเต้าจวิน
ตั้งแต่เจียงจือฉีหยิบยกหัวข้อนี้ขึ้นมา คนอื่น ๆ ก็เริ่มพูดขึ้น
เต้าจวินไม่เพียงแต่มีทักษะด้านวรยุทธ์เท่านั้น แต่เขายังเป็นผู้เชี่ยวชาญในการควบคุมสัตว์วิเศษอีกด้วย และนี่เป็นข้อเท็จจริงที่เล่าขานกันมาอย่างปากต่อปาก พวกเขายังเริ่มพูดถึงวีรกรรมอันโดดเด่นของเขาด้วย
มีเรื่องเล่าของเต้าจวินว่าเขาขี่มังกรไปในทะเลตะวันออก หรือการฆ่าสัตว์ปีศาจแมลงอย่างโหดร้ายไปทั่วแผ่นดิน หรือการกำจัดฝูงตั๊กแตน
เมื่อได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ หลินจินก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงการเผชิญหน้าของเขาที่ภูเขากู่คอง
เต้าจวินมีสาวกหกคนที่เรียกว่าเต๋าหกอสูร และเต๋าแมลงก็เป็นหนึ่งในนั้น
แม้ว่าเรื่องราวเหล่านี้ฟังดูเหมือนเทพนิยาย แต่ก็มีแนวโน้มว่าเรื่องราวเหล่านี้จะเป็นเรื่องจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาเผชิญหน้ากับเต๋าแมลง
ทั้งกลุ่มผู้มาเยือนยังคงพูดคุยต่อไป โดยเปิดเผยข้อมูลและเรื่องราวทั้งหมดที่พวกเขาเคยได้ยินเกี่ยวกับเต้าจวิน มันเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่มีชีวิตชีวาที่สุดในห้องโถงเยี่ยมชม
แน่นอนว่า พวกเขายังสงสัยว่าเหตุใดจู่ ๆ ภัณฑารักษ์จึงให้ความสนใจในเต้าจวินผู้ไม่มีใครเทียบเมื่อหลายร้อยปีก่อนด้วย
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากภัณฑารักษ์ไม่ได้ให้เหตุผลเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาจึงไม่คิดจะถามอะไรเช่นกัน นั่นคือฉันทามติที่พวกเขาเห็นพ้องต้องกันเมื่อนานมาแล้ว
ทันใดนั้น เจ้าชายแห่งอาณาจักรเกลียวสวรรค์ เฟิงจือเฉียนก็พูดอะไรบางอย่างที่กระตุ้นความสนใจของหลินจินในทันที
“ภัณฑารักษ์ ในคลังสมบัติของอาณาจักรของข้า ดูเหมือนว่าจะมีอักษรภาพของเต้าจวินที่กล่าวกันว่าเป็นผลงานของเขา
อย่างไรก็ตาม คนทั่วไปไม่สามารถเข้าใจได้ พอดีข้าบังเอิญเจอมันเมื่อตอนที่ข้ายังเป็นเด็ก แต่หลังจากอ่านไปได้สองสามหน้า ข้าก็ไม่เข้าใจว่าเนื้อหาที่เขาจะสื่อคืออะไร?”
ทันทีที่เฟิงจือเฉียนพูดจบ หลินจินก็เดินเข้ามาหาเขา
“อักษรภาพของเต้าจวิน? เป็นไปได้ไหมที่เจ้าจะนำมันมาให้ข้าดู?”
