ตอนที่แล้วตอนที่ 28 ไท่จื่อสุนัขโมโห
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 30 หลับฝันหวาน

ตอนที่ 29 ความง่วงเข้าครอบงำ


ตอนที่ 29 ความง่วงเข้าครอบงำ

“เจ้า…”

ไท่จื่อโกรธนางมากจนพูดไม่ออก ก่อนมาที่นี่ เขาตั้งใจจะสอนบทเรียนสตรีผู้นี้ให้ได้ แต่สุดท้ายเขากลับเป็นฝ่ายต้องหงุดหงิดอีกครั้ง

เขายืดตัวตรง แล้วเปลี่ยนน้ำเสียง

“ตามที่พระชายาอวี้พูด ข้าจะสั่งสอนพวกทาสเหล่านี้เมื่อข้ากลับตำหนัก แต่ตอนนี้ข้ามาถึงที่นี่แล้ว หากไม่เข้าไปเยี่ยมน้องชายสี่ของข้าก่อนก็คงไม่สมเหตุสมผล ข้าไม่ได้เจอเขามานานแล้ว”

เขาอยากพบเหลิ่งอวี้หรือ?

ความกังวลใจฉายแววในดวงตาของลั่วหลาน ตอนนี้เหลิ่งอวี้อยู่ในห้องไอซียู แล้วจะยอมให้เขาเข้าไปได้อย่างไร?

อีกทั้งต่อให้เหลิ่งอวี้จะอยู่ในห้อง แต่ก็คงไม่อยากเจอเขาแน่นอน

นางจึงปฏิเสธไปตามตรง

“ต้องขออภัยไท่จื่อด้วย สามีของข้าไม่ต้องการพบท่านเพคะ”

ไท่จื่อสะอึกเพราะคำพูดที่ไม่อ้อมค้อมของนาง เขากลืนน้ำลาย ก่อนพูดด้วยความลำบากใจ:

“เจ้าเพิ่งมาที่นี่ไม่กี่วัน ย่อมไม่เข้าใจความรู้สึกระหว่างพี่น้องของพวกข้า เขาบอกว่าไม่อยากเจอข้า เพราะเขากลัวว่าข้าจะเสียใจเมื่อเห็นเขา สตรีไม่อาจเข้าใจเรื่องระหว่างบุรุษ”

หลังจากพูดเช่นนั้น เขาก็กำลังจะบุกเข้าไป แต่ลั่วหลานพูดอย่างเย็นชา:

“ไท่จื่อ...”

นางหันมามองเขาด้วยสายตาเย็นชา “ข้าคงไม่เข้าใจเรื่องระหว่างบุรุษ แต่ในฐานะสามีภรรยา เราทั้งสองต่างรักกันและพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง เขาชอบใคร ไม่ชอบใคร เขาอยากเจอใคร ไม่อยากเจอใคร ข้าย่อมทราบดี เขาบอกข้ามานานแล้วว่าคนแรกที่เขาไม่อยากเจอที่สุดคือท่าน โปรดเสด็จกลับไปเถิดเพคะ”

หลังจากพูดจบ นางก็พูดกับอาอวี่และอาโฮ่ว:

“ส่งแขก”

ไท่จื่อขมวดคิ้วมุ่น เขาไม่คิดมาก่อนเลย ไท่จื่อเช่นเขาจะถูกสตรีผู้นี้ไล่ตะเพิดออกไปเหมือนสุนัขจริงหรือ?

ว่ากันว่านางเป็นผู้หญิงบ้านนอก ตามจินตนาการของเขา ผู้หญิงบ้านนอกเหล่านี้ต้องน่าเบื่อและใสซื่อ สตรีผู้นี้ดูไม่เหมือนผู้หญิงบ้านนอกเลย

แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาคิดต่อแล้ว อาอวี่กับอาโฮ่วมาหาเขา ก่อนจะโค้งคำนับแล้วผายมือเชื้อเชิญ

“ไท่จื่อ โปรดเสด็จกลับเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”

ไท่จื่อกัดฟัน ไม่เพียงแต่สตรีผู้นี้จะหยาบคายเท่านั้น แต่พวกคนรับใช้ที่อยู่รอบกายนางก็หยาบคายด้วย เขาไม่รู้ว่านางไปหาพวกทาสสุนัขเหล่านี้มาจากไหน

แต่เนื่องจากอีกฝ่ายถึงกับกล่าวเช่นนี้ออกมาแล้ว ไท่จื่อเช่นเขาจึงไม่อาจฝืนอยู่ต่อไป ไม่เช่นนั้นหากมีคนเผยแพร่ข่าวนี้ออกไป เขาจะต้องรู้สึกอับอายมากจริง ๆ

เขาจึงมองลั่วหลานด้วยสีหน้าดุดัน พ่นลมหายใจอย่างเย็นชา ก่อนสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป

เมื่อเห็นเขาจากไปพร้อมกับคนของเขา อาไฉ่กับอาหงก็เข้ามา

“พระชายา เขาคือไท่จื่อ เขาจะสร้างปัญหาให้เราในอนาคตหรือไม่เพคะ?”

