บทที่ 84 คำขอของเฉิงเป้ยเป้ย
เขาเดินกลับจวนพลางอ่านคัมภีร์ฆ่าเวลาไปด้วยเช่นเดิม ไม่ช้า หยางเสี่ยวเทียนก็ถึงจวนพร้อมมุ่งหน้าหาลานฝึกยุทธ์ แล้วเริ่มฝึกฝนวรยุทธขั้นเซียนสวรรค์ชั้นยอดที่พึ่งได้มาหลังอ่านจบไปเพียงไม่นาน
เมื่อเวลาย่างสู่รัตติกาล วรยุทธขั้นเซียนสวรรค์ชั้นยอดที่เขาฝึกฝนก็บรรลุขั้นฉลาดล้ำเลิศพร้อมหยุดมือ จากนั้นก็กลับขึ้นห้องนั่งเข้าฌานบนเตียงหยกเย็นเริ่มบ่มเพาะปราณมังกรแรกเริ่ม
หากคนเราถูกเปรียบเป็นดั่งต้นไม้ ปราณแท้คือรากฐานที่คอยยึดเหนี่ยวลำต้นให้แข็งแรง ส่วนวรยุทธคือกิ่งก้านและใบ ดังนั้น เพื่อความแข็งแกร่ง หยางเสี่ยวเทียนจำต้องบ่มเพาะปราณมังกรแรกเริ่มทุกวันเสริมสร้างรากฐานให้มั่นคงกว่าส่วนอื่นเสียก่อน
พอแสงแดดอ่อนยามรุ่งสางตกกระทบใบหน้าเนียนสงบของหยางเสี่ยวเทียน เขาก็เปิดเปลือกตาขึ้นลุกออกจากเตียงหยกเย็นยืดเส้นยืดสาย แล้วถอดเตาหลอมที่อยู่บนมือโยนลงพื้นเบื้องหน้าเตรียมพร้อมในการหลอมโอสถวิญญาณสี่ประการ
ด้วยยังเหลือเจ้าสัตว์วิญญาณเกราะทอง ที่จำต้องใช้โอสถวิญญาณสี่ประการระดับสวรรค์เพิ่มระดับพลังยุทธ์ของตัวมันเอง
ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็หลอมเสร็จพร้อมเอาไปให้มันใช้บ่มเพาะ
บัดนี้ ทักษะการหลอมของเขาก้าวหน้าอย่างมาก สัมผัสทางจิตวิญญาณก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นจึงใช้เวลาในการหลอมโอสถวิญญาณสี่ประการระดับสวรรค์น้อยลง
หยางเสี่ยวเทียนออกจากห้อง รุดหน้าไปยังลานฝึกของเจ้าสัตว์วิญญาณเกราะทอง ซึ่งขณะนี้มันก็กำลังมุ่งมั่นบ่มเพาะปราณอสูรสวรรค์ อันเป็นเคล็ดวิชาขั้นเซียนยุทธ์ที่หยางเสี่ยวเทียนสอนให้ก่อนหน้า
ทันทีที่เจ้าสัตว์วิญญาณเกราะทองเห็นหยางเสี่ยวเทียนเดินเข้ามาใกล้ มันก็หยุดพักแล้วย่างก้าวหาหยางเสี่ยวเทียนเช่นกัน ไม่ทันไรปากเล็กๆ นั้นก็พลันเอ่ยขึ้น
“นะ… นายน้อย”
ครั้นหยางเสี่ยวเทียนได้ยิน ก็ยืนนิ่งตะลึงลานอยู่ครู่ ก่อนปากเผยอุทานถามอย่างรวดเร็ว
“เสี่ยวจิน เจ้าพูดได้งั้นหรือ”
เสี่ยวจินบ่มเพาะปราณอสูรสวรรค์มานานกว่าหนึ่งเดือน ไม่เพียงเกล็ดบนร่างมันจะสว่างทอประกายมากขึ้นเท่านั้น แต่เสี่ยวจินยังสามารถกล่าววาจาเฉกเช่นมนุษย์ได้ ซึ่งหยางเสี่ยวเทียนไม่คาดคิดมาก่อนว่าหลังฝึกฝนแล้ว มันจะทำให้เปลี่ยนไปอัศจรรย์ขนาดนี้