หลินจินถาม
เฟิงจือเฉียนเผยสีหน้าสิ้นหวัง
“เออ... ภัณฑารักษ์ ตัวข้านั้นไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว แต่ท่านควรรู้ไว้ว่าคลังสมบัติของราชวงศ์เป็นสถานที่ที่แม้แต่ข้าเองก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้ เว้นแต่ข้าจะได้รับอนุญาตจากท่านพ่อและท่านปู่ทั้งสามของข้า ไม่อย่างนั้น พวกเขาจะไม่มีวันให้ข้าเข้าไปในสถานที่นั้น”
เขาอธิบาย
พูดง่าย ๆ ก็คือ สิ่งที่หลินจินขอมันทำได้ยากมาก
อาณาจักรเกลียวสวรรค์เป็นประเทศขนาดใหญ่ แน่นอนว่าคลังสมบัติของราชวงศ์ไม่ใช่สถานที่ที่ใคร ๆ จะเดินสุ่ม ๆ เข้าไปได้ ลืมเฟิงจือเฉียนไปได้เลย แม้แต่จักรพรรดิผู้ครองราชย์ก็ไม่สามารถเข้าได้ตามใจชอบ
อาณาจักรเกลียวสวรรค์ได้รับการปกป้องโดยผู้เฒ่าสามคน ในขณะที่จักรพรรดิมีอิสระอย่างเต็มในการปกครอง ส่วนผู้เฒ่าทั้งสามก็มีอำนาจในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์และคลัง
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ หลินจินก็ถอนหายใจ
เขารู้สึกผิดหวังมาก
สัญชาตญาณของเขาบอกเขาแล้วว่าอักษรภาพของเต้าจวินไม่ใช่สิ่งของธรรมดา มันอาจมีเบาะแสที่เขาต้องการ แต่ดูเหมือนว่าเฟิงจือเฉียนจะไม่สามารถนำมันมาให้เขาได้
“อย่างไรก็ตาม ข้าได้รับการยกย่องเสมอว่ามีความทรงจำที่เป็นเลิศ แม้ว่าข้าจะพลิกหน้าต่าง ๆ อย่างไม่ใส่ใจ แต่ข้าก็ยังจำได้ว่าเนื้อหาข้างในนั้นเป็นอย่างไรบ้าง พวกมันดึงดูดความสนใจของข้าจริง ๆ และบางครั้งข้าก็เขียนพวกมันยามข้าไม่มีอะไรทำ
หากภัณฑารักษ์ต้องการ ข้าสามารถเขียนมันออกมาให้ท่านได้ แน่นอนว่ามันอาจจะมีความคลาดเคลื่อนเล็กน้อย แต่ข้าคิดว่าส่วนใหญ่น่าจะถูกต้อง”
ไม่พูดพร่ำทำเพลง หลินจินสั่งให้เฟิงจือเฉียนทำทันที
ในไม่ช้า ตัวอักษรประหลาดเต็มหน้ากระดาษก็ถูกส่งมอบให้กับภัณฑารักษ์
“นี่คือตัวอักษรที่ว่างั้นเหรอ?”
“ขนาดข้าเคยออกเดินทางไปหลายประเทศ แต่ข้าก็ไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อนเลย”
เย่หยู่โจวเป็นคนที่มีความรู้สูง แต่เขาก็ส่ายหัวกับตัวอักษรเหล่านี้เช่นกัน
“บางทีนั่นอาจไม่ใช่ตัวอักษร แต่เป็นเพียงการเขียนลวก ๆ?” เฒ่าเทียนเสนอทฤษฎีง่าย ๆ ที่เหมาะกับลักษณะนิสัยของเขามากที่สุด
ในขณะที่กลุ่มคาดเดาเกี่ยวกับต้นกำเนิดของอักษรภาพ พวกเขาไม่ได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงในอารมณ์ของหลินจินในขณะที่เขาอ่านพวกมัน
โชคดีที่เขาสวมหน้ากาก
ตอนนี้ หลินจินต้องบังคับนิ้วของเขาไม่ให้สั่น เฟิงจือเฉียนพูดถูก ตัวอักษรที่เขาคัดลอกออกมาอาจมีความคลาดเคลื่อนอยู่บ้าง แต่มันก็ค่อนข้างคล้ายกับต้นฉบับ
แน่นอนว่าคนอื่น ๆ ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าสิ่งที่เขาคัดลอกมานั้นถูกต้องหรือไม่? แต่สำหรับหลินจินแล้ว เขาสามารถเข้าใจได้เล็กน้อยว่าเฟิงจือเฉียนคัดลอกอะไรออกมา
มันเป็นเพราะหลินจินสามารถอ่านตัวอักษรเหล่านี้ได้!
ก่อนที่เขาจะข้ามมาโลกนี้ หลินจินคนก่อนใช้งานตัวอักษรในโลกตามปกติ และเขาก็คุ้นเคยมันเป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้ ตัวอักษรเหล่านี้ถูกฝังอยู่ในจิตใจของเขา
เมื่อหลินจินคนใหม่มายังโลกนี้อย่างไม่สามารถหาคำอธิบายได้ มันจึงทำให้เขาได้รับการสืบทอดความทรงจำดั้งเดิมของหลินจินคนก่อน ด้วยเหตุนี้ เขาจึงสามารถสื่อสารโดยใช้ภาษาของโลกนี้ได้
อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะลืมตัวอักษรหรือถ้อยคำที่เขาใช้ในโลกก่อนหน้านี้
และนี่คือสาเหตุที่ทำให้เขาตกใจ
หากมีใครพบภาษาจากอีกโลกหนึ่ง ซึ่งมันไม่ควรจะมีอยู่ที่นี่ พวกเขาก็คงจะสับสนไม่แพ้กัน
ตัวอักษรภาพที่เฟิงจือเฉียนคัดลอกลงมานั้นดูน่าเกลียดอย่างยิ่ง และประโยคส่วนใหญ่ก็สับสนและไม่สอดคล้องกัน อย่างไรก็ตาม มันไม่ยากที่จะถอดรหัสสิ่งที่เต้าจวินเขียนลงไป
แต่ถึงอย่างนั้น อารมณ์ของหลินจินในตอนนี้ก็ยังสับสนวุ่นวายมากอยู่ดี
ไม่น่าแปลกใจเลยที่หนังสือของเต้าจวินขะไม่มีใครสามารถเข้าใจมันได้ เพราะถ้อยคำเหล่านี้มาจากอีกโลกหนึ่ง และมันคงจะแปลกถ้าพวกเขาเข้าใจ
แต่หลินจินสามารถอ่านมันได้
‘ข้ามา… ร้อยแปดสิบปี… คิดถึงมาก… ทามะ... แกคงตายด้วยความหิวโหยไปแล้วใช่ไหม? อยากกลับบ้าน!!!'