ลั่วหลานยกยิ้มมุมปาก ด้วยสีหน้าไม่แยแส

“ตำหนักอ๋องอวี้ของเราอยู่ในสภาพที่น่าสังเวชถึงเพียงนี้แล้ว จะยังกลัวปัญหาอันใดอีก?”

แต่ความจริงคือหลังจากที่ไท่จื่อออกจากตำหนักอ๋องอวี้ เขาก็ตรงไปยังสำนักกิจการภายในทันที

ใต้เท้าจางแห่งสำนักกิจการภายในเป็นคนของเขามาโดยตลอด เมื่อเห็นเขามาที่นี่ จึงรีบพยักหน้าแล้วโค้งคำนับเพื่อทักทาย

“ไท่จื่อเสด็จเยือนสำนักกิจการภายในหรือพ่ะย่ะค่ะ? มีเรื่องด่วนอันใดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

สายตาของไท่จื่อฉายแววดุร้ายน่าสะพรึงกลัว เขามองใต้เท้าจาง แล้วถามตามตรงว่า

“เงินเดือนของตำหนักอ๋องอวี้ถูกหักตามที่ข้าบอกหรือเปล่า?”

“พ่ะย่ะค่ะ ลดลงเหลือเพียงร้อยละสามสิบจากเมื่อสามปีที่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ทันใดนั้นนัยน์ตาของไท่จื่อก็เต็มไปด้วยความสงสัย หากเป็นเช่นนี้ แสดงว่าได้เงินเดือนสามร้อยตำลึง คนในตำหนักอ๋องอวี้จึงต้องได้กินผักกินแกลบกันเท่านั้น แล้วพวกเนื้อพวกปลามาจากไหน?

เขาขมวดคิ้วพูดว่า:

“ตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไป ไม่ต้องจ่ายเงินเดือนให้ตำหนักอ๋องอวี้”

เมื่อได้ฟังดังนั้น ใต้เท้าจางก็ถามด้วยความตื่นตระหนก:

“เช่นนี้ไม่เหมาะสมหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ? ฮ่องเต้จะไม่ทราบเรื่องหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

“ไม่มีปัญหาหรอก”

ไท่จื่อโบกมือ “ตำหนักอ๋องอวี้มีวิธีหาเงินเองอีกทางหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องรับเงินเดือน หากเสด็จพ่อทรงทราบก็บอกไปเช่นนี้”

แม้ว่าใต้เท้าจางจะค่อนข้างลำบากใจ แต่เขาไม่กล้าขัดความปรารถนาของไท่จื่อ

เพราะมีข่าวลือว่าอ๋องอวี้ใกล้จะสิ้นพระชนม์เต็มที ดังนั้นการทำให้ไท่จื่อพึงพอใจ จึงเป็นเรื่องสำคัญกว่าสำหรับเขา

เหลิ่งอวี้อยู่ในห้องไอซียูเป็นเวลาสามวัน ในที่สุดก็ผ่านพ้นช่วงวิกฤติไปได้ ลั่วหลานแทบไม่ได้นอนอยู่สามวันสามคืนเช่นกัน ในช่วงสามวันนี้นางนอนไม่หลับจนน้ำหนักลดลงมาก แต่เขาก็มีอาการดีขึ้น นางถือว่าความพยายามไม่ได้ไร้ประโยชน์

หลังจากออกจากห้องไอซียู นางย้ายเขากลับไปที่เตียง แล้วรอให้เขาตื่น

บางทีนางอาจจะง่วงเกินไป หลังจากรอแล้วรอเล่า นางจึงซบหน้าลงกับขอบเตียงแล้วหลับไป

เหลิ่งอวี้ตื่นขึ้นมาเพราะความเจ็บปวด ยาชาหมดฤทธิ์แล้ว เขารู้สึกเจ็บปวดขาอย่างแสนสาหัส

ทันทีที่เขาส่งเสียงร้องออกมา ลั่วหลานก็ตื่นขึ้นทันที

นางมองเหลิ่งอวี้ที่ทำหน้าเหยเก เพราะปวดบาดแผลอย่างรุนแรง แล้วรีบถามว่า:

“เจ็บมากหรือเพคะ?”

เหลิ่งอวี้พยายามอดทนความเจ็บปวด ส่ายหน้าแล้วกัดฟันตอบ “ไม่เจ็บ”

แต่บนหน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อเล็ก ๆ ที่ผุดขึ้นมา

ลั่วหลานรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเหงื่อที่หน้าผากให้เขา จากนั้นหยิบยาแก้ปวดออกจากกล่องยา บรรจุลงกระบอกฉีดยาอย่างรวดเร็ว แล้วฉีดยาเข้าที่บั้นท้ายของเขา

“เจ้ากำลังทำอันใด?”