แม้การออกเสียงจะยังติดขัดอยู่บ้าง แต่หยางเสี่ยวเทียนก็ได้ยินเสียงว่ามันร้องเรียกนายน้อยชัดเจนไม่ผิด
เจ้าสัตว์วิญญาณเกราะทองรีบร้องตะโกนตอบอย่างมีความสุข “ขอรับ นายน้อย”
หลังได้ยินเช่นนั้น หยางเสี่ยวเทียนก็ยิ้มอย่างปิติยิ่ง เมื่อรู้แน่ชัดแล้วว่าเสี่ยวจินพูดจริงไม่ได้หูเฝื่อน ต่อไปภายหน้า มันจะง่ายขึ้นมากสำหรับการสื่อสารของทั้งสอง ซึ่งเสี่ยวจินไม่จำเป็นต้องแสดงท่าทางด้วยมือน้อยมันอีกแล้ว
ทั้งคู่คุยกันอยู่สักพัก ก่อนหยางเสี่ยวเทียนจะมอบโอสถวิญญาณสี่ประการระดับสวรรค์ให้กับเสี่ยวจินเพื่อกลืนและเริ่มฝึกฝน
จากนั้น เขาก็ไม่รบกวนเสี่ยวจินอีก แล้วหมุนตัวกลับเรือนหลักเอาคัมภีร์วรยุทธบนห้อง และออกจากจวนหลังเตรียมตัวเสร็จ พร้อมมุ่งหน้าไปยังหอคัมภีร์เช่นเดิม
ในขณะนี้ บรรดาอาจารย์และศิษย์จากสำนักเสินไห่ ที่เดินทางมาเข้าร่วมงานประลองแลกเปลี่ยนความรู้สำหรับศิษย์ใหม่ ก็ได้มาถึงประตูหลักของสำนักเสินเจี้ยนแล้วเช่นกัน
หูซิง เฉิงเป้ยเป้ย และคนอื่นๆ จากสำนักเสินเจี้ยน ต่างออกมารอต้อนรับซูหลี่พร้อมคนจากสำนักเสินไห่กันอย่างครึกครื้น
ทันทีที่ซูหลี่พร้อมเหล่าอาจารย์จากสำนักเสินไห่ลงจากรถม้า เฉิงเป้ยเป้ยก็เป็นผู้นำในการกล่าวต้อนรับพวกเขาอย่างอบอุ่น
พอพิธีต้อนรับเสร็จสิ้น นางที่อาสาพาซูหลี่เดินชมสำนักตนพลางไปถึงสนามประลองก่อนนางเริ่มเผยอปากบางชมพูทันที หลังต้องทนกัดฟันอดกลั้นเรื่องเจ็บแค้นอยู่นาน
“เจ้าต้องสั่งสอนหยางเสี่ยวเทียนให้ข้า”
“ห๊ะ! หยางเสี่ยวเทียนงั้นรึ” ซูหลี่เอียงศีรษะมองนางอย่างสับสน เพราะไม่เข้าใจว่านางหมายถึงใครหรืออะไร
เฉิงเป้ยเป้ยกล่าว “เขาเป็นศิษย์ใหม่ของสำนักเสินเจี้ยนเรา ได้ฝึกฝนวรยุทธทั้งสามที่เป็นเคล็ดวิชาภาคบังคับของศิษย์ปีหนึ่ง จนบรรลุขั้นวรยุทธไร้เทียมทานเฉกเช่นเดียวกับเจ้า”
ซูหลี่ระลึกได้ในทันที ก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินใครบางคนบอกว่า มีศิษย์ใหม่ของสำนักเสินเจี้ยน ผู้ฝึกฝนเคล็ดวิชาทั้งสามขั้นเซียนยุทธ์ จนบรรลุขั้นวรยุทธไร้เทียมทานเช่นเดียวกับเขา
ทว่า บุคคลนี้มีเพียงวิญญาณยุทธ์เต่ายักษ์ระดับสองเท่านั้น