เขาไม่สามารถเข้าใจอะไรมากนัก แต่สำหรับหลินจินทุกคำรู้สึกเหมือนสื่อถึงเพื่อนที่เขาไม่เคยเจอมานาน พวกเขารักใคร่ต่อกันมาก
เพื่อระงับความตื่นเต้น หลินจินหายใจเข้าลึก ๆ หลายครั้งก่อนที่เขาจะสงบสติอารมณ์ในที่สุด
เขามองไปที่เฟิงจือเฉียนแล้วถามว่า
“แค่นั้นเหรอ? เจ้าช่วยลองนึกดูอีกทีได้หรือไม่? เผื่อเจ้าจะสามารถเขียนออกมาได้อีก”
เนื่องจากเขาตื่นเต้นเกินไป ทำให้หลินจินหลงลืมเรื่องหนึ่งไป
หลังจากที่เขาพูดแล้ว เฟิงจือเฉียนก็ตกตะลึง ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น แม้แต่จ้าวจิงหยาน, อีกาทมิฬ, มาดามผีเด็ก และเย่หยู่โจวก็ตกตะลึงเช่นกัน
หลินจินก็ตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้น
คำขอของเขาบอกเป็นนัย ๆ ว่าเขาสามารถอ่านข้อความพวกนี้ได้
แต่ถึงพวกเขาจะรู้ มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ หลินจินไม่คิดจะไม่บอกเหตุผลที่แท้จริงแก่พวกเขา และปล่อยให้พวกเขาคาดเดาได้มากเท่าที่พวกเขาต้องการ
ความกังวลของเขาในตอนนี้คือเฟิงจือเฉียนสามารถเขียนเพิ่มเติมได้หรือไม่?
หลินจินต้องการจะรู้เนื้อหาทั้งหมดของอักษรภาพของเต้าจวิน
เฟิงจือเฉียนส่ายหัว
“มันผ่านมาสิบหว่าปีแล้ว และข้าก็ทำสุดความสามารถแล้ว ภัณฑารักษ์ ท่าน… อ่านพวกมันออกอย่างงั้นเหรอ?”
เมื่อเฟิงจือเฉียนถามคำถามของเขา ทุกคนต่างก็มองเป็นตาเดียว
หลินจินยิ้มตอบพวกเขาอย่างเงียบ ๆ
เขาเป็นภัณฑารักษ์ เมื่อถามคำถาม เขาสามารถเลือกที่จะตอบหรือนิ่งเฉยได้ และไม่มีใครสามารถคาดคั้นอะไรกับเขาได้
หลังจากหัวเราะเล็กน้อย หลินจินก็ยังคงเงียบต่อไป แม้ว่าความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขากำลังฆ่าพวกเขา แต่พวกเขาก็ทำได้แค่ปล่อยให้ความอยากรู้อยากเห็นคงอยู่ต่อไป
ผู้เยี่ยมชมเหล่านี้ทุกคนต่างเชื่อฟังและเคารพกฎเกณฑ์ และด้วยเหตุนี้ หลินจินจึงพอใจอย่างมาก
แม้ว่าเฟิงจือเฉียนจะนึกเนื้อหาของอักษรภาพของเต้าจวินได้อีก แต่มันก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป ต่อให้เขาจำได้ เขาก็อ่านได้เพียงสองหน้าเท่านั้น ดังนั้น หลินจินจึงไม่มีทางรู้ว่าหนังสือทั้งเล่มเกี่ยวข้องกับอะไร
กล่าวอีกนัยหนึ่ง หลินจินต้องหาทางอื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งหนังสือเล่มนั้น
“ถ้าข้าอยากยืมหนังสืออักษรภาพของเต้าจวิน ข้าควรทำอย่างไรบ้าง?”
หลินจินเข้าประเด็นโดยตรง เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เฟิงจือเฉียนก็เผยสีหน้าลำบากใจออกมา