เหลิ่งอวี้ถามขณะอดทนต่อความเจ็บปวด

“ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของท่าน อีกสักพักจะดีขึ้นเพคะ”

ทันทีที่นางพูดจบ เหลิ่งอวี้ก็รู้สึกว่าบริเวณขาที่เจ็บมากจนรู้สึกแย่ยิ่งกว่าตายนั้น ไม่เจ็บอีกต่อไปแล้ว

เขาถอนหายใจยาว มองหญิงสาวที่มีใบหน้าซีดเซียว แล้วถามเบา ๆ :

“ข้าหลับไปนานเพียงใดแล้ว?”

“สามวันเพคะ”

นางตอบพร้อมกับหาว

“เจ้าไม่ได้นอนมาสามวันแล้วหรือ?”

นัยน์ตาของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ขณะยื่นมือออกไปจับมือนาง “ขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องเดือดร้อน”

ลั่วหลานคลี่ยิ้ม “ดูความงุนงงของท่านสิเพคะ ข้ามีข่าวดีจะบอก ข้าเอาตะปูเหล็กที่ขาของท่านออกมาได้แล้ว”

พูดจบนางก็ลุกเดินไปที่โต๊ะ จากนั้นนำถาดใส่ตะปูมาตรงหน้าเขา

นางใช้แหนบคีบตะปูเหล็กให้เขาดู “ดูสิเพคะ สิ่งนี้อยู่ในขาของท่านมาสามปีแล้ว”

เมื่อเห็นตะปูเหล็กทั้งสองตัวนี้ เหลิ่งอวี้กำหมัดและขบฟันแน่น

ลั่วหลานรีบวางถาดลง แล้วเดินเข้าไปปลอบเขา

“ท่านอย่าโกรธเลยเพคะ ข้าแค่อยากให้ท่านดูเท่านั้น หากรู้ว่าท่านจะโกรธ ข้าคงโยนมันทิ้งไปแล้ว”

“ไม่ต้องทิ้ง”

ทันใดนั้นเขาก็ขึ้นเสียง “ไม่ต้องทิ้ง เก็บไว้ให้ข้า ข้าจะจดจำความทุกข์ทรมานที่ข้าได้รับเพราะตะปูสองตัวนี้ตลอดไป”

ใบหน้าของเขามืดมน นัยน์ตาสีเข้มฉายแววเกลียดชัง

ลั่วหลานจับมือเขา พลางปลอบโยนด้วยเสียงแผ่วเบา :

“ข้ารู้ว่าท่านเกลียดชังคนเหล่านั้น แต่ตอนนี้ท่านไม่ควรโกรธ เพราะบาดแผลที่ขาของท่านยังต้องได้รับการฟื้นฟู ข้าได้ตัดเนื้อออกจากขาของท่านไปอย่างน้อยสามสิบตำลึง ตัดเนื้อออกไปเยอะเช่นนี้ ทำให้ร่างกายต้องใช้เวลาซ่อมแซมนานเลยเพคะ”

จู่ ๆ เหลิ่งอวี้ก็ลืมตาเย็นชามองนาง

“ข้าจะสามารถกลับมายืนได้จริงหรือ?”

เขาถามคำถามนี้อีกครั้ง

ลั่วหลานเผยรอยยิ้มอ่อนโยน แล้วพยักหน้า “จริงเพคะ แต่ต้องใช้เวลา พิจารณาจากอาการปัจจุบันของท่าน ท่านจะต้องอยู่บนเตียงเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งปีเพคะ”

นัยน์ตาของเหลิ่งอวี้เต็มไปด้วยความหวัง เขาจับมือนางไว้แน่น พลางหลั่งน้ำตาแห่งความดีใจออกมาทันที

“จริงหรือ? อีกครึ่งปีข้าจะกลับมายืนได้จริงหรือ? จริงหรือเปล่า?”

“แน่นอนเพคะ ท่านต้องเชื่อข้า”

เมื่อลั่วหลานพูดจบก็หาวยาวอีกครั้ง

เหลิ่งอวี้มองนางด้วยความลำบากใจ จากนั้นขยับร่างกายส่วนบนเข้าไปข้างใน แล้วพูดว่า “เจ้านอนตรงนี้สักพักสิ”

ลั่วหลานหรี่ตามอง แล้วส่ายหน้า “ไม่ดีกว่าเพคะ ข้าเป็นคนนอนดิ้น หากเผลอไปโดนขาของท่าน ท่านจะเจ็บ”

เขาจับมือนาง ความเสน่หาฉายชัดในดวงตาที่กำลังมองนางอย่างอ่อนโยน

“ไม่เป็นอันใดหรอก มีเจ้านอนเคียงข้าง ข้าก็รู้สึกสบายใจ”

.............................................................................................