แต่เมื่อเขาได้เห็นท่าทางกระฟัดกระเฟียดของเฉิงเป้ยเป้ย จึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เขาทำให้ลูกพี่ลูกน้องของข้าขุ่นเคืองกระนั้นหรือ”
เฉิงเป้ยเป้ยมุ่ยหน้าพลางกล่าวอย่างโมโห “หยางเสี่ยวเทียนผู้นี้ หลังฝึกฝนวรยุทธทั้งสามจนบรรลุขั้นวรยุทธไร้เทียมทาน ท่าทางก็เย่อหยิ่งมาก ข้าจงเกลียดจงชังความอวดดีของเขานัก”
แท้จริงนั้น นางไม่ชอบหยางเสี่ยวเทียนมาโดยตลอด ตั้งแต่ไปเยือนหมู่บ้านสกุลหยางแล้ว บ่อยครั้งที่นางมักจะนึกถึงใบหน้าซื่อบื้อและวาจาเนิบนาบของเขา ซึ่งทำให้ทุกครั้งที่นางนึกถึงภาพเขาผุดขึ้นในหัว นางจะโมโหสุดขีดด้วยความเกลียดชัง
ซูหลี่เหยียดยิ้มด้วยไม่เคยเห็นใบหน้าบูดบึ้งของนางมานาน “ได้ๆ หากข้าเจอเขา เดี๋ยวจะสั่งสอนให้ ลูกพี่ลูกน้องของข้าจะได้สบายใจ”
เมื่อซูหลี่และนางร่วมกับคนอื่นๆ เดินมาถึงยังสนามประลองยุทธ์ของสำนักเสินเจี้ยน ที่ตอนนี้ถูกตกแต่งไว้ต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่และมีผู้คนร่วมเฝ้าดูมากมายเหมือนทุกปี
ขณะนี้ ศิษย์ปีหนึ่งจากสำนักเสินเจี้ยนที่เข้าร่วมประลอง ก็ต่างมารออยู่สนามประลองยุทธ์แล้วเช่นกันเว้นเงาของหยางเสี่ยวเทียน
อย่างไรก็ตาม เฉิงเป้ยเป้ยยังคงวิ่งไปรอบสนามประลองยุทธ์เพื่อตามหาหยางเสี่ยวเทียน แต่กระนั้นนางก็ยังหาเขาไม่พบ
นางเดาว่าหยางเสี่ยวเทียนอาจจะอยู่ในหอคัมภีร์ จึงขอให้เกาลู่ไปตามหาหยางเสี่ยวเทียนที่นั่นก่อนการประลองจะเริ่ม
เกาลู่ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องไปยังหอคัมภีร์เพื่อตามหาหยางเสี่ยวเทียนให้นาง ทว่า เมื่อเขามาถึงหอคัมภีร์ก็ได้รู้ว่าเขาเพิ่งเปลี่ยนคัมภีร์วรยุทธและกลับไปแล้ว
เกาลู่ต้องจำใจกลับไปที่สนามประลองยุทธ์มือเปล่า แล้วบอกกล่าวกับเฉิงเป้ยเป้ย
“ไม่อยู่ที่นั่นงั้นหรือ” เฉิงเป้ยเป้ยสะดุ้งลุกขึ้นด้วยคาดไม่ถึง
แล้วนางก็ขบเม้มริบฝีปากบางนั้นอย่างโมโห “หยางเสี่ยวเทียนจะต้องแอบซ่อนอยู่แน่เลย”
ซูหลี่ยิ้มเมื่อเห็นท่าทางของนาง “ลูกพี่ลูกน้องไยต้องโกรธขนาดนั้น ครั้งต่อไปเมื่อข้าพบเขา ไว้ข้าจะสั่งสอนเขาให้ดีหรือไม่”
เฉิงเป้ยเป้ยทำได้เพียงพยักหน้าเท่านั้น เพราะนางก็ไม่รู้ว่าเขาพำนักอยู่ที่ไหน เมืองเสินเจี้ยนนั้นใหญ่โตนัก ครั้นจะออกไปตามหาคงราวกับงมเข็มในมหาสมุทร